แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 703 ตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่ง
รอบกายมีแต่เลือดสดๆ สาดกระเซ็น ชิ้นส่วนแขนขาปลิวว่อน แล้วยังมีซอมบี้มากมายที่กำลังกรูเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
แวบที่แรกที่เห็น รอบกายเต็มไปด้วยซอมบี้มากมายกำลังเบียดเสียดกัน แค่เห็นแวบเดียวก็ทำเอาขนลุกขนพองแล้ว
ซอมบี้ระดับสูงน่ากลัว แต่ทันทีที่ซอมบี้ธรรมดารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ก็น่ากลัวไม่ต่างกัน
ถูกดวงตาสีแดงก่ำมากมายจดจ้อง ทั้งหน้าหลังซ้ายขวาเต็มไปด้วยกรงเล็บที่กำลังไล่ตะปบอย่างบ้าคลั่ง แค่ความกดดันเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนเสียสติแล้ว
ในเสี้ยววินาทีที่เย่เลี่ยนกระโดดหลบซอมบี้ตัวหนึ่ง หลิงม่อเหลือบไปเห็นประตูหลัก
ประตูถูกแหวกออกจนกลายเป็นช่องทางเข้าออกได้อย่างสะดวก ซ้ำยังมีซอมบี้มากมายที่กำลังแทรกตัวเข้ามาผ่านช่องนั้น
เสียงขู่คำรามของซอมบี้ดังขึ้นเป็นระยะ หากอยู่ในห้างจะได้ยินอย่างชัดเจน แต่เมื่อเดินทางมาถึงร่างจริงของหลิงม่อ มันก็กลายเป็นเพียงเสียงแว่วๆ แล้ว
หลิงม่อรู้สึกเหมือนยังคงได้รับผลกระทบจากกลิ่นเชื้อไวรัสชนิดนั้นอยู่รางๆ ถึงแม้จะไม่เห็นภาพลวงตาแล้ว แต่ความสามารถในการสัมผัสรู้กลับลดลงไปมาก
เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นทางเดินที่ค่อนข้างปิดสนิท บริเวณใกล้ห้องน้ำกลิ่นอาจจะฉุนกว่า แต่บริเวณอื่นก็ยังคงได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
หรือพูดให้ถูกก็คือ นับตั้งแต่หลิงม่อเดินเข้ามาในทางเดินเส้นนี้ เขาก็ได้เข้าสู่อาณาเขตที่ถูกกลิ่นนั้นปกคลุมแล้ว
ในสถานการณ์ที่เพ่งสมาธิขั้นสูง เขาไม่อาจรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แล้วไม่นานเขาก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในพื้นที่หลักจนเห็นภาพหลอนในที่สุด
“ซอมบี้แบบไหนกันนะที่วิวัฒนาการจนกลายเป็นเครื่องผลิตยากล่อมประสาท…” หลิงม่อคิด “วิวัฒนาการแปลกใหม่เหมือนซอมบี้ศพน้ำ…”
ส่วนชั้นใต้ดินนั้น ไม่ต้องดูก็รู้ว่าซอมบี้ข้างในนั้นกรูขึ้นมาข้างบนหมดแล้ว
เสียงคำรามของซอมบี้เหล่านี้ดึงดูดพวกเดียวกัน ตะโกนเสียงสูงต่ำสลับกันขนาดนี้ เดาว่าซอมบี้บนถนนคงจะมารวมตัวกันในห้างฯ หมดแล้ว
พวกเย่เลี่ยนไม่ได้เป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของซอมบี้ทุกตัว เพราะบางจุดก็กำลังมีเหตุการณ์สู้กันอย่างดุเดือดจนเลือดสาดเช่นกัน
ทว่าเหล่าซอมบี้ที่เข้าใกล้พวกเย่เลี่ยน กลับกระโจนเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย ซึ่งภาพอย่างนี้ยากที่จะเกิดขึ้นในเวลาปกติ…
มนุษย์กึ่งซอมบี้อย่างสวี่ซูหานอาจกระตุ้นความปรารถนาในการโจมตีของซอมบี้ แต่เย่เลี่ยนที่เป็นซอมบี้เจ้าเมืองนั้น เมื่อเธอปลดปล่อยกลิ่นอายของเธอออกไป ซอมบี้ทั่วไปล้วนไม่กล้าเข้าใกล้!
