แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 697 พรสวรรค์ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ก๊อกๆๆๆ—
หลิงม่อเดินเข้าใกล้ผนัง แล้วยกมือเคาะ
เขาออกแรงเคาะไปไม่เบา แต่กลับรู้สึกเจ็บข้อต่อนิ้วมือเบาๆ เท่านั้น
การอัพเกรดร่วมกันเป็นกลุ่มของเหล่าซอมบี้สาวในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อตัวเขาไม่น้อย
ถึงแม้จะก้าวพลาดเข้ามาติดในกับดักอย่างนี้ แต่หลิงม่อกลับไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
ที่เขาเป็นห่วงก็มีแต่อวี๋ซือหรานเท่านั้น…
ขณะที่เสียงเคาะดัง ผิวผนังก็สั่นไหวเบาๆ ด้วยเช่นกัน
ไหนๆ ก็อยู่ในถิ่นของคนอื่นแล้ว คงไม่ต้องเบาไม้เบามือกลัวใครจับได้อีก ไม่แน่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายอาจกำลังจ้องเขาอยู่ก็ได้…
“ของจริง…”
หลิงม่อลูบนิ้วมือเบาๆ เขายืนยันแล้วว่าสัมผัสที่นิ้วมือคือของจริง
หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเองก็หยุดเดินในขณะที่เขาเคาะผนัง แล้วใช้หูแนบฟัง
“อืม หุ่นซอมบี้สัมผัสได้ถึงแรงสะเทือน แสดงว่าพวกเราอยู่ในสถานที่เดียวกัน…แต่ในเมื่อต้องการแยกเราออกมา แล้วทำไมไม่ตัดสายสัมพันธ์ทางจิตของเรากับหุ่นซอมบี้ล่ะ?”
หลิงม่อครุ่นคิด แล้วส่ายหัวไปมา
มีเบาะแสน้อยเกินไป คิดไปก็ไม่ได้ผลสรุปอยู่ดี ยังไม่ต้องเสียเวลาคิดเรื่องนี้ดีกว่า
ทว่า หลิงม่อได้จดจำทุกข้อสงสัยไว้ขึ้นใจหมดแล้ว ไม่แน่ว่าบางทีมันอาจมีประโยชน์ขึ้นมาก็ได้
ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายทำอย่างนี้เพื่ออะไร…เหตุผลมีมากเกินไป
เหตุผลที่ง่ายที่สุด อาจเป็นเรื่องการแย่งชิงทรัพยากร…
ถึงแม้สิ่งของจำเป็นของพวกหลิงม่อจะอยู่กับเสี่ยวป๋ายทั้งหมด แต่อย่างอื่นยังไม่พูดถึง แค่ปืนไรเฟิลเทพเจ้าสายฟ้าในมือเย่เลี่ยนก็มากพอที่จะทำให้ผู้รอดชีวิตคนอื่นจ้องตาเป็นมันแล้ว
พวกนั้นไม่สนหรอกว่าตัวเองจะใช้เป็นไหม แย่งมาได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะถึงอย่างไรคนส่วนมากก็มีแค่อาวุธเย็นมากกว่า…
อาวุธร้อนไม่ใช่ว่าหาไม่ได้ แต่อาวุธร้อนที่เก็บเสียงได้ด้วยนั้นหายากเกินไป…
อีกอย่างการค้นหาของในเมือง ไม่ว่าตามหาอะไรก็ต้องแบกรับความเสี่ยงอันใหญ่หลวงไว้บนบ่าทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้
นอกจากนี้ หน้าที่แบกกระเป๋าเป้ ไม่ใช่หน้าที่ที่จะมีกันได้ในกลุ่มผู้รอดชีวิตทั่วไป
กระเป๋าเป้น่ะหาไม่ยาก แต่ที่หายากคือของที่จะเอามาใส่ให้เต็มกระเป๋าต่างหาก
สภาพอาคารก่อสร้างส่วนใหญ่อาจยังดูสมบูรณ์อยู่ แต่ในความเป็นจริงผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน ทรัพยากรที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ก็ลดลงอย่างน่าสงสาร
