แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 696 ทางเส้นเดิมที่หายไป
อวี๋ซือหรานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ขณะที่เส้นไหมสีเงินทั้งสองเส้นเริ่มเคลื่อนไหว โดยที่เส้นหนึ่งยื่นขึ้นไปบนเพดาน และอีกเส้นเลื้อยไปตามพื้นด้านหลังเธอ
ซอมบี้โลลิสติปัญญาไม่สูง แต่ยังมีเฮยซืออยู่…
เส้นไหมสีเงินตรวจสอบบริเวณรอบๆ หนึ่งครั้งแต่ก็ไม่ค้นพบอะไร จึงได้หดตัวกลับมาอย่างช้าๆ
แต่อวี๋ซือหรานกลับกระพริบตาปริบๆ เหมือนยังไม่อยากเชื่อ เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วหันหน้าเข้าหากระจก
บนกระจกถูกเคลือบด้วยฝุ่นหนึ่งชั้น จึงทำให้เห็นแค่มัวๆ บวกกับแสงสว่างที่มีไม่มาก ถ้าหากอวี๋ซือหรานไม่ใช่ซอมบี้ เกรงว่าแม้แต่เงามัวๆ ที่สะท้อนในกระจกก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัด
“เอ๋ ทำไมถึงได้…เฮยซือ เงียบไปเลย ฉันไม่ได้ตาฝาดนะ!”
หลังจากจ้องกระจกครู่หนึ่ง อวี๋ซือหรานก็เบะปากแก้ตัว พร้อมกับยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดกระจกอย่างไม่ยอมแพ้
เมื่อคราบฝุ่นถูกเช็ดออกทีละนิดๆ เงาสะท้อนอวี๋ซือหรานที่อยู่ในกระจกก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
บนดวงหน้าขาวเกลี้ยงเกลา สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคงหนีไม่พ้นดวงตาที่แดงจนเหมือนกำลังสะท้อนแสง ส่วนของตาขาวไม่มีเส้นเลือดเลยแม้แต่เส้นเดียว เหมือนเครื่องลายครามสีขาวเนื้อดี ความแตกต่างที่ชัดเจนอย่างนี้ ดูแปลกประหลาดเมื่อสะท้อนอยู่ในกระจก แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนความงามที่แฝงไว้ด้วยความกระหายเลือดด้วยเช่นเดียวกัน
เครื่องหน้าที่อ่อนวัยแต่ประณีตงดงาม บุคลิกไร้เดียงสาแต่แอบแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจและเย็นชา ด้านหลังมีเส้นไหมสีเงินสิบกว่าเส้นลอยไหวไปมาอยู่กลางอากาศเป็นฉากหลัง…
ทว่าสำหรับผู้รอดชีวิตส่วนมาก ไม่สำคัญว่าซอมบี้จะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญหนึ่งเดียวที่พวกเขาจะต้องสังเกตก็คือดวงตาของพวกมันเป็นอย่างไรต่างหาก เพราะว่านั่นเกี่ยวโยงถึงเปอร์เซ็นต์การมีชีวิตรอด หรืออัตราความเร็วที่พวกเขาจะต้องตายโดยตรง
ตัวซอมบี้เองก็ไม่ได้สนใจรูปลักษณ์ของตัวเองแต่อย่างใด สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนในฝูงซอมบี้คือระบบการแบ่งลำดับขั้นที่โหดร้าย หากไม่มีพลังความสามารถ แม้จะเป็นดาราหรือซุปเปอร์โมเดลที่กลายร่างเป็นซอมบี้ สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นซอมบี้ที่หน้าตาบิดเบี้ยวผิดรูปและล่าเหยื่อได้แค่ระดับล่างเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นพวกมันยังต้องแบกรับความเสี่ยงที่อาจกลายเป็นเหยื่อได้ทุกเมื่ออีกด้วย
