แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 717 กรงสัตว์
จางเหยียนอารมณ์เสียมาก เขาเพิ่งไต่เต้าจากสาขาย่อยมาอยู่สำนักงานใหญ่ได้ไม่นานนัก
ระดับสมาชิกต่ำเกินไป ภารกิจที่กล้ารับก็มีแต่ภารกิจที่ไม่ได้ทำให้ก้าวหน้าขึ้นเลย
อย่างการเลี้ยงดูซอมบี้สุนัขประเภทนี้ และการพามันเดินลาดตระเวนในมหาลัยแพทย์อันกว้างขวางก็เป็นภารกิจประเภทที่อยู่ระดับต่ำที่สุด
ถึงแม้พอเห็นซอมบี้สุนัขแล้วจะทำให้เขาอยากอ้วก ทว่าภารกิจเดินลาดตระเวนนั้นทั้งสบายและปลอดภัย
โชคไม่ดีหน่อย ก็เจอซอมบี้ 1 – 2 ตัววิ่งเข้ามาอย่างกะทันหันบ้างเป็นบางครั้ง
แต่มีซอมบี้สุนัขอยู่ อย่างไรเขาก็หาพวกมันเจอก่อน
แต่ถ้าเกิดจางเหยียนปล่อยให้ซอมบี้หลุดเข้ามาถึงบริเวณนี้ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางจริงๆ เขาก็คงต้องพบกับโชคร้ายแล้ว
ไม่กี่วันก่อนมีซอมบี้โผล่มาที่ตึก 3…
นิพพานสำนักงานใหญ่ใช้ระบบสะสมคะแนนจากการทำภารกิจ หากอยากได้ทรัพยากรส่วนแบ่ง ก็ต้องมีคะแนนจากการทำภารกิจก่อน
แต่สำนักงานใหญ่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อระดับความสำเร็จของภารกิจ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นทางสำนักงานใหญ่ก็อาจหักทรัพยากรบางส่วนไว้
สรุปก็คือ การใช้ชีวิตอยู่ในสำนักงายใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องคอยหวาดกลัวตัวสั่นอยู่ข้างนอกตัวคนเดียวตลอดเวลา
แต่ถึงอย่างนั้น จางเหยียนก็ยังหงุดหงิดมากอยู่ดี
“เชี่ย ฝนตกยังต้องออกมาลาดตระเวนอีก…” จางเหยียนก่นด่าเป็นวรรคเป็นเวร พลางฉุดกระชากเจ้าซอมบี้สุนัขไปด้วย “ถ้าไม่ใช่เพราะมีสัตว์ประหลาดตัวเหม็นอย่างเจ้านี่คอยเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว จะมีซอมบี้ถูกดึงดูดเข้ามาได้อย่างไร…น่าตลกสิ้นดี ไม่คิดเลยว่าของอย่างนี้จะตามหาซอมบี้เจอด้วย…”
ซอมบี้สุนัขกำลังดมพื้นดินที่ห่างจากตัวเสี่ยวป๋ายไม่ถึง 20 เมตร สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างภายนอกเป็นคนอย่างมันคอยหมอบคลานกับพื้น แล้วไล่ดมกลิ่นไปทั่วเหมือนหมา เห็นแล้วรู้สึกประหลาดบอกไม่ถูก
ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างกังวลของหลิงม่อ ในที่สุดซอมบี้สุนัขก็หันหน้าไปทางอื่น
เพราะมีน้ำฝนคอยปกปิด บวกกับความสามารถในการอำพรางกายของหลิงม่อ ดังนั้นซอมบี้สุนัขจึงไม่เจอตัวมัน…
ทว่าถึงแม้เป็นอย่างนั้น การที่ซอมบี้สุนัขสัมผัสได้ถึงเบาะแสบางอย่าง ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าประสาทรับกลิ่นของมันร้ายกาจขนาดไหน
“ในเมื่อถูกตั้งชื่อว่าซอมบี้สุนัข ก็แสดงว่าประสาทรับกลิ่นคือทิศทางหลักในการวิวัฒนาการของมันสินะ…แต่ถึงแม้จะไม่มีฟันแล้ว แขนขาก็ยังอยู่ครบ แบบนี้ยังจะมัดด้วยโซ่เหล็กได้หรอ?”