บรรจุภัณฑ์ที่ถูกทำให้เสียหาย อาหารหมดอายุ ธัญพืชที่ปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอม แล้วยังมีแมลงสาบและหนูที่วิ่งยั้วเยี้ยอยู่ในโซนอาหารของซุปเปอร์มาเก็ตอีก…
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนตอนที่พวกมันยังไม่ติดเชื้อไวรัส มนุษย์อาจยังสามารถเพิ่มสิ่งที่ถูกพวกมันกัดแทะเข้ามาในรายการอาหารที่สามารถกินได้ แต่ตอนนี้แค่เห็นดวงตาสีแดงนั่น ก็ไม่มีใครกล้ากินแล้ว…
หลิงม่อยังนึกไม่ออกว่าพวกมันก้ามข้ามมาได้อย่างไร แต่ทันทีที่เหล่าสัตว์ประหลาดตัวน้อยที่เข้าออกทุกซอกทุกมุมพวกนี้ปรากฏกายขึ้น ทรัพยากรก็ลดฮวบจนขาดแคลนหนักกว่าเดิม
กลุ่มที่มีความสามารถในการผลิตธัญพืช ก็มีแต่ค่ายขนาดใหญ่
แต่ถึงแม้จะเป็นค่ายขนาดใหญ่ ก็เกรงว่ามีมีธัญพืชไม่พอแบ่งเหมือนกัน…
การมีชีวิตอยู่ ช่างลำบากจริงๆ…
“ถ้าหากทำเพื่อแย่งชิงสิ่งของจริงๆ ก็คงต้องโทษที่เลือกเล่นงานผิดคนแล้วล่ะ”
หลิงม่อยกมือวางผนัง หนวดสัมผัสทางจิตแผ่ออกไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ค่อยๆ แทงทะลุผ่านผิวผนัง
ถึงแม้จะเป็นหนวดสัมผัสไร้รูป แต่เวลาแทงทะลุผ่านสิ่งกีดขวาง การเผาผลาญพลังงานก็จะเพิ่มขึ้นทันที
ทว่าตอนนี้หลิงม่อไม่สนใจการเผาผลาญพลังงานเพียงเท่านี้แล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่มียาจำพวกฟื้นพลังติดตัวอยู่ด้วย อย่างไรก็เพลาๆ มือหน่อยดีกว่า ใช้หนวดสัมผัสสำรวจแค่เส้นเดียวก็พอแล้ว
เมื่อหนวดสัมผัสแทงทะลุออกจากอีกฟากของผนัง สายตาของหลิงม่อก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย
เดาว่าอีกฝ่ายคงคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความสามารถประเภทนี้อยู่ด้วยสินะ…
แต่ในตอนนั้นเอง หลิงม่อก็หน้าถอดสีอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น?”
ภายใต้การควบคุมพลังจิตตานุภาพของเขา หนวดสัมผัสกำลังสั่นไหวไปมาอยู่อีกฟากของผนัง และกำลังยืดยาวออกไปเรื่อยๆ ด้วย
แต่ว่า…เขาหาสิ่งกีดขวางชิ้นต่อไปไม่เจอ!
“เดี๋ยวก่อน…ไม่แน่อาจเป็นถนนใหญ่ข้างนอกก็ได้…”
หลิงม่อรีบควบคุมให้หนวดสัมผัสหักเลี้ยวลงข้างล่าง และพุ่งแทงลงไป
ไม่นาน สีหน้าของหลิงม่อก็ยิ่งกลายเป็นเหมือนคนที่เห็นผีเข้าแล้ว
เป็นไปไม่ได้!
นอกจากว่าเขาจะอยู่บนตึกสูง ถ้าไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็น่าจะพุ่งถึงพื้นแล้วสิ!
แต่เขามั่นใจว่าตั้งแต่เข้ามาในห้องบันได เขาก็เริ่มเดินตามหาได้แค่ 2 – 3 นาทีเท่านั้น แถมตึกสูงที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่อีกฝั่งของถนนด้วย เขาจะข้ามไปได้อย่างไร?
ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาหรืออะไร ล้วนถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานความแกร่งของพลังจิตของอีกฝ่าย
ถึงอีกฝ่ายจะมีพลังจิตที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ก็คงไม่สามารถทำให้เขาเดินขึ้นตึกสูงโดยไม่รู้ตัวได้…
ก็เหมือนกับหลิงม่อ เขาแทบจะฝึกซ้อมพลังจิตอยู่ตลอดเวลา และยังมีพลังกลืนกินด้วย
ทว่าเขาก็ไม่ได้ออกไปใช้พลังกลืนกินกับซอมบี้อยู่ตลอด เพราะแค่มีพลังจิตอย่างเดียวยังไม่พอ แต่ต้องมีพลังจิตตานุภาพที่แข็งแกร่งด้วย
หรือพูดอีกอย่างก็คือ จะเอาแต่วางท่อแล้วสูบน้ำใส่อย่างเดียวไม่ได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือบ่อน้ำต้องแข็งแรงมั่นคง และต้องขยายขนาดก่อน
และระดับความยากของการทำอย่างนั้น ก็สูงมากด้วย…
พลังจิตของหลิงม่อถือได้ว่าแกร่งกว่าผู้รอดชีวิตทั่วไปมาก เหตุผลหลักเป็นเพราะเขาควบคุมหุ่นซอมบี้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องรับการฝึกซ้อมอยู่ทุกวินาที เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ว่าใครก็ทำกันได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ที่จริงหลิงม่อยืนอยู่บนความเป็นความตายมาโดยตลอด
หากเขาผ่อนคลายเกินไป สายสัมพันธ์ทางจิตอาจถูกตัดขาด
โดยเฉพาะเสี่ยวป๋ายกับอวี๋ซือหราน ตัวหนึ่งเป็นสัตว์กลายพันธุ์ขนานแท้ สัญชาตญาณสัตว์ป่าเต็มร้อย
อีกตัวตอนนี้อยู่ในสภาวะไม่ปกติ แค่การรักษาสายสัมพันธ์ทางจิตให้คงอยู่ก็ต้องใช้พลังจิตมากกว่าพวกเย่เลี่ยนแล้ว แต่นี่ยังคิดจะหนีอยู่ตลอดเวลาอีก…
ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ พลังจิตตานุภาพของหลิงม่อย่อมต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว…
แต่ตอนนี้ เหตุการณ์ตรงหน้าเหนือความคาดหมายไปมากจริงๆ หลิงม่ออดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
พลังควบคุมหุ่นซอมบี้ของเขา ความจริงไม่ใช่พลังที่อาศัยความแกร่งของร่างจริงเป็นหลัก
แต่เขาอาศัยความพยายามของตัวเอง เปลี่ยน “ร่างจริงอันอ่อนแอ” ที่ตอนแรกอาจซ่อนตัวอยู่ในมุมเล็กๆ แล้วอาศัยหุ่นซอมบี้ให้ต่อสู้และหาอาหารแทนตัวเอง ให้กลายเป็นเหมือนตอนนี้
บอกได้เลยว่า หากวัดกันแค่พรสวรรค์ ความสามารถพิเศษของหลิงม่อนับได้ว่าอยู่แค่ระดับกลาง
ถึงแม้คนอื่นจะมีความสามารถพิเศษนี้ ก็ไม่มีทางคิดหาทางให้หุ่นซอมบี้อัพเกรด และยิ่งไม่มีทางปกป้องหุ่นซอมบี้แน่นอน เพราะการทำอย่างนั้นก็เหมือนกับสลับความสำคัญกันไม่ใช่หรือ …
ก็แค่หุ่นซอมบี้ตายไปหนึ่งตัว เปลี่ยนตัวใหม่ก็สิ้นเรื่อง…
ในทางความสามารถพิเศษ หากเปรียบเทียบกับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตที่สามารถสร้างภาพลวงตา กระทั่งส่งผลกระทบต่อจิตใจคนได้อย่างนี้ หลิงม่อถือว่าด้อยกว่าหนึ่งก้าว
