แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 726 ฉันจะทำเป็นชมทิวทัศน์รอบทิศไปแล้วกัน
ชายวัยกลางคนพาทั้งสองเดินลัดห้องโถงไป พออยู่ในที่คนเยอะๆ แบบนี้ พวกเขาสองคนก็ไม่เป็นที่สะดุดตาอีกต่อไป ตลอดทางถึงแม้จะยังมีคนมองมาบ้าง แต่อย่างมากก็แค่กวาดมองเล็กน้อย มู่เฉินลอบฉลองดีใจ โชคดีที่ไม่เจอคนอย่างยัยบ้าเมื่อกี้อยู่ทุกที่ ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะทำอะไรได้ลำบากแน่ๆ
“ทางนี้”
หลังจากเดินเลี้ยวเข้าไปในทางเดินเส้นหนึ่ง บรรยากาศรอบกายพลันเงียบลงทันที
เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นโซนออฟฟิส ประตูห้องส่วนมากถูกเปิดแง้มไว้ พอมองลอดเข้าไปก็จะเห็นโต๊ะเก้าอี้และเงาคนมากมาย
ชายวัยกลางคนยังคงเดินนำลึกเข้าไปในโถงทางเดินต่อไป
หลิงม่อหันไปมองอีกฝั่งหนึ่งของทางเดิน เมื่อมองทะลุหน้าต่างกระจก สามารถมองเห็นอาคารหลังอื่นๆ จากตรงนี้ได้ทั้งหมด อาคารเหล่านี้ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างกัน แต่ก็ถูกเชื่อมเข้าด้วยกันโดยทางเดินยาวๆ กวาดมองแวบแรก เขาก็มองเห็นจุดซุ่มยิงหนึ่งจุด เมื่อสังเกตอย่างละเอียด ก็นับได้ถึง 5 จุด
“มีจุดซุ่มยิงอยู่ตึกละ 1 จุด เมื่อยิงผสานกันมาจากทุกทิศก็จะกลายเป็นห่ากระสุนที่เกรงว่าจะไม่มีจุดบอดเลยแม้แต่นิดเดียว” หลิงม่อคิด พลางบันทึกตำแหน่งจุดซุ่มยิงเหล่านี้ไว้ในสมอง
“รอบนอกมีซอมบี้สุนัขคอยเดินลาดตระเวน ด้านในมีการป้องกันเข้มงวด ถ้าคิดจะเอาหุ่นซอมบี้เข้ามาจากข้างนอก คงเป็นเรื่องยาก…”
หลิงม่อกำลังใช้ความคิด แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ชายวัยกลางคนก็หยุดเดินอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไป
“หัวหน้าหลี วันนี้มีสมาชิกใหม่มาเพิ่ม 2 คน อ้างว่ามาจากสาขาย่อยเมืองตงหมิง ผมพาพวกเขาไปกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนแล้ว ที่นั่น…”
ชายวัยกลางคนเข้าไปพูดอะไร 2 – 3 ประโยคด้านใน จากนั้นก็หันมาตะโกนเรียก “พวกนายเข้ามาเถอะ”
ห้องทำงานหัวหน้าฝ่ายบุคคล…หลิงม่อจ้องป้ายที่ติดอยู่ตรงหน้าประตูด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ครบวงจรจริงๆ เชื่อเขาเลย…
สิ่งอำนวยความสะดวกของที่นี่ล้วนใช้ต่อจากของมหาลัยแพทย์ทั้งนั้น หลังผ่านการทำความสะอาดอย่างดี ก็ถือว่ายังมีกลิ่นอายของบริษัทใหญ่อยู่หลายส่วน
ทว่าคราบเลือดที่ติดอยู่บนกำแพงคงจะจัดการยากเสียหน่อย เพราะถึงแม้จะใช้กระดาษทรายขัดก็แล้ว แต่ก็ยังเห็นเป็นรอยจางๆ อยู่ดี
ด้านหลังโต๊ะเพียงตัวเดียวในห้อง มีชายอ้วนอายุราว 40 ปีคนหนึ่งนั่งอยู่ ตอนนี้เขากำลังก้มหน้าพลิกอ่านเอกสารลงทะเบียนของพวกหลิงม่อที่ชายวัยกลางคนเพิ่งส่งให้
