แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 718 ทำความเข้าใจใหม่ : ตกแมงกะพรุน
“อะไรนะ! แค่ฉันกับนาย?” มู่เฉินอึ้ง นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ!
ถ้าหลิงม่อรนหาที่ตายคนเดียวก็แล้วไป แต่นี่ยังต้องเอาเขาไปตายเป็นเพื่อนอีก!
ไม่ได้ ไม่ได้หรอก…
“ฉันขอค้าน!” มู่เฉินพูดเสียงแข็ง
“คำค้านเป็นโมฆะ” หลิงม่อเหลือบมองเขา
“เชี่ย!” มู่เฉินหงุดหงิด “ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องบอกเหตุผลกันบ้างรึเปล่า? สวี่ซูหานไม่เข้าไปก็ไม่เป็นไร…แต่พวกเธอล่ะ?”
พอได้ยินมู่เฉินพูดถึงตัวเอง สีหน้าของสวี่ซูหานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
สภาวะของเธอในตอนนี้ ไม่เหมาะกับการแฝงตัวเข้าไปในสำนักงานใหญ่จริงๆ เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับกระโดดเข้ากองไฟเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่คนของสำนักงานใหญ่จับได้ว่าเธอติดเชื้อไวรัสแล้ว แต่ยังคงสติของมนุษย์ไว้ได้ เกรงว่าสิ่งแรกที่ทำคงไม่ใช่ฆ่าเธอ แต่จะจับเธอไปวิจัยมากกว่า
นอกเหนือจากวิธีนี้ สวี่ซูหานก็ไม่เห็นความเป็นไปได้อื่นอีกเลย
ชักจูงเธอ? เกลี้ยกล่อมเธอให้เข้าไปอยู่ในสำนักงานใหญ่งั้นหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร?
คนปกติที่ไหนจะอยากอยู่ร่วมกับสัตว์ประหลาดมนุษย์กึ่งซอมบี้อย่างเธอ สภาวะในตอนนี้ เธอไม่ใช่เพื่อนมนุษย์ในสายตาของพวกเขาอีกแล้ว…
กระทั่งมนุษย์อย่างหลิงม่อหากถูกจับได้ขึ้นมาล่ะก็…สวี่ซูหานอดเหลือบมองหลิงม่อไม่ได้
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ร่วงรู้ความลับของหลิงม่อ เมื่อวิวัฒนาการของเธอสูงขึ้น ความรู้ความเข้าใจที่เธอมีต่อพลังของพวกเย่เลี่ยนก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
พวกเธอเป็นซอมบี้ระดับสูงที่มีพลังความสามารถอันแข็งแกร่ง สายตาที่ซอมบี้ประเภทนี้มองมนุษย์ ไม่ต่างอะไรจากสายตาที่มนุษย์มองมดตัวเล็กๆ เลย
นี่ไม่ใช่ความเย่อหยิ่งหรือทะยง แต่ตัดสินจากลักษณะเด่นของเผ่าพันธุ์
สามารถทำให้ซอมบี้ระดับสูงเหล่านี้อยู่ใกล้ตัว แล้วยังมีสัมพันธ์อันแนบชิดกับพวกเธอ กระทั่งทำให้พวกเธอปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน…นี่มันความสามารถประเภทไหนกันแน่?