และถึงแม้ว่าในกลุ่มซอมบี้ระดับสูงก็ยังต้องฆ่าฟันกันเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่ามาก
อย่างน้อยซอมบี้ระดับสูงก็ไม่ต้องเดินเอื่อยเฉื่อยไปมาช้าๆ เหมือนหุ่นไม้เพื่อประหยัดพลังงานเหมือนซอมบี้ธรรมดาพวกนั้น …
ความจริงแล้ว ยิ่งซอมบี้ไต่ระดับขึ้นสูงเท่าไหร่ จำนวนครั้งที่ต้องออกล่าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
และซอมบี้สัตว์ป่าก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่เหมือนกับพวกเย่เลี่ยนที่อยู่กับหลิงม่อมาโดยตลอด
สาระสำคัญในการมีชีวิตอยู่ของพวกมันมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือการเข่นฆ่า
และเป้าหมายหนึ่งเดียวที่เป็นตัวขับเคลื่อนก็มีเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน นั่นคือการวิวัฒนาการ วิวัฒนาการอย่างไม่มีวันหยุด
เมื่อก่อนอวี๋ซือหรานเองก็ใช้ชีวิตคล้ายๆ กัน ถึงจะอยู่กับซอมบี้ความคิดแผลงๆ อย่างป้านเยว่ ทำให้สาระสำคัญในการใช้ชีวิตต่างออกไปบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ยังอยู่บนเส้นทางเดียวกัน
แต่หลังจากอยู่กับหลิงม่อ เธอก็ได้เดินบนทางอีกเส้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แน่นอน ตอนนี้อวี๋ซือหรานยังตระหนักไม่ได้ถึงจุดนี้ เธอกระทั้งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านับตั้งแต่ที่เธอถูกจับตัวมา สัตว์เลี้ยง 2 ตัวที่หลิงม่อได้มา ถูกมอบหมายให้เธอเป็นคนดูแล…
“ชิ…”
อวี๋ซือหรานมองซ้ายมองขวาในกระจก พอเห็นว่าไม่มีเงาอะไรจริงๆ ก็แค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
เส้นไหมสีเงินสิบกว่าเส้นนั้นพากันสั่นไหวเหมือนระลอกคลื่น ราวกับกำลังหัวเราะเยาะเธอเงียบๆ ดูแล้วน่าขนลุก
โชคดีที่แถวๆ นี้ไม่มีผู้รอดชีวิต ไม่อย่างนั้นถึงจะไม่รู้ระดับขั้นของอวี๋ซือหราน แต่แค่เห็นเส้นไหมเหล่านี้ก็คงจะตกใจจนขนลุกซู่ไปแล้ว
“หัวเราะอะไรไม่ทราบ…”
อวี๋ซือหรานหงุดหงิด แต่ในขณะที่กำลังจะเดินออกไป เธอก็สัมผัสได้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณทันที
ในขณะเดียวกันนั้น ภาพสะท้อนในกระจกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด…
เงาร่างหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากด้านหลังศีรษะของอวี๋ซือหราน ความสูงเกือบเทียบเท่าอวี๋ซือหราน เพียงแต่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ผิวขาวซีดเหมือนกระดาษ ศีรษะห้อยลงด้านข้างเล็กน้อย
สุดท้าย ศีรษะของเงาร่างนั้นก็มาโผล่อยู่ข้างๆ ใบหน้าของอวี๋ซือหราน เหมือนมีคนเอาหัวมาวางไว้บนไหล่อวี๋ซือหราน แล้วมองกระจกพร้อมกับเธอ
แม้นี่จะเป็นภาพที่น่าผวา แต่สำหรับซอมบี้ มันกลับไม่ได้ส่งผลอะไรเลยทั้งสิ้น…
แต่ตอนนี้ อวี๋ซือหรานกลับจ้องศีรษะของเงาร่างนั้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์อย่างเอาเป็นเอาตาย!
สัมผัสไม่ได้!