หลิงม่อสงสัยเรื่องนี้มาก แต่คิดไปคิดมา ก็ทำได้เพียงคาดเดาว่าซอมบี้สนุขตัวนี้ไม่มีความสามารถในการโจมตี
ถ้าไม่อย่างถึงแม้จะเป็นซอมบี้ทั่วไป เครื่องปล่อยกระแสไฟนั่นก็ใช้ไม่ได้ผลหรอก…
“ไอ้โง่แกจะดมหาอะไรอีกวะ! ฝนตกอยู่เนี่ยเห็นไหม กลิ่นอะไรก็มาหมดแหละ…ฉันเลยต้องซวยมายืนตากฝนกับแก…”
จางเหยียนกางร่มไว้ในมือ แต่พอลมพัดมาน้ำฝนก็สาดใส่ตัวเขา โดยที่ร่มไม่ได้ช่วยบังอะไรเลย
เขาช็อตเจ้าซอมบี้สุนัขอย่างหงุดหงิดไปอีกสองครั้ง สุนัขซอมบี้กรีดร้องอย่างเจ็บปวดจนมันเริ่มมึนงงไม่ค่อยได้สติ
ดูจากท่าทางของจางเหยียนเดิมเขายังอยากจช็อตมันอีกครั้ง แต่ถ้าซอมบี้สุนัขตายเขาก็จบไม่สวยเช่นกัน เขาจึงทำได้เพียงแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นซอมบี้ยังมีสภาพอย่างนี้ โง่เง่าสิ้นดี…อย่างแกเนี่ยนะอยู่ตึก 2 อย่างมากก็ถือว่าเป็นแค่หนูทอดลองระยะแรกของตึก 3 เท่านั้นแหละ…แม่งเอ๊ย ซวยชิบ…”
เขาฉุดกระชากลากถูเจ้าซอมบี้สุนัข และเดินจากไปพร้อมกับเสียงบ่นกระปอดกระแปด
เห็นได้ชัดว่าภารกิจนี้ได้ทำให้เขาสะสมความโกรธไว้มากมาย และเขาก็ใช้เจ้าซอมบี้สุนัขเป็นทางระบายอารมณ์ กระทั่งเดินออกไปไกลนอกรัศมี 10 เมตรแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงบ่นด่าของเขาอยู่เลย…
ทว่าจนกระทั่งเดินลับหายเข้าไปในทางเลี้ยวของอาคาร จางเหยียนก็ยังไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าในพุ่มหญ้ารกร้างเมื่อกี้ มีดวงตาคู้หนึ่งกำลังจับจ้องพวกเขาอยู่ตลอดเวลา…
การได้ยินของเสี่ยวป๋ายดีกว่าซอมบี้ทั่วไปมาก ถึงแม้มีเสียงฝนตกคอยรบกวน แต่อยู่ในระยะใกล้ขนาดนี้ ทุกคพูดของจางเหยียนลอยเข้าหูของหลิงม่ออย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว
“ที่แท้อาคาร 2 – 3 หลังนั่นก็มีไว้เพื่อให้หนูทดลองอย่างซอมบี้สุนัขอยู่นี่เอง…เหมือนกรงสัตว์? ก็คงใช่ ถ้าหากปล่อยให้พวกมันอยู่กับมนุษย์ ก็คงไม่มีใครรับได้…ปล่อยไว้ไกลตัวขนาดนั้น ก็เพื่อรับประกันความปลอดภัยด้วยสินะ…”
แม้แต่หลิงม่อที่อยู่กับซอมบี้สาวตลอดเวลา ก็ยังรู้สึกแบ่งแยกกับสิ่งมีชีวิตหน้าตาบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นจากการทดลองอย่างเจ้าซอมบี้สุนัข แค่เห็นก็ขนลุกแล้ว อย่าให้พูดเลยหากต้องอยู่ใกล้กันทุกวันจะเป็นยังไง…
ที่จางเหยียนบ่นมากมายขนาดนั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ไม่รู้ว่าคนในกลุ่มวิจัยของนิพพานสำนักงานใหญ่เป็นคนแบบไหนกันบ้าง ทำไมถึงได้สร้างของแบบนี้ออกมาได้…
แต่พอนึกถึงพลังของหมายเลข 1 และหมายเลข 0 หลิงม่อก็พอเข้าใจว่าทำไมนิพพานสำนักงานใหญ่ถึงได้ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยกับการทดลองกับสิ่งมีชีวิตประเภทนี้