เธอรู้เพียงว่าหลิงม่อเป็นผู้มีพลังจิต แต่วิธีการต่อสู้ของเขาส่วนมากดูเหมือนจะอาศัยการแปลงพลังจิตเป็นสสารที่จับต้องได้เพื่อโจมตี นอกเหนือจากนี้เธอก็ดูอะไรไม่ออกอีก
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ถึงแม้เธอจะรู้ตัวตนของพวกเย่เลี่ยนแล้ว แต่กลับไม่รู้อยู่ดีว่าพวกเธอมาอยู่กับหลิงม่อได้อย่างไร…
ไม่แปลกที่สวี่ซูหานจะนึกไม่ถึงพลังควบคุม ก็พวกเย่เลี่ยนเป็นถึงซอมบี้ระดับสูง…
และปกติเวลาอยู่ด้วยกัน หลิงม่อก็ไม่เคยเผยให้เห็นเงื่อนงำที่จะทำให้สามารถสาวไปถึงพลังควบคุมได้เลย
ซอมบี้สาวสามตัวนี้มักทำท่าจะกัดเขาอยู่เรื่อย บางครั้งเกิดคึกขึ้นมาก็กระโจนใส่ตัวเขาบ้างอะไรบ้าง แบบนี้มันเหมือนถูกควบคุมที่ไหนกัน…
ทว่ายิ่งเธอไม่รู้ว่าพลังของหลิงม่อคืออะไร สวี่ซูหานยิ่งรู้สึกว่า หากหลิงม่อถูกคนของนิพพานสำนักงานใหญ่ขับได้ ไม่ใช่แค่เพียงพวกเย่เลี่ยนเท่านั้นที่จะเจอกับโชคร้าย แต่เกรงว่าเขาเองก็อาจถูกเค้นถามด้วยทุกวิถีทาง…
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สามารถทำให้ซอมบี้พูดได้ แค่ความสามารถที่เขาทำให้สวี่ซูหานหยุดอยู่ระหว่างการกลายพันธุ์อย่างนี้ ก็ทำให้เขาได้รับความสำคัญจากนิพพานสำนักงานใหญ่แล้ว
แล้วหลิงม่อก็ดูไม่เหมือนคนที่จะเปิดปากบอกความลับของตัวเองให้ใครรู้ง่ายๆ…
“ใช่ นายกับมู่เฉินเข้าไปกันแค่สองคน มันอันตรายเกินไป” สวี่ซูหานพูดอย่างจริงใจ
หลิงม่อทำท่าจนใจเล็กน้อย การตัดสินใจครั้งนี้ของเขาได้ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างละเอียดแล้ว
ถ้าหากนิพพานสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในตึกสูงเสียดฟ้าบางแห่ง หลิงม่อก็อาจจัดการได้ง่ายกว่านี้มาก
แต่ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนอย่างนี้ แถมสถานที่ที่เคร่งในอ่อนนอกอย่างนี้ ทันทีที่เกิดปัญหาอะไร จะหนีออกมาก็เป็นเรื่องยากแล้ว
หลิงม่อไม่ได้มีความเข้าใจต่อเรื่ององศาการยิงปืนมากนัก แต่แค่เห็นทิศทางที่ปากปืนเล็งไป เขาก็พอเดาได้แล้วว่ามันสามารถสาดห่ากระสุนคลอบคลุมทั่วตาข่ายเหล็กได้อย่างแน่นอน
คิดจะหนีออกมาจากสถานการณ์อย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
แต่ถ้าหากมีการรับช่วงต่อจากด้านนอก เรื่องก็จะต่างออกไป
อีกอย่างการเหลือคนไว้ข้างนอก จะทำให้การสำรวจของหลิงม่อสะดวกขึ้นมาก
เพราะถึงอย่างไรสำนักงานใหญ่กับกรงสัตว์ก็ไม่ได้อยู่ในโซนเดียวกัน อาศัยแค่เขากับมู่เฉินคงยากที่จะรับรู้สถานการณ์ทั้งหมดโดยไม่ถูกใครสังเกตเห็น
ทว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุด ก็คือวันนี้หลิงม่อเห็นซอมบี้สุนัข
ซอมบี้ที่มีประสาทรับกลิ่นร้ายกาจอย่างนี้ เป็นไปได้มากว่ามันอาจได้กลิ่นเชื้อไวรัสจากตัวพวกเย่เลี่ยน และถึงแม้จะหลบเลี่ยงพวกมันได้ แต่ใครจะรู้ล่ะว่านิพพานสำนักงานใหญ่สร้างสัตว์ประหลาดอะไรขึ้นมาอีก…
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร เขาจะปล่อยให้พวกเย่เลี่ยนเข้าเสี่ยงอันตรายส่งเดชไม่ได้
“ฉันกับมู่เฉินเข้าไปแค่สองคนจะกลายเป็นเป้าเล็ก สังเกตเห็นได้ยาก หากมีเรื่องอะไร ก็ง่ายต่อการรับมือทั้งจากข้างในและข้างนอกไปพร้อมกัน” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วให้คำตอบง่ายๆ
“แต่พวกเราแค่สองคนมีกำลังไม่พอหรอกน่า!” มู่เฉินบอก
เขาถือว่ายอมรับในพลังต่อสู้ของพวกเย่เลี่ยนอย่างแท้จริง ในสายตาเขาพวกเธอเป็นเหมือนปีศาจในร่างคน!
โดยเฉพาะตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้ แม้แต่หลิงม่อก็ยังสู้เด็กสาวสามคนนี้ไม่ได้
แต่มู่เฉินไม่รู้เลยว่า ตัวตนของเด็กสาวสามคนนี้ คือส่วนหนึ่งของพลังของหลิงม่อ…
“หารือกันเสร็จแล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างนี้แหละ…” หลิงม่อเมินมู่เฉิน แล้วพูดขึ้น
“เฮ้ย อย่างน้อยก็เอาซย่า…ไม่ไม่ เอาเย่เลี่ยนไปด้วยสิ!…นายไม่กลัวต้องอยู่เดียวดายในค่ำคืนอันยาวนานหรอ!” มู่เฉินถลึงตาจ้องแผ่นหลังหลิงม่ออย่างโมโห เจ้าบ้านั้น วิ่งเข้าห้องไปแล้ว…
พวกเย่เลี่ยนเพียงมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
โดยเฉพาะซย่าน่า เธอรู้ดีที่สุดว่าหลิงม่อเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ไปเพื่ออะไร แต่พวกเธอแตกต่างจากมู่เฉิน
ในเมื่อหลิงม่อวางแผนไว้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็ทำได้เพียงทำตามหน้าที่ที่เขามอบหมายให้แต่โดยดี เพื่อเป็นการสนับสนุนอย่างเต็มที่ …
“ฟู่ว…การพูดจาเฉไฉช่างเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ”
หลิงม่อนั่งลงบนโซฟาที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เขาเอนหลังพิงลงไปอย่างเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาสลับมุมมองสายตาไปๆ มาๆ ไม่หยุด ทำให้สูญเสียพลังจิตไปไม่น้อย
ความจริงแค่สับเปลี่ยนมุมมองสายตานั้นไม่เท่าไหร่ แต่ประเด็นคือเขาต้องเข้าไปอยู่ในโลกแห่งดวงจิตของเสี่ยวป๋าย แล้วเห็นในสิ่งที่มันเห็น ฟังในสิ่งที่มันได้ยิน ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ค่อนข้างเหนื่อยเอาเรื่อง
โดนเฉพาะความรู้สึกผิดที่ผิดทางที่เกิดขึ้นขณะดึงมุมมองสายตากลับมา ซึ่งทำให้รู้สึกเวียนหัวได้ง่ายๆ
“ความจริง เข้าไปกันแค่ 2 คนก็เหมือนลูกแกะเดินเข้าปากเสือจริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงจะเป็นแกะ เราก็จะไม่กลายเป็นก้อนเนื้อที่รอให้พวกนั้นมากิน พวกนั้นเลี้ยงสัตว์ประหลาดเอาไว้ตั้งมากมาย ถือเป็นโอกาสดีสำหรับเราแล้ว…”
การสำรวจครั้งนี้ ทำให้หลิงม่อได้ข้อมูลมากพอที่จะตัดสินใจ แต่ไพ่ตายที่หลิงม่อเตรียมไว้ไม่ได้มีเพียงเท่านี้
“ผ่านมาหลายวันแล้ว เจ้าแมงกะพรุนคงจะวิวัฒนาการเสร็จแล้วล่ะมั้ง?”
หลิงม่อดึงกระเป๋าเป้เข้ามา จากนั้นก็ล้วงกระเป๋าผ้าห่อหนึ่งออกมาจากข้างใน
นับตั้งแต่ที่ดูดกินเลือดและเชื้อไวรัสเหลวจำนวนมากของเจ้า “วิกผม” เข้าไป เจ้าแมงกะพรุนก็เอาแต่ “หลับใหล” มาโดยตลอด
สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนี้ไม่เพียงมีขนาดเล็ก แต่รูปลักษณ์ภายนอกยังชวนให้สับสนมากอีกด้วย
เวลาที่มันอยู่นิ่งๆ ก็ไม่มีใครดูออกเลยว่ามันคือสิ่งมีชีวิต…
ถึงแม้จะสังเกตดูอย่างละเอียด ก็ไม่มีทางดูออก
ทว่าหลิงม่อไม่รู้ว่าหลังจากวิวัฒนาการเสร็จมันจะยังเป็นอย่างนี้อยู่ไหม …
ไม่แน่เขาอาจต้องทำความเข้าใจใหม่อีกครั้งก็ได้…
โชคดีที่ตอนนี้หลิงม่อมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ประหลาดๆ แล้ว ดังนั้นเขาจึงเปิดกระเป๋าผ้าดูอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
แต่เพิ่งจะมองเข้าไปข้างน หลิงม่อก็ช็อกไปทันที
“เอ๊ะ? แล้วแมงกะพรุนล่ะ!”