แต่ซอมบี้ที่นี่ กลับซัดสาดข้ามาราวคลื่นลูกแล้วลูกเล่า แม้จะต้องเหยียบศพเพื่อกระโจนเข้ามา พวกมันก็ไม่มีท่าทีคิดถอยเลยแม้แต่น้อย
ลักษณะพื้นที่ในนั้นไม่เป็นผลดีต่อพวกเย่เลี่ยน อาจเพราะต้องการระวังให้กันและกัน พวกเธอจึงตั้งใจยืนหันหลังชนกันอยู่ในมุมมุมหนึ่ง
ซย่าน่าและหลี่ย่าหลินล้วนกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด แต่หลิงม่อกลับไม่เห็นการเคลื่อนไหวของสวี่ซูหาน
เย่เลี่ยนไม่หันกลับไป หลิงม่อก็มองไม่เห็นเธอ ทว่าเขากลับได้ยินเสียงหายใจถี่ระรัวของเธอแว่วๆ
สนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอยู่แค่ตรงหน้า เชื้อไวรัสในร่างกายเธอย่อมต้องกระเหี้ยนกระหือรืออยู่แล้ว…
“ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรชั่วคราว แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจถูกกระตุ้นให้กลายพันธ์จนสมบูรณ์ก็ได้…”
หลิงม่อขมวดคิ้ว
“เอ๋…นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง? ไม่ใช่สิ ฉัน…”
มู่เฉินลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล เขาหรี่ตาเล็กทำหน้ามึนงง
แต่หลิงม่อมีเวลาตอบคำถามพวกนั้นของเขาเสียที่ไหน เขารีบโบกไม้โบกมือแล้วบอกว่า “พวกเราถูกซอมบี้ล้อมไว้แล้ว”
“ห๊ะ? หมายความว่าไง…”
ขณะที่มู่เฉินถาม เงาร่างของใครคนหนึ่งก็เปิดประตูเหล็กที่อยู่ปลายทางอีกด้านหนึ่งเงียบๆ
ที่นี่ค่อนข้างลับตาคน แล้วซอมบี้โลลิก็เป็นถึงซอมบี้ชนชั้นสูง หากต้องการเข้าออกโดยไม่ดึงดูดความสนใจจากซอมบี้ตัวอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร…
ในเมื่อมีผู้อยู่เบื้องหลังอยู่ด้านนอกนั่น หลิงม่อจึงตัดสินใจให้อวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋ายซุ่มอยู่บริเวณใกล้ๆ เพื่อเป็นแนวป้องกันรอบนอก
ขณะเดียวกันก็สามารถอาศัยมุมมองสายตาของอวี๋ซือหรานสังเกตดูสถานการณ์ข้างนอกว่าเป็นอย่างไรกันแน่
ทว่าตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นอวี๋ซือหรานหรือพวกเย่เลี่ยน ดูเหมือนว่าพวกเธอจะมีอาการคลุ้มคลั่งเล็กน้อย…
ในขณะที่ความรู้สึกไม่สบายใจของเขา ก็ไม่เคยหายไปเลยเช่นกัน…
ซอมบี้ระดับสูงต่างมีอาการอย่างนี้ได้เหมือนกัน ส่วนซอมบี้ธรรมดาในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรมาสะกดสัญชาตญาณ พวกมันก็ย่อมตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งอย่างง่ายดายได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ต้องไม่ใช่เชื้อไวรัสกล่อมประสาทที่เขาเจอในห้องน้ำอย่างแน่นอน…
“เมืองชุ่ยเหอนี่มันยังไงกันแน่…”