พอได้ยินเสียงพวกหลิงม่อเดินเข้ามา เขาเพียงเงยหน้ามองแวบเดียว พร้อมพูดสั้นๆ ว่า “นั่งสิ” จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือต่อไป
มึนเลย เจอคนนิสัยเคร่งขรึมซะแล้ว…
มู่เฉินสีหน้าหม่นลงทันใด ในใจพลันนึกกังวลขึ้นมา
คนประเภทนี้มักจริงจังกับทุกเรื่องที่ทำ แต่จริงจังไม่เท่าไหร่ ถ้าหากเขาเป็นพวกเข้มงวดไม่โอนอ่อน ถ้าอย่างนั้นเกรงว่าวันนี้พวกเขาคงจะแฝงตัวเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ แล้วล่ะ
ต้องจัดระเบียบความคิด อารมณ์ และคำพูดให้ดีก่อน…
หลิงม่อกลับเดินไปนั่งลงบนโซฟาอย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็มองพิจารณาหัวหน้าหลีท่านนี้ตามอำเภอใจ
“เอ๋?”
มองได้ไม่นาน หลิงม่อกลับรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา คนคนนี้…เหมือนจะไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษนี่…
แค่ดูจากรูปร่างก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย มีไขมันส่วนเกินทั้งตัวขนาดนี้ นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นผู้มีศักยภาพด้านพุงพลุ้ยจากการดื่มเบียร์…
ส่วนผู้มีพลังจิต…ถึงแม้สายตาของเขาจะดูคมกริบกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็ยังห่างไกลจากผู้มีพลังจิตอีกมาก
หลิงม่อลอบแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาหนึ่งเส้นอย่างเงียบๆ ถึงแม้ไม่ได้ตรวจสอบโดยตรง แต่ในห้องเล็กๆ ที่มีสภาพแวดล้อมแบบปิดอย่างนี้ เขากลับสามารถตรวจสอบคลื่นดวงจิตของแต่ละคนได้คร่าวๆ
ไม่ใช่ผู้มีพลังจิตจริงๆ…
“ผู้มีพลังธาตุก็ไม่น่าจะใช่ ร่างกายของเขาดูอ่อนแอกว่าคนทั่วไป ซอมบี้คลานยังเร็วกว่าเขาวิ่งด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นสายไหนก็ไร้ประโยชน์…หลังจากดิ้นรนผ่านช่วงเกิดภัยพิบัติมาได้ร่างกายของเขาจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นร่างกายของเขาก็น่าจะถูกขุนจนอ้วนหลังจากมาที่นิพพานแล้ว ดูจากปริมาณไขมันในร่างกาย เดาว่าน่าจะเป็นสมาชิกเก่าแก่แล้ว…”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีคนธรรมดาได้เป็นสมาชิกระดับผู้บริหารอยู่ แต่จะว่าไปก็ไม่แปลก ผู้มีความสามารถพิเศษที่มีพลังแกร่งกล้าก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจเรื่องการบริหารจัดการคนเสมอไปนี่นะ” หลิงม่อคิดในใจ
ชายวัยกลางคนเองก็หาเก้าอี้และนั่งลงด้วยเช่นกัน เห็นชัดว่าเขาจะจากไปก็ต่อเมื่อตัวตนของหลิงม่อกับมู่เฉินได้รับการยืนยันแล้วเท่านั้น
หัวหน้าหลีก้มหน้ากัมตาอ่านโดยไม่พูดไม่จาหนึ่งรอบ แล้วจู่ๆ ก็เอนหลังพิงพนัก ยื่นมือดึงลิ้นชักออก
พอเห็นการเคลื่อนไหวของเขา มู่เฉินก็รีบหันมาส่งสายตาให้หลิงม่อทันที
มีสำเนาเก็บไว้จริงๆ ด้วย!