หลิงม่อรีบยื่นมือเข้าไปล้วงในกระเป๋าผ้าทันที แต่ยิ่งล้วงสีหน้าของเขาก็ยิ่งดูตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
คงไม่ใช่ว่าหนีไปแล้วหรอกนะ?
เป็นไปไม่ได้…ถึงอย่างไรก็เป็นกระเป๋าเป้ที่เขาสะพายเอง มันจะหนีไปได้ง่ายๆ ขนาดนั้นได้ยังไงกัน…
ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งวิวัฒนาการขึ้นมา จะรู้จักการหลบหนีได้อย่างไร…
“เอ๋?”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ มือของหลิงม่อก็สัมผัสโดนวัตถุที่ยืดหยุ่นมาก
แต่พอเขายื่นมือไปจับ เจ้าสิ่งนั้นก็หายไปแล้ว
แต่หลิงม่อกลับเข้าใจแล้ว เจ้าแมงกะพรุนอยู่ในนี้ แต่ดูเหมือน…มันเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นมาก!
หลิงม่อประหลาดใจมาก แต่ก็ดีใจมากด้วยเช่นกัน!
ตอนที่แมงกะพรุนเพิ่งเริ่มใช้เส้นหนวดวิ่งไปวิ่งมา แค่ซอมบี้ธรรมดาตัวหนึ่งยกเท้าขึ้นเหยียบก็เหยียบโดนอย่างง่ายดายแล้ว
และเจ้า “วิกผม” ที่มันกลืนกินเข้าไปปกติจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า มีเพียงตอนระเบิดพลังในพริบตาเท่านั้นที่จะเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น
ความจริงหากไม่ใช่เพราะอย่างนี้ เจ้า “วิกผม” ก็คงไม่ต้องเสียเวลาทำตัวเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์แล้ว และยิ่งไม่ต้องถูกหลิงม่อฆ่าตายด้วย…
แต่คิดไม่ถึงว่าแมงกะพรุนจะสามารถวิวัฒนาการความเร็วในการเคลื่อนที่และความสามารถในการโฉบหลบขึ้นมาได้จากสิ่งนั้น…
หลิงม่อลองไล่จับมันดูหลายครั้งติดๆ กัน แต่ก็จับเจ้าแมงกะพรุนไม่ได้ซักครั้ง เขากำลังคิดจะกลับด้านในกระเป๋าออกมา แต่จู่ๆ กลับคิดวิธีดีๆ ออก
หนวดสัมผัสทางจิตเส้นหนึ่งถูกแผ่ออกมาเงียบๆ จากนั้นก็แกว่งไปแกว่งมาอยู่บนปากกระเป๋าผ้าเหมือนเหยื่อตกปลา
“เคยตกปลามาแล้ว แต่ไม่เคยตกแมงกะพรุนเลยซักครั้ง…”
“สวบ!”
ทันใดนั้น เงาสีแดงเลือดเงาหนึ่งพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่มันกลับถูกหลิงม่อจับไว้ได้ก่อน
เสี้ยววินาทีที่มันสัมผัสโดนหนวดสัมผัส หลิงม่อก็รับรู้ได้ทันที
ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย แต่หลิงม่อมีการตอบสนองทางจิตที่รวดเร็ว จะจับมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ทว่าพอได้มองเห็นเจ้าแมงกะพรุนในมือชัดๆ หลิงม่อก็ต้องอึ้งไปอีกครั้ง
แมงกะพรุนสีแดงตัวนี้กำลังพยายามบิดม้วนตัวเพื่อหนีออกจากฝ่ามือของหลิงม่อ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็นสำคัญคือ…
“ทำไมแกตัวเล็กลงขนาดนี้!”
—————————————————————————–