เปรียบเทียบกับซอมบี้ จำนวนของมนุษย์มีน้อยเกินไป ถึงจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ แต่เมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางฝูงซอมบี้ก็กลายเป็นแค่ตัวตลอกเท่านั้น ทันทีที่ถูกรุมโจมตีก็มีสิทธิ์ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย
แต่หากเป็นซอมบี้ก็จะแตกต่างออกไป ขอเพียงไม่ถูกซอมบี้ตัวอื่นหมายตาเป็นเหยื่อ ก็สามารถเดินเข้าออกฝูงซอมบี้ได้อย่างอิสระ
ถึงแม้จะยังมีอันตรายอยู่ แต่อัตราการตายก็ลดต่ำลงมาก
ถ้าหากสามารถเรียกใช้ซอมบี้พวกนี้ได้เหมือนสัตว์เลี้ยงในบ้าน สำหรับผู้รอดชีวิตนั่นคงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย
พอนึกถึงพลังที่ตัวเองมีหลังจากถูกปลุกตื่น กลับต้องถูกทดลองเมื่ออยู่ในนิพพานสำนักงานใหญ่ กระทั่งพอทดลองเสร็จก็กลายเป็นแค่ของกึ่งสำเร็จรูป แถมยังไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งมนุษย์อีก หลิงม่อก็รู้สึกสลดใจเล็กน้อย
แต่เขาไม่ได้มองพลังของตัวเองเป็นเพียงพลังควบคุมหุ่นเท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนพลังจิตที่ใช้ควบคุมพวกเย่เลี่ยนอยู่มาควบคุมซอมบี้ธรรมดา ยางทีเขาอาจควบคุมได้มากถึง 100 กว่าตัวด้วยซ้ำ!
แต่จำนวนก็ส่วนจำนวน หากจะใช้ซอมบี้ 100 กว่าตัวให้เกิดประโยชน์ หลิงม่อก็ต้องแบ่งสมาธิควบคุมการเคลื่อนไหวของซอมบี้แต่ละตัว ถ้าไม่อย่างนั้นควบคุมมากไปก็ไม่มีความหมายอะไร
หุ่นไม้แข็งทื่อที่ขยับเขยื้อนไม่เป็นจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?
ส่วนพวกเย่เลี่ยนแม้จะไม่ได้ถูกหลิงม่อมองเป็นหุ่นซอมบี้ แต่กลับอยู่อย่างอิสระ พวกเธอแต่ละตัวล้วนมีพลังของซอมบี้ระดับสูงกันทั้งนั้น
พอเปรียบเทียบกันแล้ว หลิงม่อคิดว่าตัวเองเลือกได้ถูกต้องแล้ว
สิ่งที่สำคัญก็คือ เพราะการเลือกที่ถูกต้องในตอนแรกนั้น เขาจึงไม่ได้ตกไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเหล่าซอมบี้ที่ได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร…
“ไม่รู้ว่านิพพานสำนักงานใหญ่มีหนูทดลองกี่ตัว…ถ้าหากยังมีหนูทดลองพลังจิตสูงอย่างหมายเลข 0 ล่ะก็ เรากลืนกินเข้าไปคงจะเพิ่มพลังจิตได้ไม่น้อย ถ้าเป็นอย่างนั้นพอซย่าน่ากับรุ่นพี่ก้าวข้าม เราก็จะมั่นใจได้ว่าสายสัมพันธ์ทางจิตจะไม่ถูกตัดขาด…ควบคุมซอมบี้เจ้าเมืองพร้อมกันทีเดียว 3 ตัว แล้วยังมีอีกสองตัวที่กำลังเข้าใกล้ระดับเจ้าเมือง ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเรา…ถ้าหากมีซอมบี้สุนัขที่ระดับสูงกว่านี้ล่ะก็…ก้อนเหนียวหนืดของพวกมันมีประโยชน์กับเสี่ยวป๋ายและเฮยซือมาก…”
หลิงม่อลอบดีใจที่วันนี้เขาไม่ได้ควบคุมซอมบี้ให้ลอบเข้าไป ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ได้เข้าไปไกลถึงสถานที่อย่างนั้น
มีเพียงเสี่ยวป๋ายที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาทั้งหมดเท่านั้น จึงจะสามารถวิ่งไปถึงหน้าประตูสำนักงานใหญ่ได้