ความจริงแล้ว มู่เฉินไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการติดต่อสื่อสารกันระหว่างสาขาย่อยกับสำนักงานใหญ่เท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าสำเนาข้อมูลนี้จะถูกส่งมาที่นี่ในทุกระยะเวลาเท่าไหร่ อีกเดี๋ยวหากถูกถามขึ้นมา เขาคงทำได้เพียงยืนยันหัวชนฝาว่าหลิงม่อเพิ่งเข้าร่วมได้ไม่นานเท่านั้น…
หัวหน้าหลีเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าทุกอิริยาบถ จนคนที่จ้องเขายังรู้สึกเหนื่อยแทน แต่พอเป็นเรื่องพลิกอ่านเอกสาร กลับไม่ช้าอย่างที่คิดเลยซักนิด
และนั่นก็คือสิ่งที่เขาฝึกฝนจนชำนาญจากสายวิชาชีพด้วยตัวเอง ซึ่งไม่มีความสามารถพิเศษอะไรมาแทนที่ได้
“อะแฮ่ม…” เมื่อหัวหน้าหลีพลิกอ่านไปจนถึงหน้าหนึ่ง เขาก็ชะงักไป หลังจากกระแอมทดสอบเสียงพูด เขาก็เงยหน้ามองพวกหลิงม่อ
“สมาชิกระดับ 5 มู่เฉิน สมาชิกระดับผู้บริหารของสาขาย่อยเมืองตงหมิง หลิงเกอ ไม่มีบันทึก”
เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์
“โอ้โห!”
มู่เฉินตะลึง นี่เขาเพิ่งจะกวาดสายตาได้ไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ แต่เขากลับอ่านหมดแล้ว?!
แค่เหลือบเห็นรายชื่อคนที่เรียงรายกันเป็นแถบยาวขนาดนั้นจากที่ไกลๆ มู่เฉินยังรู้สึกตาลาย เขาอ่านเร็วเกินไปแล้วมั้ง!
ทว่าเขาไม่ได้ตะลึงในความเร็วของหัวหน้าหลีหรอกนะ แต่…เขายังไม่ทันได้คิดให้ดีเลย!
ชายวัยกลางคนหันไปมองหลิงม่อทันที แต่หลิงม่อกลับหันมามองมู่เฉิน
ในเมื่อหัวหน้าหลียืนยันตัวตนสมาชิกระดับผู้บริหารของมู่เฉินแล้ว เขาย่อมต้องเป็นคนอธิบายอยู่แล้ว…
มู่เฉินหางตากระตุกยิกๆ เขาค่อยๆ กลอกตาไปสบตากับหลิงม่อช้าๆ
“ตำแหน่งฉันต่ำต้อย คำพูดไร้น้ำหนัก” หลิงม่อบอกเขาเสียงเบา
“…นายจะบ้าหรอ!” มู่เฉินขยับปากด่าเขาแบบไร้เสียง จากนั้นก็หันไปมองหัวหน้าหลี แล้วฝืนพูดออกไปว่า “หลิงเกอเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นาน…”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะให้อ้ายเฟิงรวบรวมรายชื่อมาส่งทีเดียว…แต่พวกนายเดินทางมาถึงนี่ ก็เพื่อเข้าร่วมกับสำนักงานใหญ่ใช่ไหม?” พอพูดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากอวบหนาของหัวหน้าหลีก็กระตุกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มน่าเกลียด “สำนักงานใหญ่ไม่ใช่จะเข้าร่วมได้เลยแบบนี้ เมื่อไหร่ที่เอกสารถูกอัพเดท เบื้องบนจะเป็นคนเลือกสรรเอง สมาชิกใหม่ที่จะมาเข้าร่วมที่นี่ในแต่ละรอบจะมีคนไปรับถึงที่โดยเฉพาะ จากนั้นก็ค่อยพามาที่นี่ทีเดียว ถึงแม้สาขาย่อยเมืองตงหมิงจะไม่มีใครคุณสมบัติถึงมากว่าครึ่งปีแล้ว แต่จะวิ่งมามั่วๆ แบบนี้ก็ไม่ได้…”
คำพูดคำจาของเขายังถือว่าไว้หน้าอยู่บ้าง แต่ความจริงหากแปลคำพูดของเขาอีกทีก็จะได้ความว่า : ถึงพวกนายจะเสนอตัวแกมบังคับอย่างนี้ พวกฉันก็ไม่มีทางรับไว้หรอก…
หลิงม่อไม่ได้รู้สึกอะไร แต่มู่เฉินกลับรู้สึกผิวหน้าร้อนฉ่า
เขาต้องเป็นไอ้ขี้แพ้ถึงขั้นไหนถึงได้ไม่ถูกเลือกมาโดยตลอดอย่างนี้! ทั้งที่ตอนอยู่ในสาขาย่อยเมืองตงหมิงเขายังรู้สึกว่าตัวเองก็มีดีเหมือนกันแท้ๆ ไม่คิดเลยว่าในสำนักงานใหญ่เขาคือคนที่ถูกทอดทิ้งมาโดยตลอด!