เส้นไหมสีเงินตรวจจับอะไรไม่เจอเลย ทั้งด้านหลังเธอและบนไหล่เธอด้วย…
ภาพที่อยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจทั้งหมด ทำให้ซอมบี้โลลิยืนอึ้งอยู่กับที่อย่างไม่รู้ตัว
เธออยากรู้มาก ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่…
และในตอนนั้นเอง ศีรษะของเงาร่างนั้นก็ค่อยๆ ยกคางขึ้น ทำให้เส้นผมที่ปรกหน้าแหวกออกเป็นสองฝั่ง
ปากที่เลอะคราบเลือด ดวงตาที่แดงก่ำไปทั้งดวงและดูยุ่งเหยิงสุดขีด แล้วยังมีใบหน้าที่ทั้งบิดเบี้ยวและดูคลุ้มคลั่งนั่นอีก…
สภาพอย่างนี้ แตกต่างกับอวี๋ซือหรานอย่างสิ้นเชิง!
แต่ในตอนที่อวี๋ซือหรานเห็นใบหน้านี้ชัดๆ กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว
ถึงแม้สีหน้าไม่เหมือน และดวงตาก็เปลี่ยนไปมาก แต่…
นี่มันหน้าของเธอชัดๆ…
“ปึง! เพล้ง!”
เส้นไหมสีเงินหลายเส้นพุ่งออกไปโจมตีกระจกจนแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ
ภาพในเงากระจกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และร่วงลงบนพื้น อวี๋ซือหรานถอยกรูดด้วยใบหน้าตะลึง จากนั้นก็หันไปมองที่ทางเดิน
แต่เพิ่งจะหมุนกายไป อวี๋ซือหรานก็อึ้งค้างไปทันที
ในความมืดตรงหน้า ดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่งกำลังจ้องเขม็งมาทางเธอ
เป็นดวงตาของคนในกระจก…หรือก็คือเธอในสมัยก่อน…
“นี่มันอะไรกัน…”
อวี๋ซือหรานยืนงงอยู่กับที่ 2 วินาที พอเธอได้สติ เงาร่างนั้นกลับถอยหลังกลับเข้าไปในความมืดแล้ว แต่ในระหว่างถอยหลัง สายตาของมันก็จับจ้องอยู่บนตัวอวี๋ซือหรานตลอดเวลา…
“ห้ามหนีนะ!”
อวี๋ซือหรานไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เงาร่างประหลาดที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนนี้กลับสามารถดึงดูดความสนใจจากเธอได้สำเร็จ
เธอไม่ได้ขัดคำสั่งของหลิงม่อ เขาแค่บอกให้เธอเข้ามาแล้วตรวจสอบดูอย่างละเอียด และให้ระวังอันตรายให้ดี…แล้วการที่จู่ๆ “ตัวเองในสมัยก่อน” ปรากฏตัวให้เห็นอย่างนี้ ก็เป็นเป้าหมายที่ต้องระวังอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว…
พอคิดถึงตรงนี้ อวี๋ซือหรานก็วิ่งตามไปอย่างไม่ลังเลทันที…
ทว่าซอมบี้โลลิกลับไม่รู้ตัวเลยซักนิด ว่าสภาพแวดล้อมที่เดิมยังมีแสงสลัวๆ อยู่ ตอนนี้กลับกลายเป็นมืดสนิทเหมือนน้ำหมึกไปแล้ว…และดวงตาที่เดิมไม่เคยสนใจความมืดของเธอ ตอนนี้กลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดแล้วว่าในทางเดินมีอะไรอยู่กันแน่…
“ปึง เพล้ง!”
เสียงกระแทกดังมาแต่ไกล ขณะเดียวกันเสียงวัตถุแตกละเอียดก็ดังตามมาเบาๆ ด้วย
หลิงม่อที่กำลังเพ่งสมาธิควบคุมหุ่นซอมบี้ตัวเล็กและหนวดสัมผัสเงยหน้าขึ้นทันที แล้วมองไปยังทางเดินข้างหน้าอย่างระแวดระวัง
“มีการเคลื่อนไหว…”
เขาสัมผัสได้ว่าอวี๋ซือหรานเข้ามาแล้ว ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาสลับมุมมองสายตา อีกอย่างตั้งแต่ที่ดวงแสงแห่งจิตของเฮยซือและอวี๋ซือหรานเข้าสู่สภาวะยุ่งเหยิง ทุกครั้งที่หลิงม่อสลับมุมมองสายตา ก็ต้องใช้พลังงานไม่น้อย…
แต่ถ้ามีอันตราย เขาก็ยังสามารถส่งสัญญาณเตือนอวี๋ซือหรานได้ทันที ขณะเดียวกันอวี๋ซือหรานก็ทำอย่างนั้นได้เช่นกัน
หรือว่าจะเป็นมู่เฉิน?
