แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 695 รอยเลือดประหลาด
หุ่นซอมบี้ถูกควบคุมให้เดินไปทางทางเดินสู่โซน B ส่วนตัวหลิงม่อนั้นหันหลังเดินย้อนกลับไปทางเดิมพร้อมความสงสัย
หรือเขาลืมอะไรทิ้งไว้?
ยังไม่พูดถึงความเป็นไปได้ที่ต่ำมาก…เพราะถึงแม้จะจริง เขาก็ไม่น่าจะวิ่งกลับไปเอาของโดยไม่บอกไม่กล่าวซักคำ…
สถานการณ์ไม่แน่ชัด หลิงม่อจึงไม่เปิดไฟฉาย
หลังจากคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมอันมืดมิดอย่างนี้แล้ว อาศัยแค่ความสามารถในการมองเห็นของเขา ถึงแม้จะไม่ชัดเจนเท่าซอมบี้ แต่ก็พอมองเห็นได้รางๆ แล้ว
ขณะเดียวกับที่หลิงม่อกำลังตามหาอยู่นั้น เงาร่างของใครคนหนึ่งก็โฉบเข้าไปในประตูห้องบันไดอย่างเงียบเชียบ
บานประตูปิดลงเบาๆ จากนั้นก็สั่นไหวไปมา
เอี๊ยดอ๊าด…เอี๊ยดอ๊าด…
หลิงม่อตวัดสายตามองไปทางประตูห้องบันไดทันที
เสียงเบามาก หากเป็นตอนที่มีคนเยอะต้องไม่ได้ยินแน่นอน
แต่ตอนนี้หลิงม่อกำลังรวบรวมสมาธิทั้งหมดเข้าด้วยกัน ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาจึงรับรู้ไวขึ้นไม่น้อย
เขาได้ยินเพียงเสียงเคลื่อนไหวเรือนราง เหมือนเขายืนอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่โล่งกว้างและมืดมิด แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเครื่องใช้ในบ้านหดตัวหรือขยายตัวเพราะสภาพอากาศ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไร ในสถานการณ์อย่างนี้อย่างไรก็ต้องไปตรวจสอบดูซักครั้ง
หลิงม่อเร่งความเร็ว ไม่นานเขาก็วิ่งไปถึงประตูห้องบันได
บานประตูเปิดแง้มไว้ แต่หยุดสั่นไหวแล้ว
หลิงม่อขมวดคิ้วมองช่องประตูมืดๆ ที่เปิดแง้มไว้ ถึงแม้จะตรวจจับอะไรไม่เจอหลังประตู แต่เขาก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังถูกดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่
“เราคงไม่ได้ติดโรคกลัวความมืดมาจากสวี่ซูหานหรอกนะ?” หลิงม่อดึงสติกลับมา แล้วพูดหยอกตัวเอง
แต่ในขณะที่เขากำลังยกมือขึ้นหมายจะจับมือตับประตู การเคลื่อนไหวกลับชะงักทันที
“เลือด?”