แต่พอหันไปมองหลิงม่อ มู่เฉินก็รู้สึกปลง
ความสามารถแค่นั้นของเขา เทียบอะไรกับหลิงม่อไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
สมาชิกของสำนักงานใหญ่สองคนเมื่อกี้ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงม่อเหมือนกัน
ทว่าที่นี่เป็นถิ่นของคนอื่นเขา ถึงแม้จะเป็นหลิงม่อก็ยังต้องระวังตัว…
ไม่แน่ ที่นี่อาจมีผู้มีความสามารถพิเศษที่แกร่งกว่าหลิงม่ออยู่ก็ได้…
มู่เฉินรีบจัดการอารมณ์ความรู้สึกตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
พอเห็นมู่เฉินทำสีหน้าอย่างนั้น ชายวัยกลางคนกับหัวหน้าหลีก็นิ่งไป
ถึงแม้จะดูเหมือนสีหน้าของคนปวดท้อง แต่ในเวลาอย่างนี้…คงไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของหัวหน้าหลีไปทำลายศักดิ์ศรีของเขาหรอกมั้ง?
พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้คิดไปในทางที่ร้ายแรงกว่านี้เลย ดังนั้นพอมู่เฉินเปิดปากพูดหลังจากที่ปั้นหน้าอมทุกข์อยู่นาน สองคนนี้ก็กระด้างแข็งเป็นหินไปทันที
“สาขาย่อย…เมืองตงหมิง…ไม่มีอีกแล้ว…”
พูดไป มู่เฉินยังส่ายหน้าไปมาเสริมด้วย จากนั้นก็แสร้งก้มหน้ากับฝ่ามืออย่างเจ็บปวด “ตาย…ตายหมดแล้ว…”
หลิงม่อที่นั่งอยู่อีกด้านถึงกับอึ้งสนิทไปสองวินาทีกว่าจะได้สติกลับคืนมา
เชี่ยย…เจ้าทึ่มนี่ฝีมือการแสดงขั้นเทพ!
แต่ในตอนนั้นเอง มู่เฉินกลับค่อยๆ เงยหน้าขึ้น อาศัยฝ่ามือเป็นกำบัง แล้วส่ายหน้าพร้อมจ้องหน้าหลิงม่อด้วยสายตาประณาม : “ตายแล้ว…ตายหมดแล้ว…”
ฆาตกรก็คือเจ้านี่แหละ!
เขาเพิ่งจะทำปากเสร็จ สีหน้าของหลิงม่อก็ขรึมลงทันที
เจ้าโง่คนนี้ หมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ…
เอาแต่ตื่นตระหนกมาตลอดทาง ตอนนี้พออินกับการแสดงเข้าหน่อย กลับเล่นสนุกขึ้นมาซะแล้ว…
มู่เฉินเห็นสีหน้าหลิงม่อเปลี่ยนไปจึงรีบก้มหน้าต่อไป เสียงอู้อี้แปลกๆ เล็ดลอดออกมาจากช่องนิ้วมือเบาๆ ฟังแวบแรกเหมือนเสียงหายใจอย่างหนักหน่วง เหมือนมู่เฉินกำลังพยายามปรับสภาพอารมณ์ของตัวเอง
หัวหน้าหลีนิ่งงันไปหลายวินาที ไม่นานเขาก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที กระทั่งพุงพลุ้ยๆ ของเขาถึงกับชนขอบโต๊ะ จนไขมันทั่วร่างกระเพื่อมไปทั้งตัวเลยทีเดียว เขาทุบฝ่ามือลงบนแฟ้มเอกสารเล่มนั้นอย่างแรง : “นายว่าไงนะ?!”
