แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 724 พนันกันหน่อยจะเป็นไรไป!
“ลงทะเบียนกันเถอะ”
หลิงม่อขมวดคิ้วเบาๆ แต่กลับไม่สนใจผู้หญิงคนนั้นต่อ
จากที่เจ้าหน้าที่ยามเมื่อกี้บอก คนพวกนี้น่าจะมารอเบิกอาวุธเพื่อออกไปทำภารกิจที่นี่
พอพวกเขากลับมา ไม่แน่ว่ามู่เฉินกับตนเองอาจไปจากที่นี่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปมีเรื่องกับพวกเขา
พูดแล้วมีความสุขนัก ก็ปล่อยให้เธอพูดไปแล้วกัน…
ไม่คิดว่าการกระทำของหลิงม่อกลับเรียกเสียงผิวปากดังระงม ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวหัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “เหอหงเยี่ยน ไม่คิดว่าเธอจะมีวันที่ถูกใครเมินอย่างนี้ด้วย จุ๊จุ๊…” เขาพูด พลางเลื่อนสายตาไปมองต้นขาของเหอหงเยี่ยน เพื่อสื่อเป็นนัยให้เข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร
“เหอหงเยี่ยนชอบปั่นหัวผู้ชายเล่นนัก แล้วยังชอบหาเรื่องสมาชิกระดับล่าง ทั้งหมดนี้ฉันเคยเห็นมาแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าสองคนนั้นจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย…”
“เจ๋งง เหอหงเยี่ยนต้องโกรธจนอกแตกตายแน่ๆ…”
แม้แต่ชายเจ้าของสายตาเย็นชาก็ยังหันมา และมองหลิงม่ออย่างประหลาดใจเล็กน้อย
สมัยนี้ไม่ว่าใครต่างก็ดิ้นรนเอาชีวิตรอดบนความเป็นความตาย แม้จะเป็นสมาชิกของนิพพานก็ไม่เว้น
เมื่อความกดดันในการดิ้นรนเอาชีวิตรอดสะสมเป็นเวลานาน นิสัยใจคอของคนมากมายก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้ในนิพพานสำนักงานใหญ่มีกฎห้ามฆ่าคน แต่กลับมีเรื่องขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้เกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ
บางคนถึงขั้นจงใจหาเรื่องคนอื่น เพียงเพื่อปลดปล่อยความเครียดของตัวเองเท่านั้น
คนที่ความประพฤติดีหน่อยก็มีไม่น้อย แต่คนพวกนี้ถึงแม้ไม่ได้หาเรื่องคนอื่นด้วยตัวเอง แต่หากเจอเรื่องประเภทนี้พวกเขาก็จะเข้าไปมุงดูอย่างคึกคัก
ในคนกลุ่มนี้ มากกว่าครึ่งเป็นคนประเภทนั้น พวกเขาแสดงออกชัดว่าจะไม่เข้ามาร่วมด้วย แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาห้ามปรามแต่อย่างใด
ถ้าสองคนนั้นมีท่าทางเหมือนกลัวก็แล้วไป แต่เจ้าหนุ่มที่ใส่หมวกแก๊ปนั่นกลับทำหน้านิ่งๆ น้ำเสียงเรียบเฉยอย่างนั้น เห็นชัดว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย!
ส่วนผู้ชายอีกคน ถึงเขาจะจ้องเหอหงเยี่ยนอยู่ แต่เขาไม่ได้จ้องส่วนที่วับๆ แวมๆ ออกมานอกเสื้อผ้าอาภรณ์ของเธอแต่อย่างใด ตรงกันข้าม สีหน้าของเขากลับเหมือนไม่ชอบใจ…
“นายหุบปากไปเลยนะ” เหอหงเยี่ยนถลึงตาใส่สชายที่ยืนอยู่ข้างตัวเธอ พลางตวาดด่า
เธอเลียริมฝีปาก แล้วแสยะยิ้มมองไปทางหลิงม่อ “พวกนายนี่อวดดีมากนะ เพิ่งจะมาจากสาขาย่อยแท้ๆ คิดว่าพอได้เป็นคนของสำนักงานใหญ่แล้วจะยกหางชี้ขึ้นฟ้าได้งั้นหรอ? ไม่แน่อาจตายตั้งแต่ทำภารกิจครั้งแรกเลยก็ได้” เธอเบะปาก แล้วเหลือบมองหลิงม่อด้วยหางตา “ยังจะคิดว่าตัวเองดีเด่อะไรนักหนา”
หลิงม่อขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “แปลกคนจริงๆ”
ผู้หญิงคนนี้จงใจหาเรื่องก็แล้วไป แต่ถึงกับต้องใช้คำพูดร้ายกาจขนาดนี้ หลิงม่อเริ่มรู้สึกรำคาญใจขึ้นมา
มู่เฉินเองก็สีหน้าบึ้งตึง ในใจคิดว่า “อะไรของหล่อน ‘พวกนาย’ งั้นหรอ? ฉันยังไม่ได้พูดไม่ได้ทำอะไรเลยนะโว้ย!”