ถึงแม้แสงสว่างจะมีน้อยนิด แต่หากสังเกตดูให้ดี ก็จะพบว่าบนมือจับประตู มีคราบเลือดอยู่…
แถมยังเป็น…คราบเลือดใหม่
เพิ่งมีคนเดินผ่านทางนี้ และมือของคนนั้นก็เปื้อนเลือด…
หลิงม่อก้มมองบนพื้น ตามคาด บนพื้นมีหยดเลือดอยู่ 2 – 3 หยด
เขาค่อยๆ ผลักประตูออก แล้วมองดูพื้นข้างใน
รอยเลือดหยดลงบนพื้นบันไดที่ทอดลงไปข้างล่าง…
“มู่เฉินบาดเจ็บหรอ? หรือว่าเขาไปทำอะไรบาดเจ็บเข้า?” หลิงม่อคิดอย่างสงสัย
ถึงแม้ตอนที่อยู่ในห้างฯ เขาจะหยุดใช้หนวดสัมผัสเพื่อทำการตรวจจับ และหันไปเพ่งสมาธิควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ออกค้นหาชั้นใต้ดินแล้ว
แต่พวกเย่เลี่ยนก็อยู่ในห้างฯ เหมือนกัน ไม่ว่าฝ่ายที่เลือดไหลจะเป็นใคร พวกเธอก็น่าจะสัมผัสรู้ได้บ้างไม่มากก็น้อย…
ทว่า ตลอดทางที่เดินมาเขาไม่เห็นรอยเลือดเลยซักนิด แต่มันกลับมาปรากฏอยู่ตรงนี้…
ห้องบันไดตั้งอยู่ในมุมของตัวห้างฯ พวกเย่เลี่ยนสัมผัสไม่ได้ก็ไม่แปลก ไม่ว่าประสาทรับกลิ่นของซอมบี้จะดีอีกซักแค่ไหน แต่ก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นจะยังมีที่เหลือให้เหล่าผู้รอดชีวิตหายใจได้อีกหรือ…
“หรือเกิดอะไรขึ้นในห้องบันได? แล้วมู่เฉินได้ยินเข้า เลยตามมาแล้วเจอเรื่องโชคร้ายเข้า?” ความเป็นไปได้ที่หลิงม่อพอจะคิดออกในวินาทีนี้ ก็มีแค่นี้จริงๆ
เพราะถึงอย่างไรก็มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่เขาจะเดินชนอะไรเข้า และผู้มีความสามารถพิเศษก็ไม่น่าจะตกต่ำขนาดนั้น…
โดยเฉพาะผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ไม่ว่าพวกเขาจะมีศักยภาพร่างกายด้านไหน แต่ผิวหนังพวกเขาล้วนแข็งแรงกว่าคนทั่วไปมาก อีกทั้งเมื่อต่อสู้ระยะประชิดมาเป็นเวลานาน ถึงแม้เมื่อก่อนจะไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายไม่อ่อนแอแน่นอน
เหตุการณ์น่าอนาถอย่างการเดินชนหัวโขกอย่างนั้น เดาว่าคงจะเกิดแต่กับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตมากกว่า…
แต่ก่อนที่จะได้เห็นความจริง ก็ยังตัดสินอะไรไม่ได้
ก่อนที่จะไปเมืองชุ่ยหู รายงานฉบับนั้นทำให้หลิงม่อปักใจเชื่อว่า…เมืองชุ่ยหูอาจไม่มีผู้รอดชีวิตอยู่
ความจริงแล้ว “เมืองคนตาย” มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะพวกอำเภอเล็กๆ ที่ระหว่างทางมักจะพบเห็นผู้รอดชีวิตได้น้อยมาก
หลิงม่อคาดเดาว่าสิ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์อย่างนี้มีอยู่สองสาเหตุ หนึ่งคือผู้รอดชีวิตที่ใช้ชีวิตโดยลำพังมีโอกาสรอดชีวิตยากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกข้อคือ ค่ายพักแรมผู้รอดชีวิตอย่างนิพพานสำนักงานใหญ่ที่กำลังเติบโตและขยายตัวช้าๆ ได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญของการรวมตัวเหล่าผู้รอดชีวิตไปแล้ว
เสี้ยววินาทีหนึ่ง ความคิดประหลาดหนึ่งแวบผ่านสมองของหลิงม่อ
อนาคตข้างหน้า จะเป็นไปได้ไหมว่าในเมืองอันกว้างใหญ่ไพศาล จะเหลือเขาอยู่แค่คนเดียว…
ถ้าหากถึงเวลานั้นจริงๆ ตัวเขาจะรู้สึกอย่างไร?