หลิงม่อเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเมืองชุ่ยเหอถึงได้ถูกจัดให้เป็นพื้นที่ระดับความอันตรายสูง ทว่าแค่ปัญหาซอมบี้คลุ้มคลั่ง คงไม่ส่งผลกระทบไปจนถึงกองทัพอากาศ ในเมืองนี้ต้องมีอะไรอย่างอื่นซ่อนอยู่อีกแน่ๆ
“หัวหน้า นายรู้สึกว่ามันร้อนๆ บ้างไหม…”
จู่ๆ มู่เฉินก็กระตุกคอเสื้อขึ้นลง แล้วพูดอย่างมึนๆ
ท่าทางเขาเหมือนคนที่ยังไม่ได้สติ เพราะคำพูดที่หลิงม่อบอกเขาว่าถูกซอมบี้ล้อมกลับไม่ได้ทำให้เขาสนใจเท่าไหร่
“ร้อนอะไรล่ะ…” หลิงม่อตอบโดยไม่หันกลับมามอง
เขาไม่เพียงกำลังครุ่นคิด แต่ยังต้องคอยสับเปลี่ยนมุมมองสายตาไปมาระหว่างเย่เลี่ยนกับเฮยซืออีก
โดยเฉพาะทางฝั่งเฮยซือ เวลาที่มันจะได้ควบคุมร่างกายของอวี๋ซือหรานใกล้จะหมดลงแล้ว นั่นหมายความว่าหลิงม่อจะไม่สามารถสับเปลี่ยนมุมมองสายตาไปยังซอมบี้โลลิได้อีกแล้ว
ดังนั้นอาการผิดปกติของมู่เฉิน จึงไม่ได้ทำให้หลิงม่อหันมาสนใจมากยัก
“ร้อนแบบ…”
มู่เฉินสะบัดหน้าอย่างแรง แล้วยกมือลูบท้ายทอย
เป็นเพราะมึนหัว?
แต่ความรู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่สุขนั่น กลับกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
มู่เฉินจ้องไปยังช่องประตูที่หลิงม่อเปิดแง้มไว้ ในใจพลันรู้สึกสั่นวาบไปชั่วขณะ
“ให้ฉันเข้าไปดูหน่อย…” มู่เฉินว่า พลางยื่นมือไปตบไหล่หลิงม่อ
หลิงม่อหันหน้ากลับมาเล็กน้อย แล้วบอกว่า “ตอนนี้ยังเข้าไปไม่ได้ ขอฉันสังเกตการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน…”
แต่หลิงม่อไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ได้เข้าหูมู่เฉินแม้แต่น้อย
มู่เฉินกำลังจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง เมื่อกี้ตอนที่หลิงม่อหันหน้ากลับมา เขามองเห็นดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมรางๆ…”
“ไม่นะ…นี่มันภาพลวงตา?”
มู่เฉินสะบัดศีรษะแรงๆ อีกครั้ง แต่เหมือนอาการคลุ้มคลั่งนั่นกำลังทำลายสติปัญญาของเขา
เขาจ้องคอของหลิงม่อ แต่หางตากลับเหลือบไปมองของที่ตกอยู่บนพื้น
มีด…
ตอนที่หลิงม่อควบคุมให้หุ่นซอมบี้ลากเขากลับมา เขาสั่งให้มันเอามีดกลับมาด้วย และตอนนี้มีดก็กำลังวางอยู่บนชั้นบันไดใกล้ๆ นี้
มู่เฉินจ้องหลิงม่ออีกครั้ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ก้าวถอยไปข้างหลัง
“ตึกตัก!”
เสียงหัวใจเต้นรุนแรงชัดเจนราวกับเสียงกลองที่ดังอยู่ในสมอง…
เขาคว้ามีดได้แล้ว และสายตาของมู่เฉินก็จดจ้องอยู่ที่ท้ายทอยของหลิงม่อตลอดเวลา
ตอนนี้หลิงม่อพุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่ในห้างฯ อาศัยพลังความสามารถของพวกเย่เลี่ยนอย่างไรก็เอาอยู่ แต่เขาก็ต้องพาพวกเธอออกจากสถานการณ์ยากลำบากนั้นให้เร็วที่สุดเช่นกัน…
ฟึ่บ!