“นายว่าไงนะ?” เหอหงเยี่ยนเบิกตากว้าง หุนหันทำท่าจะเดินเข้ามา “อวดดีมาก อวดดีนักใช่ไหม! มาเดิมพันระดับผลงานกันไหมล่ะ?”
“มาแล้วๆ หล่อนชอบใช้ไม้นี้แหละ”
“เธอมีอาหลงอยู่ด้วย สองคนนั้นต้องแพ้แน่ๆ…”
เหล่าคนชอบมุงไม่สนใจอยู่แล้วว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตอย่างไร พอได้ยินเหอหงเยี่ยนท้าทาย ก็ต่างพากันตื่นเต้นขึ้นมา
“แต่สองคนนั้นคงไม่รับคำท้าหรอกมั้ง ยังไม่ทันได้เข้าร่วมสำนักงานใหญ่อย่างเป็นทางการเลยนี่”
“ตามกฎ สมาชิกใหม่ต้องออกไปทำภารกิจภายใน 3 วัน สิ่งที่เหอหงเยี่ยนหมายตา ต้องเป็นระดับผลงานแน่นอน”
หลิงม่อมองเหอหงเยี่ยนที่ทำท่าโกรธขึงขังเหมือนจะกินคน ขณะเดียวกันก็อาศัยความสามารถในการฟังที่ผ่านการอัพเกรดมาแล้ว แอบฟังเสียงถกเถียงกันของคนที่มุงดูอยู่รอบๆ
เดิมทีคนเหล่านี้เพียงแค่พูดเบาลงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลิงม่อได้ยินที่พวกเขาคุยกันอย่างชัดเจน ไม่เหมือนมู่เฉินที่ฟังออกแค่คร่าวๆ
“ว่าแล้วเชียว ที่แท้ก็จงใจสินะ…แต่ผู้หญิงคนนั้นก็คงชอบหาเรื่องอยู่แล้ว…” หลิงม่อทำหน้าเอือมระอาทันที พวกเขามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกพวกนี้อยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าสมาชิกของสำนักงานใหญ่จะเย่อหยิ่งและชอบอวดตัวขนาดนี้ ชายวันกลางคนคนนั้นเริ่มวางท่าตีตัวออกห่าง และไม่คิดจะเข้ามายุ่งตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“ดูท่า กระแสรังแกสมาชิกใหม่คงจะเป็นที่นิยมกันที่นี่สินะ…” หลิงม่อพอจะเข้าใจบรรยากาศในนิพพานสำนักงานใหญ่ระดับหนึ่ง สมาชิกเหล่านี้มีความสัมพันธ์แบบแข่งขันกันเองอยู่แล้ว แต่ดูจากกลุ่มของเหอหงเยี่ยน เหมือนพวกเขาจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องสู้เพียงลำพัง ในอีกด้าน นี่ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของคนที่นี่แย่มาก ถึงขนาดต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนจึงจะอยู่รอด
เพราะฉะนั้น ถึงจะไม่เจอเหอหงเยี่ยน อย่างไรก็ต้องมีคนเข้ามาหาเรื่องพวกหลิงม่ออยู่ดี
“ต้องออกไปทำภารกิจภายใน 3 วัน แต่หลังจากที่พวกเขารู้เรื่องของสาขาย่อยเมืองตงหมิงแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังให้เรากับมู่เฉิน…” หลิงม่อคิดในใจ
“ไม่กล้า?” เหอหงเยี่ยนทำหน้าดูแคลน “ถ้านายไม่กล้าก็ไม่เป็นไร แต่…”
เธอกำลังเตรียมสรรหาคำพูดร้ายกาจเพื่อพยายามกระตุ้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงม่อจะอ้าปากตัดบทเธอ “พวกเรารับคำท้า”
คำพูดเสียดสีของเหอหงเยี่ยนเพิ่งจะมาถึงริมฝีปากก็ต้องถูกกลืนลงไปทันที
เธออ้าปากค้างมองหลิงม่ออยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงเพิ่งได้สติ “อวดดีตามคาด ได้ ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันเมื่อถึงเวลานั้น มาเดิมพันกันว่าระดับภารกิจของใครจะสูงกว่า บอกพวกนายไว้ก่อน ภารกิจของพวกเราในครั้งนี้เป็นภารกิจระดับ A”
“โว้วว รับคำท้าแล้วจริงๆ…”
“ระดับ A! เจ้าสองคนนั้นแพ้แน่นอน”
หลิงม่อสีหน้าเรียบเฉย ผู้หญิงคนนี้ช่างทำให้คนรำคาญเก่งนัก ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็เอาแต่ว่าเขาว่าอวดดี