“กลับมาๆ…แปลกจริง ทำไมวันนี้สมาธิชอบหลุดอยู่เรื่อยเลย…”
หลิงม่ออยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆ ซักครั้ง ทั้งที่จ้องคราบเลือดอยู่ก็ยังคิดไปถึงเรื่องนั้นได้
แถมพอเริ่มคิด ภาพในความคิดเหล่านั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่อง แถมยังให้ความรู้สึกสมจริงอีกด้วย
เมื่อกี้ตอนที่นึกไปถึงเรื่องที่ทั้งเมืองเหลือแค่ตัวเองเป็นมนุษย์คนเดียว หลิงม่อถึงขั้นเกิดอารมณ์สับสนขึ้นมาจริงๆ…
“เป็นเพราะช่วงนี้กดดันเกินไปหรือเปล่านะ…” หลิงม่อสะบัดหัวไปมา แล้วเพ่งสายตาไปที่คราบเลือดบนพื้น
ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้…มีมนุษย์ผู้รอดชีวิตอยู่ที่นี่ด้วย
“เป็นไปได้เหมือนกัน ที่นี่อยู่ห่างจากนิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ไกลมาก…”
หลิงม่อระวังตัวขึ้นมาทันที เขาหันข้างแนบตัวชิดกำแพงข้างประตู แล้วมองเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง หลังจากแผ่หนวดสัมผัสทางจิตเข้าไป เขาจึงค่อยๆ ยื่นมือไปทางบานประตู
ในเสี้ยววินาทีที่นิ้วมือเพิ่งจะสัมผัสถูกผิวเหล็กเย็นๆ ความรู้สึกราวถูกไฟช็อตแล่นผ่านหลังมือไปอย่างรวดเร็ว
หลิงม่อหนังศีรษะชา รีบดึงหนวดสัมผัสทางจิตกลับเข้ามาโดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันก็ชักมือกลับมาพร้อมกันด้วย
หนวดสัมผัสไม่เจออะไรเลย หลังมือของหลิงม่อก็ไม่มีร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้เช่นกัน
แต่ความรู้สึกเมื่อกี้นี้มันสมจริงเกินไป เหมือนมีคนเอาปลายเล็บครืดผ่านหลังมือเขาเบาๆ
หลิงม่อยืนอยู่ที่เดิม พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปรกติ
หนวดสัมผัสได้ทำการตรวจค้นในห้องบันใดหนึ่งรอบแล้ว แต่กลับไม่ค้นพบอะไร…
แต่หลิงม่อมั่นใจว่าเขาไม่ได้รู้สึกไปเอง
สวี่ซูหานอาจเกิดอาการหลอนเพราะความหวาดกลัว แต่เขาเป็นถึงผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต ซึ่งหมายความว่าเขามีชีวิตรอดอยู่ได้ด้วยพลังจิตตานุภาพ จะเกิดเรื่องอย่างนี้กับเขาได้ยังไง…
“มีปัญหา…”
หลิงม่อแนบตัวชิดกำแพง แต่หางตากลับเหล่มองไปทางช่องประตูมืดๆ นั้น
สถานการณ์อย่างนี้ โดยปกติควรให้พวกเย่เลี่ยนมาที่นี่…
แต่อาการของสวี่ซูหานยังไม่มั่นคง ถึงเธอจะสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ภายใต้แรงกระตุ้นจากความกลัว หากอะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน เธออาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้
พอถึงเวลานั้น จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายเสียเปล่าๆ…