มู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังหลิงม่อ ยกมีดขึ้นเหนือศีรษะอย่างเงียบเชียบ
ตอนนี้แววตาของเขาประหลาดมาก ทั้งเลื่อนลอย แต่ก็ดูคลุ้มคลั่งในขณะเดียวกัน
เมื่อเขาแทงลงไปด้วยสีหน้าไร้ความปราณี ประกายมีดก็สะท้อนแสงวาบ …
“กึกๆๆ…”
ทันใดนั้น ปลายมีดพลันชะงักค้างกลางอากาศในขณะที่อยู่ห่างจากตัวหลิงม่อไม่ไกลนัก ฟังจากเสียงใบมีดสั่นก็รู้ว่ามู่เฉินกำลังใช้แรงกดลงไป
แต่ว่า…แทงอย่างไรก็แทงไม่ได้
มือเล็กๆ ข้างหนึ่งเอื้อมมาขับแขนเขาจากด้านข้าง ไม่รอให้เขาทันตั้งตัว ข้อพับเข่าถูกโจมตีอย่างแรงจนเขาต้องคุกเข่าลงทันที
“พลั่ก!”
ภาพตรงหน้าดับวูบ แล้วมู่เฉินก็ล้มลงไปอีกครั้ง
หลิงม่อหันกลับมามองหุ่นซอมบี้ตัวเล็กที่เป็นคนลงมือ จากนั้นก็มองมู่เฉินแล้วส่ายหน้า “คนที่ไม่ใช่ผู้มีพลังจิตคุกเข่าง่ายตามคาด(คำเสียดสี สื่อถึงคำว่า คุกเข่ายอมแพ้)…”
เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ระวังตัว แม้แต่ตัวเขายังได้รับผลกระทบประหลาดๆ นี้ด้วย แล้วเขาจะมองข้ามมู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังตัวเองได้อย่างไร?
ทันทีที่คลื่นดวงจิตของมู่เฉินผิดปกติไป เขาก็เริ่มระวังตัวแล้ว
แต่เขาอยากรู้ว่าผลกระทบแปลกประหลาดนี้จะส่งผลให้คนทำเรื่องแบบไหนกันแน่ ดังนั้นเขาจึงได้ทำเหมือนไม่รู้ตัว ทั้งที่ในความเป็นจริง หุ่นซอมบี้ตัวเล็กได้เตรียมพร้อมรับคำสั่งอยู่ที่ทางเลี้ยวใกล้ๆ นี้แล้ว
“สรุปแล้วคือทำให้คนฆ่ากันเองสินะ…”
หลิงม่อคิด
ผลกระทบนี้ดูเหมือนเพิ่งจะถูกแพร่กระจายได้ไม่นาน มู่เฉินนั้นเป็นเพราะเดิมเขามีอาการมึนงงอยู่แล้ว บวกกับไม่ใช่ผู้มีพลังจิตด้วย จึงทำให้ได้รับผลกระทบเป็นคนแรก
ที่สถานที่แห่งนี้ทำให้กองทัพอากาศต่างพากันหวาดกลัว เป็นเพราะเหตุผลนี้แน่ๆ
หากต้องการพิสูจน์ว่าเขาคิดถูกหรือไม่ ก็แค่ลองตามหาแถวๆ นี้ดูว่ามีซากเครื่องบินตกอยู่ไหมก็จะรู้เอง…
หลังจากตามหาเสี่ยวป๋ายจนเจอ เฮยซือก็เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างถนน แล้วมองลอดพุ่มหญ้าออกไปดูข้างนอก
เหมือนกับที่หลิงม่อคาดเดาไว้ บนถนนแทบไม่มีซอมบี้เหลืออยู่ให้เห็นแล้ว
ซอมบี้แถวๆ นี้ ถูกดึงดูดเข้าในห้างฯ หมดแล้ว…
รอบห้างสรรพสินค้าในตอนนี้เต็มไปด้วยซอมบี้มากมาย บางตัวถึงขนาดปีนขึ้นบนหัวพวกเดียวกัน และพยายามมุดเข้าไปในช่องลอดต่างๆ สุดชีวิต
หลังมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอบ เฮยซือพลันพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยซากรถยนต์ผุพังเป็นกำบังอำพรางกาย
—————————————————————————–