ระดับความสามารถในด้านการหาเรื่องคนอื่นของผู้หญิงคนนี้ สูงกว่าความสามารถในการแต่งตัววับๆ แวมๆ ของเธอหลายเท่า
หลิงม่อขี้เกียจถือสาเธอ สำหรับสมาชิกของนิพพานสำนักงานใหญ่เหล่านี้ ระดับผลงานหมายถึงระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัย แต่สำหรับหลิงม่อมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย…
พอเห็นหลิงม่อยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร คราวนี้ไม่ใช่แค่เหอหงเยี่ยนเท่านั้นที่เดือดดาล แม้แต่ชายเจ้าของสายตาเย็นชาก็ยังหันมามองหลิงม่อด้วย
“หึหึ นายคงไม่เข้าใจคุณค่าและความยากของระดับผลงานสินะ? บอกให้เอาบุญ ระดับผลงานไม่เพียงสามารถแลกได้ทุกอย่าง แต่ยังสามารถเอามาแลกระยะเวลาที่จะได้อยู่ในสำนักงานใหญ่ด้วย หรือแม้แต่แลกผู้หญิงก็ยังได้” สีหน้าของเหอหงเยี่ยนขณะพูดเรื่องเหล่านี้ดูเรียบเฉย กระทั่งแฝงแววเหยียดหยาม “ระดับความยากของภารกิจน่ะ ระดับ S พวกนายคงไม่ต้องฝันถึง เพราะแค่ระดับ A ก็ส่งพวกนายไปตายได้แล้ว”
คำก็ไปตาย สองคำก็ไปตาย หลิงม่อได้ยินก็เริ่มขมวดคิ้วแน่น
สีหน้าของมู่เฉินก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าหลิงม่อ ยัยนั่นเป็นโรคเจ้าหญิงชัดๆ คิดว่าคนอื่นต้องตามใจตัวเองทุกคนหรือไง…มีเจ้าหญิงที่ไหนแต่งตัวสไตล์ร็อคด้วยหรอ? (โรคเจ้าหญิง หรือ 公主病 เป็นคำแสลงจีน แปลว่าผู้หญิงที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตัวเองเหมือนเจ้าหญิง)
สำหรับเรื่องระดับผลงานและระดับภารกิจ หลิงม่อเคยเห็นในสมุดโน้ตที่ได้มาจากตอนนั้น แต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขามาก เขาจึงแค่อ่านผ่านๆ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ในนิพพานสำนักงานใหญ่คร่าวๆ เท่านั้น
“เธอยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เหอหงเยี่ยนสะอึกไปอีกครั้ง เธอกัดฟันกรอดมองดูหลิงม่อหันหลังกลับไป สายตาเธอฉายแววเคียดแค้น “ฉันจะรอดูว่านายจะตายอย่างไร”
ชายวัยกลางคนและเหล่าพนักงานที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ต้อนรับต่างพากันจ้องหลิงม่ออย่างผิดคาด จนกระทั่งหลิงม่อหันกลับมา พวกเขาก็ยังไม่ละสายตาออกไป
“ลงทะเบียนต่อได้แล้วใช่ไหม?” หลิงม่อมองชายวัยกลางคน แล้วถาม
“แน่นอน” ชายวัยกลางคนได้สติ แล้วพูดขึ้น “หลี่หยาง เอาแบบฟอร์มลงทะเบียนมา”
“อ้อ ได้ครับ” หลี่หยางนำอาวุธอัปลักษณ์สองชิ้นนั้นไปเก็บ แต่กลับอดเหลือบมองหลิงม่อไม่ได้
แม้แต่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังเหลือบมองมาเป็นพักๆ ถึงแม้หลิงม่อจะรับรู้ได้ แต่สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนไป
“อยู่ที่นี่แล้วไม่มีเรื่อง คงจะยาก! จะถอย ก็ยิ่งยาก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ สู้รับคำท้าไปเลยซะดีกว่า จะได้หลีกเลี่ยงคนมาก”
สภาพแวดล้อมอย่างนี้ส่งผลต่อแผนการของหลิงม่อมาก แต่ก็เหมือนกับที่หลิงม่อบอกก่อนหน้านี้ ในเมื่อมาแล้ว ก็คงทำได้แค่รับมือไปตามสถานการณ์เท่านั้น
“ทีมหลงเยี่ยน มารับของ” พนักงานต้อนรับอีกคนยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมา แล้วตะโกนเรียก