“ถือว่ามีความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่เพิ่มขึ้นบางส่วนแล้ว โดยเฉพาะรู้แล้วว่าอาคาร 2 – 3 หลังนั้นมีไว้เพื่ออะไร จอเพียงระบุตำแหน่งชัดเจน และสังเกตเวลาในการเดินลาดตระเวนของพวกเขา ก็จะสามารถหาโอกาสเข้าใกล้ได้…”
หลิงม่อคิดในใจ แต่จู่ๆ กลับได้ยินเสียงคนกระซิบข้างหู
“หัวหน้า นายจะเข้าไปตรวจสอบยังไง?” มู่เฉินรื้อกระป๋องแก๊สออกมาเพื่อจัดการต้มน้ำร้อน พลางหันมาถามหลิงม่อ
เขานึกว่าหลิงม่อยังคงดูแผนที่อยู่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงม่อกำลังทำสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และตอนนี้เขาก็ไปนิพพานสำนักงานใหญ่มาแล้วหนึ่งครั้ง…
“หา?” ตอนแรกหลิงม่อก็แค่หาข้ออ้างไปเท่านั้น ตอนนี้เขาทำได้แค่กระแอมเบาๆ “อยู่ตรงนี้ไม่สามารถมองเห็นมุมหนึ่งของที่นั่นได้หรอ? ถ้าหากเห็นเงาร่างคน ก็แสดงว่าสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรอ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น และทำหน้าเหมือนพูดไม่ออกทันที “ล้อฉันเล่นใช่ไหม?”
ทว่าก่อนจะแฝงตัวเข้าไป หลิงม่อต้องเตรียมการบางอย่างเสียก่อน
“ฉันคิดดีแล้ว ฉันกับมู่เฉินจะเข้าไป พวกเธออยู่ข้างนอกก็พอ” หลิงม่อวางแผนที่ลง แล้วพูดขึ้น
กลุ่มเด็กสาวนั่งอยู่ในห้องกันทุกคน พอได้ยินเข้าต่างก็มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน
เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินพากันทำหน้างุนงง ส่วนซย่าน่านั้นขมวดคิ้วเบาๆ
มีเพียงสวี่ซูหานที่กระเด้งตัวขึ้นมา “ได้ไงกัน!”
ซอมบี้ตัวทดลองเพียงตัวเดียวที่นิพพานสำนักงานใหญ่ปล่อยออกมายังสามารถทำร้ายเธอจนมีสภาพอย่างนี้ แล้วนี่หลิงม่อกับมู่เฉินจะเข้าไปกันแค่สองคน…
สวี่ซูหานรู้ดีว่าหลิงม่อต้องมีแผนฉวยประโยชน์จากนิพพานสำนักงานใหญ่แน่นอน แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติ นิพพานสำนักงานใหญ่รวบรวมทรัพยากรที่สาขาย่อยหลายสาขาหามาได้ ความจริงนั่นก็เท่ากับการรวบรวมเอาทรัพยากรจากเมืองต่างๆ มาไว้ที่เดียวกันนั่นเอง แม้ผู้รอดชีวิตจะสามารถออกไปค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ แต่การจะหาสิ่งที่เหมาะสมได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ทุกครั้งที่ต้องตามหาทรัพยากรประเภทหนึ่ง พวกเขาก็ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวง
แต่เมื่ออยู่ในนิพพานสำนักงานใหญ่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ถึงแม้ยังต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ แต่เสี่ยงชีวิตหนึ่งครั้งก็ได้สิ่งตอบแทนกลับมามากมาย…
เมื่อก่อนสวี่ซูหานไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหลิงม่อถึงได้สนใจกลุ่มวิจัยนัก แต่หลังจากรู้ตัวตนของพวกเย่เลี่ยน เธอก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมารางๆ แล้ว…
—————————————————————————–