ถึงแม้มู่เฉินจะแสดงได้เนียนจนจับใจคนดู ซ้ำยังทำเป็นเสียศูนย์ ใช้คำพูดไม่กี่คำเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน แต่หัวหน้าหลีก็ยังคงยากจะจินตนาการถึง
สาขาย่อยเมืองตงหมิงล่มแล้ว? คนตายหมดแล้ว?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร!
“นายเล่ามาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้!”
สีหน้าของหัวหน้าหลีเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่ เขาแทบจะพุ่งตัวเข้ามากระชากคอเสื้อมู่เฉินเพื่อเค้นถามแล้ว แต่ท่าทางของมู่เฉิน ทำให้เขาต้องข่มกลั้นความช็อกในใจ แล้วถามต่อ “นายใจเย็นก่อน แล้วเล่าเรื่องมาให้ละเอียดกว่านี้หน่อย”
ตอนนี้ ชายวัยกลางคนเองก็ได้สติกลับคืนมาแล้ว เขาเบิกตากว้างจ้องมู่เฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็หันไปมองหลิงม่อ
ไม่ต้องมามองฉัน…หลิงม่อเบนสายตาหนีทันที เขาเป็นแค่คนที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ไม่จำเป็นต้องแสดงถึงขนาดนั้น อย่างนั้นก็ทำเป็นกวาดตาชมทิวทัศน์รอบทิศไปแล้วกัน…
มู่เฉินใช้เวลาในการ “สูดหายใจลึกๆ” ไป 1 นาทีเต็มๆ กว่าจะเงยหน้าขึ้นมาและเผยให้เห็นใบหน้าที่แดงก่ำไปทั้งดวง
พอเห็นสภาพของมู่เฉิน หัวหน้าหลีกับชายวัยกลางคนถึงกับตัวอ่อนไปทันที
ดูท่าว่ามันคงจะเป็นเรื่องจริง…
มีเพียงหลิงม่อและมู่เฉินเท่านั้นที่รู้ ว่าเขาไม่ได้กำลังเศร้าโศกหรือเคียดแค้นแต่อย่างใด แต่กำลังแสดงละครต่างหาก…
“นาย…ค่อยๆ เล่ามา” หัวหน้าหลีลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น
“เรื่องนี้…เล่าแล้วยาว” ประโยคนี้มู่เฉินพูดจากใจจริงๆ ถ้าหากต้องเล่าจริงๆ เขาก็ต้องเริ่มเล่าจากที่ว่าไปหมายหัวหลิงม่อได้อย่างไร และเริ่มเคลื่อนไหวภารกิจรนหาที่ตายอย่างไร…
ทว่าสิ่งที่มู่เฉินจะเล่าต่อไปนี้ แน่นอนว่าเป็นคำโกหกที่ถูกเตรียมไว้นานแล้ว ซึ่งมีทั้งเรื่องจริงเรื่องแต่งปะปนกันไป ถึงแม้จะเล่าได้ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก แต่เขากลับสามารถเฉไฉเอาตัวรอดไปได้ บางเรื่องที่ไม่รู้จะแต่งเรื่องอย่างไรให้เนียน เขาก็จะบอกว่าตัวเองไม่ค่อยแน่ใจ เท่านี้ก็ไม่มีใครสงสัยแล้ว
มุมมองสายตาของคนคนหนึ่งนั้นมีจำกัด สิ่งที่สามารถมองเห็นได้จึงมีเพียงเท่านั้น ตรงกันข้าม หากเขาสามารถเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดได้ในคราวเดียว กลับจะทำให้คนอื่นเกิดความสงสัยมากกว่า
—————————————————————————–