เหอหงเยี่ยนเดินเข้ามา พร้อมรูดซิปเปิด เผยให้เห็นกระบอกปืนและกระสุนสีเหลืองอร่ามสะดุดตาจำนวนหนึ่งในกระเป๋า
เธอเชิดคางขึ้น แล้วมองหลิงม่ออย่างท้าทาย จากนั้นก็กระชากกระเป๋าเดินกลับไป
หลิงม่อเหลือบมองตามเล็กน้อย และเห็นสามคนนั้นเดินไปด้วยกันตามคาด
“ที่แท้ก็ไม่ใช่แค่สามารถรวมกลุ่มกันได้ แต่ยังตั้งทีมตามชื่อได้ด้วย…” หลิงม่อครุ่นคิด
คนอื่นๆ พอเห็นว่าเรื่องสนุกผ่านพ้นไปแล้ว ต่างพากันเงียบลง ทว่ายังคงมีคนหันมามองหลิงม่อเป็นพักๆ
หลิงม่อมองข้ามสายตาเหล่านั้นไป แต่มู่เฉินกลับอดกังวลขึ้นมาไม่ได้
สถานการณ์อย่างนี้ ถือเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปสำหรับพวกเขา…
“ต้องรับภารกิจที่นี่ไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อคิด แล้วถามขึ้น
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า แล้วบอกว่า “รับที่ห้องโถงชั้นบน ทุกวันจะมีภารกิจถูกติดไว้ที่นั่น อยากรับภารกิจไหนก็ไปดูเองได้เลย”
เขาเหมือนไม่อยากพูดอะไรมากนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หลิงม่อลองนึกย้อนไป เขาจำได้ว่าวิธีการรับภารกิจของคนเหล่านี้แตกต่างจากสมาชิกธรรมดา
เมื่อไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน ท่าทีย่อมเมินเฉยต่อกัน
หลังจากได้แบบฟอร์มลงทะเบียนมา ชายวัยกลางคนก็ดันมาตรงหน้าหลิงม่อ แล้วหันไปมองมู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างหลัง “พวกนายกรอกซะ เสร็จแล้วฉันจะพาขึ้นไปข้างบน”
ปากบอกว่าเป็นแบบฟอร์มลงทะเบียน แต่ความจริงมันคือสมุดเล่มเล็กต่างหาก
ตรงหน้าปกมีช่องว่างให้เติมชื่อแซ่ แต่ในสถานที่อย่างนี้ เขียนฉายาลงไปแทนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
พอเปิดออกดู ข้างในเป็นเหมือนแบบฟอร์มประวัติส่วนตัว แต่ที่หลิงม่อแปลกใจก็คือ ตัวหนังสือเหล่านี้ล้วนถูกพิมพ์ขึ้นมา
“ไม่ธรรมดาจริงๆ…” หลิงม่อคิดในใจ พลางเลื่อนสายตาอ่านลงไปทีละบรรทัด
“อื่ม…สาขาที่จากมา…อายุ…เพศ…เอ๋ ความสามารถพิเศษ?”
พอเลื่อนอ่านมาถึงคำว่า “ความสามารถพิเศษ” สายตาของหลิงม่อก็ฉายแววแปลกไป
เขามองไปที่ชั้นวางหนังสือด้านหลังเคาน์เตอร์ เมื่อกี้ดูเหมือนแบบฟอร์มลงทะเบียนฉบับใหม่นี่จะมาจากตรงนั้น…
“แบบฟอร์มลงทะเบียนของทุกคนน่าจะอยู่ตรงนั้นสินะ ไม่รู้ว่าของสมาชิกกลุ่มวิจัยจะอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า…ถ้าหากรู้จักพวกนั้นก่อน โอกาสทำภารกิจสำเร็จน่าจะมีมากขึ้น…”
หลิงม่อคิด แล้วหันไปมองชายวัยกลางคน
“ที่นี่หันหน้าไปทางประตูใหญ่ เปอร์เซ็นต์ที่จะขโมยแบบฟอร์มลงทะเบียนสำเร็จมีน้อยเกินไป ดูท่าคงต้องสังเกตการณ์ไปอีกซักพัก”
เขามองมู่เฉิน แล้วเห็นว่ามู่เฉินเริ่มถือปากกากรอกแบบฟอร์มแล้ว
พอเห็นเขามองมา มู่เฉินก็รีบยกมือขึ้นบังอย่างตกใจ “อย่าแอบดูเซ่”
“ก็แค่ลายมือไก่เขี่ย…” หลิงม่อเหล่มองเขาหางตา จากนั้นก็ขีดเขียนตัวอักษรสองตัวใหญ่ๆ ไว้บนหน้าปกสมุด : หลิงเกอ
มู่เฉินชะโงกหน้าเข้ามาดูอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ปรากฏว่าเขาเกือบสำลักออกมา “เชี่ย…”
—————————————————————————–