อีกอย่างก็เหมือนกับที่ซย่าน่าบอก หากให้พวกเธอแยกย้ายกัน แล้วเหลือไว้เพียงหนึ่งคนหรือสองคน หลิงม่อก็ไม่วางใจเรื่องความปลอดภัยของพวกเธออีก
“เรียกอวี๋ซือหรานมาแล้วกัน…”
หลังจากถ่ายทอดคำสั่งผ่านกระแสจิต หลิงม่อก็ยืนรออยู่ข้างประตูอีกหลายสิบวินาที
ไม่นาน ประกายสีแดงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด และกำลังพุ่งเข้ามาใกล้หลิงม่อด้วยความเร็วสูง
ซอมบี้ระดับธรรมดาตัวเล็กๆ ในสภาพน่าสยดสยองมายืนตรงหน้าหลิงม่อ และเมื่อร่างจริงได้สบตากับหุ่นซอมบี้ ตัวหลิงม่อเองยังรู้สึกขนลุกเล็กน้อย
ใบหน้าบิดเบี้ยวนั่น…ช่างทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้อย่างไม่มีวันเหนื่อยจริงๆ…
ไม่น่าล่ะแรงขับเคลื่อนของซอมบี้ถึงได้มีแต่การวิวัฒนาการ หน้าตาอย่างนี้…ก็ต้องพยายามวิวัฒนาการกันหน่อยล่ะ…
หุ่นซอมบี้ตัวน้อยยื่นมือไปทางประตูเหล็กอีกครั้ง รออยู่ 2 วินาทีพอเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันจึงรีบแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังผ่านไป 1 – 2 นาที หลิงม่อจึงค่อยเดินตามเข้าไป…
ซ่า ซ่า…
หลังเสียงแหวกหญ้าดังแว่วเบาๆ ทันใดนั้น ท่ามกลางต้นหญ้าหนาทึบก็มีจมูกสีดำยื่นออกมา
หลังจากสูดดมแรงๆ สองครั้ง ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งก็ปรากกฎขึ้นหลังพุ่มหญ้าที่แหวกออก
ใบหญ้ารูปเลื่อยครืดผ่านขนสีขาวปุกปุย แต่กลับไม่สามารถดึงขนหลุดออกมาได้แม้แต่เส้นเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถสร้างบาดแผลอะไรได้ไหม…
“ระวังหน่อย อย่าปล่อยให้เพื่อนร่วมสายพันธุ์พวกนั้นเห็นนายเข้า”
มือเล็กๆ ข้างหนึ่งแหวกใบหญ้าออก อวี๋ซือหรานนั่งอยู่บนหลังหมีแพนด้ากลายพันธุ์ เธอกำลังจ้องไปยังประตูเหล็กที่อยู่ไม่ไกล
นี่คือแผนของหลิงม่อ ถ้าหากในทางเดินสำหรับพนักงานมีอะไรอยู่จริงๆ พวกเขาก็จะล้อมหน้าล้อมหลังไว้ได้พอดี
ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสให้พวกเธอสำรวจข้างนอกไปด้วย ดูว่ามู่เฉินออกมาข้างนอกหรือเปล่า
“ไม่มีกลิ่นเลือดใหม่ๆ…แต่ว่ามีกลิ่นอาหารอยู่มากมายเลย…”
อวี๋ซือหรานสูดหายใจลึกๆ พร้อมกับทำหน้าเคลิบเคลิ้ม
หมีแพนด้ากลายพันธุ์เสี่ยวป๋ายเองก็สะบัดหัวไปมา พร้อมกับหลับตาทำหน้าเหมือนกำลังดื่มด่ำกับหลิ่นหอมหวน
ป๊าบ!
หลังจากถูกตบหัวดังป๊าบ เสี่ยวป๋ายก็กลับสู่โลกแห่งความจริง
“บอกแล้วไงว่าให้ระวัง ว่ายังไงแล้วนะ…อ้อ อำพรางตัวน่ะเข้าใจไหม! อำพรางตัว…”
หลังจากบ่นสองสามคำ อวี๋ซือหรานก็มองประตูบานนั้น แล้วก้มหน้ามองเสี่ยวป๋ายอีกครั้ง
“เฮ้ย ไม่ใช่ละ! แกเข้าไปในประตูนั้นไม่ได้นี่!”