อาจเป็นมู่เฉินที่ได้รับบาดเจ็บจนเดินเซไปชนข้าวของก็ได้
แต่ในทางเดินก็เหลืออยู่แค่ตู้ล็อกเกอร์เท่านั้น แค่นี้ก็ยังเดินชนได้อีกหรอ…
“เดี๋ยวก่อน…”
จู่ๆ หลิงม่อก็หยุดเดิน จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับไป
หลังจากมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอบ หัวใจของเขาก็เต้นดัง “ตึกตัก”
ซวยแล้ว เขามัวแต่เพ่งสมาธิอยู่กับการตรวจจับดวงแสงแห่งจิต แล้วก็เอาแต่จ้องคราบเลือดบนพื้น แต่ดันลืมสังเกตสภาพแวดล้อมรอบข้างไปซะได้
แม้แสงสว่างจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่เขาเดินเข้ามาลึกจนไม่อาจวัดระยะทางได้อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…
“ติดกับซะแล้ว…” สีหน้าของหลิงม่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขายืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับควบคุมให้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กข้างหน้าหยุดเดินด้วย
เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้อยู่ไม่ไกลมาก และทางเดินสำหรับพนักงานที่หลิงม่อจำได้ก็ไม่ได้ยาวมาก ทางโค้งก็มีไม่เยอะ หุ่นซอมบี้ตัวเล็กวิ่งด้วยความเร็วระดับนี้ น่าจะมองเห็นจากที่ไกลๆ ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้านั่น
หลิงม่อควบคุมให้มันออกวิ่งทันทีที่ได้ยินเสียงกระแทก แต่จนถึงตอนนี้เขากลับยังไม่เจออะไรเลย
ตอนนี้พอรู้ตัวว่าสภาพแวดล้อมรอบกายเปลี่ยนไป รูปแบบการค้นหาแบบปกติก็หมดความหมายไปทันที
แต่หลิงม่อไม่ได้ตื่นตระหนก ไหนๆ ก็ติดกับแล้ว ตื่นตูมไปก็มีแต่จะตายเร็วขึ้น
ดูจากรูปการ น่าจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต
แต่เขาอัพเกรดมามากขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าจะยังมีผู้มีความสามารถพิเศษที่สามารถล่อเขามาติดกับได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวอย่างนี้ ร้ายกาจไม่เบาจริงๆ…
เห็นชัดว่ามู่เฉินเองก็โดนเข้าแล้วเหมือนกัน ส่วนอวี๋ซือหราน…
“เดี๋ยวนะ…สัมผัสไม่ได้แล้ว?”
ในที่สุด หลิงม่อก็หน้าถอดสี สายสัมพันธ์ทางจิตไม่ได้ถูกตัดขาด แต่เขากลับหาตำแหน่งของอวี๋ซือหรานไม่เจอแล้ว
ไม่ใช่แค่อวี๋ซือหรานเท่านั้น แม้แต่ตำแหน่งของพวกเย่เลี่ยนก็หายไปด้วย…
“เราแทบไม่รู้ตัวเลย…”
หลิงม่อกัดฟันกรอด คนคนนี้ร้ายกาจมาก แถมยังเป็นคนที่รู้จักเขาในระดับหนึ่งด้วย!
อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต และรู้ด้วยว่าเขามีพลังจิตสำรวจ!