“กลัวอะไร ถ้าไม่มีพลังควบคุมหุ่น เราจะได้อยู่กับพวกเย่เลี่ยนหรอ…พลังนี้แหละที่เหมาะกับเราที่สุด ช่างหัวภาพลวงตาสิ ถ้ายังอยู่ในพื้นที่เมื่อกี้อยู่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร ขอบเขตพื้นที่ก็ต้องเป็นเหมือนเดิมแน่นอน”
หลิงม่อคิดถึงตรงนี้ ก็สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อทำใจให้สงบ
เขาเริ่มนึกย้อนถึงโครงสร้างของทางเดินสำหรับพนักงานเส้นนี้…
เพราะมีพลังสำรวจทางจิต เขาจึงรู้ว่าในทางเดินนี้ไม่มีซอมบี้ ดังนั้นหลิงม่อจึงพาทุกคนเดินผ่านทางเดินหลักโดยตรง ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด
พอมานึกดูตอนนี้ เหมือนจะมีทางเดินแยกออกไปเส้นหนึ่ง แต่เพราะเป็นทางไปห้องกล้องวงจรปิด หลิงม่อจึงยกไฟฉายส่องเข้าไปดูผ่านๆ เท่านั้น
นอกจากนี้ก็ยังมีห้องน้ำ และห้องเก็บของอีกจำนวนหนึ่ง
ประตูห้องเหล่านั้นถูกเปิดทิ้งไว้ แต่ข้างในก็ไม่มีอะไรให้น่าค้นหา
ทางเดินหลักเป็นรูปตัว Z มีทางเลี้ยวอยู่แค่ 2 – 3 ที่เท่านั้น ปลายทางเดินด้านหนึ่งเชื่อมติดกับบันได ส่วนอีกด้านก็ติดกับทางออก
“ไม่เลือกสภาพแวดล้อมที่มันซับซ้อนกว่านี้หน่อยล่ะ…”
ตอนนี้หลิงม่อสงบใจได้แล้ว ความสามารถพิเศษที่เขายังไม่เคยเห็นมีอยู่มากมาย ถึงแม้จะเป็นสายพลังจิตเหมือนกันแต่ก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกับที่เขาเคยเจอ การที่เกิดเหตุการณ์แปลกๆ อย่างนี้ขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร
การสู้กับผู้มีความสามารถพิเศษ วัดกันที่ว่าไพ่เด็ดของใครจะถูกหงายก่อน ยิ่งถูกจับได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้น
หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเริ่มเดินเลียบตามแนวผนังอีกครั้ง พร้อมกับฉาบเลือดบนผิวหนังไปด้วย
ในเมื่อยังอยู่ในพื้นที่เดิม ถ้าอย่างนั้นกลิ่นคาวเลือดจะต้องทำหน้าที่บอกทิศทางได้อย่างดีแน่นอน…
“ความเป็นไปได้ที่พวกเย่เลี่ยนจะได้กลิ่นมีน้อยมาก แต่อวี๋ซือหรานน่าจะได้กลิ่น…ถ้ามู่เฉินก็ถูกขังอยู่ในนี้เหมือนกัน เดาว่าคงจะคิดหาทางพันแผลให้มิดชิดไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นอวี๋ซือหรานก็คงหาเขาไม่เจอ”
หลิงม่อครุ่นคิด พลางเดินไปไม่หยุด
ตอนนี้เขากำลังหลับตา และเดินกลับไปทางเดิมตามที่เขาจำได้
การมองเห็นถูกบิดเบือน พลังจิตก็ถูกรบกวน จึงทำได้เพียงลองใช้วิธีนี้เท่านั้น…
“ทำไมพวกเขายังไม่กลับมาอีก?”
สวี่ซูหานชะเง้อมองเข้าไปในตัวห้างฯ พลางถามขึ้น
เธอหันกลับไปมองพวกเย่เลี่ยนที่อยู่อีกทางหนึ่ง แต่กลับพบว่าพวกเธอกำลังร่วมวงกันพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่
“ไม่รู้ว่าซอมบี้รู้จักเป็นห่วงกันบ้างไหม…” สวี่ซูหานอดคิดไม่ได้
ในตอนนั้นเองซย่าน่าก็เงยหน้าขึ้น เธอหลับตาแล้วสัมผัสรู้อยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็ลืมตาบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก เขายังอยู่ทางนั้น คงกำลังตามหาอยู่”
—————————————————————————–