จากขนาดร่างกายของเสี่ยวป๋าย หากคิดจะเบียดตัวผ่านประตูบานนั้นไปได้ คงต้องผอมลงอีกซัก 2 – 3 รอบก่อน
ตอนนี้…อย่างมากก็คงทำได้แค่ยัดหัวเข้าไป…
ความจริงใช้ไม้แข็งก็ได้ แค่ประตูบานเดียว พุ่งชนเบาๆ ก็ปลิวแล้ว
แต่คำสั่งของหลิงม่อ คือต้องอำพรางตัวเข้าไปอย่างเงียบๆ…
อวี๋ซือหรานกระโดดลงมาอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็ยกมือตบเสี่ยวป๋ายเบาๆ “แกรออยู่ตรงนี้ ฉันจะเข้าไปเอง”
เพิ่งจะพูดจบ เธอก็กลอกตาขาว แล้วพูดเสริมอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉัน…ฉันกับเฮยซือจะเข้าไป…ชิ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้แกก็ยังจะใส่ใจอีก มีปัญญาก็ไปคุยกับเจ้ามนุษย์ไส้กรอกโน่นสิ เขาต่างหากล่ะที่ไม่ได้พูดถึงชื่อแก…”
กระทั่งเข้าไปในประตูแล้ว อวี๋ซือหรานก็ยังพูด “พึมพำกับตัวเอง” เสียงเบาๆ…
มองเข้าไปแวบแรก เธอกลับมองไม่เห็นเงาคน และไม่เห็นร่องรอยของหลิงม่อด้วย
อวี๋ซือหรานย่นจมูกขึ้นลง ไม่นานเส้นไหมสีเงิน 2 – 3 เส้นก็แผ่ออกมา พลางไหวเบาๆ อยู่รอบตัว
เธอมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอบ แล้วปิดประตูเบา จากนั้นก็เดินลึกเข้าไปในทางเดิน
ขณะที่เดินผ่านกระจกแขวนบนผนัง อวี๋ซือหรานหยุดเดิน แล้วทำหน้าทะเล้นใส่กระจกขุ่นๆ
“แน่จริงแกกัดฉันสิๆ…ใครใช้ให้แกมาว่าป้านเยว่ของฉันดีนัก ชอบพูดว่าเจ้ามนุษย์นั่นเป็นเจ้านายที่ดีที่สุด…อยู่กับเขาก็แค่ได้กินของดีหน่อยก็เท่านั้นเอง เหอะ ในหัวมีแต่เรื่องกิน ดูซิตอนนี้แกมีสภาพยังไงแล้ว…ฉันหรอ? ฉันไม่ได้ถูกจับตัวเพราะเห็นแก่กินซักหน่อยนะ!”
อวี๋ซือหรานยกกำปั้นใส่กระจก “หยุดพูดมากได้แล้วแกน่ะ เดี๋ยวถ้าทำเสียเรื่อง ฉันจะบอกเจ้ามนุษย์ไส้กรอกว่าเป็นความผิดของแกทั้งหมด…เป็นแค่สัตว์เลี้ยงแท้ๆ…โอ๊ย!”
จู่ๆ ซอมบี้โลลิก็ยกมือบิดจมูกตัวเองอย่างแรง เธอหมายจะใช้มืออีกข้างจับข้อมือตัวเอง แต่ปรากฏว่ามือข้างนั้นกลับเคลื่อนไปอีกทางแล้วหยิกหูตัวเองแทน
“หยุดเดี๋ยวนี้ๆ…”
หลังจากตบมือดังๆ หนึ่งครั้ง อวี๋ซือหรานก็ย่นจมูกใส่กระจกอีกครั้ง
ตอนที่กำลังจะเดินจากไป จู่ๆ เธอก็หยุดอีกครั้ง
“เอ๋?”
เสี้ยววินาทีที่เธอหมุนกายจะเดินจากไป ในกระจกเหมือนจะมีเงาโผล่ขึ้นมาหนึ่งเงา…
—————————————————————————–