“เริ่มด้วยการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งล่อมู่เฉินมาที่นี่ จากนั้นก็รอให้เรามาตามหา อีกฝ่ายรู้ว่าเราจะต้องรวบรวมสมาธิในการตามหามู่เฉินแน่ๆ และสุดท้ายก็ติดกับเพราะเพ่งสมาธิเกินไป…”
หลังปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ก็พบว่ามีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้น
ไม่ว่าหลิงม่อจะพาทุกคนมาด้วยหรือไม่ แต่อย่างน้อยมีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ คือตัวเขาต้งอมาแน่นอน…
หลิงม่อกลับรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย โชคดีที่ไม่ได้ให้พวกเย่เลี่ยนตามมาด้วยซักคน
อีกฝ่ายมีความสามารถพิเศษชนิดนี้ ถึงแม้พวกเย่เลี่ยนจะเข้ามา ผลที่ได้ก็เหมือนกัน แถมอาจแย่กว่าด้วยซ้ำ
หากต้องอสู้ขึ้นมาหลิงม่อคงห่วงหน้าพะวงหลัง พอถึงตอนนั้นพลังต่อสู้ของเขาคงลดลงไม่น้อย
ตอนนี้เขาก้าวเข้ามาในกับดักของอีกฝ่ายแล้ว แสดงว่าคนคนนี้กำลังต่อกรกับเขาเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นพวกเย่เลี่ยนก็จะปลอดภัย
ถึงอีกฝ่ายจะมีพรรคพวก แต่ผู้มีความสามารถพิเศษที่ไม่ใช่ด้านพลังจิตนั้นยากจะต่อกรกับพวกเย่เลี่ยนได้
ยิ่งไปกว่านั้น ชั้นใต้ดินยังมีซอมบี้อยู่เป็นร้อยตัว ซึ่งการมีอยู่ของพวกมันสามารถปิดบังตัวตนของพวกเย่เลี่ยนได้…
แต่คิดก็ส่วนคิด สุดท้ายหลิงม่อก็ยังคงอดห่วงไม่ได้
โดยเฉพาะอวี๋ซือหรานที่ตอนนี้ก้าวเข้ามาติดกับแล้ว…
“ต้องรีบคิดหาทาง! ต้องมั่นใจก่อนว่านี่ใช่ภาพลวงตาหรือเปล่า…”
หลิงม่อหันกลับไปมอง ข้างหลังมีแต่ความมืด ราวกับเส้นทางที่เดินมาถูกความมืดกลืนกินไปแล้ว
ตั้งแต่ที่เขารู้ตัว แสงสว่างก็น้อยลงมาก
ในเมื่ออยู่ในกับดักของอีกฝ่าย ซ่อนตัวไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว หลิงม่อจึงตัดสินใจเปิดไฟฉายเสีย
ปั๊กๆ…
หลังตบสองที ไฟฉายที่แสงอ่อนลงก็ไม่ได้สว่างขึ้นแต่อย่างใด หลิงม่อจึงทำได้เพียงย่นจมูกยอมรับอย่างช่วยไม่ได้
“ได้จังหวะจริงๆ…นึกว่าจะใช้ได้อีก 2 – 3 วันซะอีก”
หลิงม่อหมดคำพูด ทำไมรู้สึกว่าวันนี้ซวยเป็นพิเศษ แถมเขายังชอบใจลอยอีก?
เป็นเพราะความรู้สึกไม่สบายใจนั่น?
จะว่าไปแล้ว หลังจากที่มู่เฉินหายตัวไป เขาก็ยากจะควบคุมตัวเองให้อยู่ในสภาวะปกติ…
“เราไม่น่าจะเป็นห่วงหมอนั่นจนถึงขั้นจิตใจกระเจิดกระเจิงหรอกมั้ง น่าหงุดหงิดจริงๆ…” หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่ขณะเดียวกันกลับควบคุมให้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเดินเลียบแนวกำแพงย้อนกลับมาหาตัวเองช้าๆ
เล็บแหลมคมของมันจิกเข้าไปในฝ่ามือตัวเอง ฝ่ามือเปื้อนเลือดแนบติดกับผิวกำแพง และลากเดินมาตลอดทาง…
ถึงแม้หลิงม่อจะร้อนใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าหากสติกระเจิงแล้ววิ่งไปทั่ว หรือรีบร้อนตามหาเจ้าตัว คือการรนหาตายที่แท้จริงต่างหาก
รอให้จับทางได้ก่อนว่าอีกฝ่ายมีความสามารถพิเศษอะไร จึงจะสามารถคิดว่าทางรับมือที่เหมาะสมได้
—————————————————————————–