แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 727 ถึงเป็นโล่กันธนู ก็จะใช้กันอย่างนี้ไม่ได้!
พอได้ยินเรื่องเล่าจากมู่เฉิน หัวหน้าหลีกับชายวัยกลางคนก็ช็อกค้างไปทันที
คนแค่ 3 – 5 คน สามารถทำลายสาขาย่อยเมืองตงหมิงให้ล่มสลายได้ทั้งสาขา สมาชิกตายมากกว่าครึ่ง ที่เหลือหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
นี่มัน…น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
แต่สีหน้าท่าทางของมู่เฉินไม่เหมือนคนที่กำลังโกหกเลยแม้แต่น้อย รายละเอียดมากมายที่เขาเล่ามาหากไม่ประสบกับตัวเอง ก็คงยากจะสานเรื่องราวให้เข้ากันจนไร้ช่องโหว่อย่างนี้ สิ่งสำคัญคือ ด้วยจุดยืนของมู่เฉิน เขาไม่มีเหตุผลอะไรให้สร้างเรื่องขึ้นมา ถึงแม้จะเทียบกับสมาชิกของสำนักงานใหญ่ไม่ได้ แต่ในฐานะสมาชิกระดับผู้บริหารของสาขาย่อย คุณภาพชีวิตของมู่เฉินก็ยังดีกว่าเหล่าผู้มีชีวิตที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนหนู แล้วยังต้องแบกรับความกดดันทางจิตใจอยู่ตลอดเวลาพวกนั้นมาก และการที่เขาเสี่ยงอันตรายเดินทางมาถึงเมืองเฮยสุ่ย ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาทำใจละทิ้งชีวิตอย่างนี้ไปไม่ได้
“คนจร” ที่มีพลังความสามารถอย่างหลิงม่อ มีให้เห็นไม่มากนักในหมู่ผู้รอดชีวิต
แต่ถึงอย่างไร พลังของคนหนึ่งคนก็ยังไม่เพียงพอที่จะสู้กับซอมบี้ทั้งเมืองได้อยู่ดี บางครั้งเพียงเพื่อออกไปหาอาหารเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจถึงตายได้ การต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางฝูงซอมบี้ที่จ้องฉวยโอกาสอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถหลับได้อย่างสบายใจแม้แต่คืนเดียวด้วยซ้ำ แรงกดดันทางจิตใจอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถแบกรับไว้ได้
แน่นอน นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีผู้รอดชีวิตกลุ่มเล็กๆ กระจายตัวกันอยู่ ท่ามกลางเมืองเล็กใหญ่มากมายในตะวันตก มีกองกำลังที่เป็นโล้เป็นพายอยู่เพียง 3 กองกำลังนี้เท่านั้น อิทธิพลของพวกเขาย่อมแผ่ปกคลุมไปไม่ทั่วผืนฟ้า
อย่างฟอลคอนกับกองกำลัง F ต่างก็เลือกเมืองขนาดใหญ่เป็นที่ตั้งฐานทัพ จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มขยายอิทธิพลไปยังรอบข้าง ส่วนนิพพานแม้จะพิเศษกว่าหน่อย แต่ก็ไม่อาจแผ่อิทธิพลถึงผู้รอดชีวิตได้ทุกคน
ผู้รอดชีวิตบางส่วนเกรงว่าจะไม่รู้จักกองกำลังเหล่านี้ด้วยซ้ำ ถึงแม้พวกเขาจะอยากออกตามหาสถานที่ประเภท “พื้นที่ปลอดภัย” แต่พวกเขาก็ไม่มีพลังความสามารถที่จะเดินทางแหวกฝูงซอมบี้กลางเมืองได้
ทว่าแม้แต่เหล่าผู้รอดชีวิตที่ไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังใดๆ ก็ยังพยายามรวมกลุ่มกันเพื่อมีชีวิตรอดอย่างสุดความสามารถ
เพราะความสามารถของคนคนเดียว มีขีดจำกัดมากเกินไป…
มู่เฉินไม่ได้บอกว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของคนคนเดียว เขาบอกว่าเป็นฝีมือของคน 3 – 5 คน…แต่ 3 – 5 คนก็ไม่น่าจะมีพลังขนาดนี้นี่นา!
ในตอนแรก ทั้งหัวหน้าหลีและชายวัยกลางคนต่างรู้สึกสับและขัดแย้งมาก ด้านหนึ่งเพราะหาเหตุผลที่มู่เฉินสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาไม่ได้ ในอีกด้านพวกเขาไม่อยากเชื่อเรื่องที่ได้ยิน
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หัวหน้าหลีก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หมายเลข 1…หมายเลข 1 ไปที่สาขาของพวกนายแล้วไม่ใช่หรือ?!”
เขาถามขึ้น ขณะเดียวกันเหงื่อเย็นๆ ก็เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากเขา
เมื่อกี้มัวแต่ช็อกกับเรื่องที่มู่เฉินเล่าให้ฟัง จนเกือบลืมเรื่องนี้ไปสนิท!
ตัวทดลองหมายเลข 1 คือภารกิจระดับ S ที่กลุ่มวิจัยเป็นคนประกาศออกมาเองเชียวนะ!
ถึงแม้สัตว์ประหลาดที่เกิดจากฝีมือของกลุ่มวิจัยจะมีจำนวนไม่น้อย แต่ตัวที่ได้รับการระบุหมายเลขกับนั้นมีไม่มาก
แน่นอน การถูกเรียกชื่อว่า “หมายเลข 1” ไม่ได้แปลว่ามันเป็นตัวทดลองอันดับต้นๆ ของกลุ่มวิจัย แต่คุณค่าของมันก็ไม่ได้ด้อยเลยแม้แต่น้อย!
พอเห็นหัวหน้าหลีทำหน้ากังวล หลิงม่อก็แอบคิดในใจเงียบๆ ว่า “ชีวิตของตัวทดลองสำคัญกว่าชีวิตคนจริงๆ ด้วยสินะ…”
เมื่อกี้ถึงแม้หัวหน้าหลีจะช็อกมาก แต่เขาก็ไม่ได้ดูกังวลถึงขั้นนี้
สาขาย่อยเมืองตงหมิงเป็นหางเครนจริงๆ ด้วยสินะ มีค่าไม่เท่าหมายเลข 1 ด้วยซ้ำ…(หางเครน หรือ 吊车尾 หมายถึง ที่สุดท้าย ที่โหล่)
การเข้าไปอยู่ในสถานที่อย่างนี้ ถึงแม้จะอาศัยความสามารถแลกชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ในสายตาของคนระดับสูงพวกเขาเป็นได้แค่ตัวหมากเท่านั้น…
“เอ่อ…” มู่เฉินทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยพ่นคำโกหกที่เตรียมไว้ก่อนแล้วออกมา “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
“พูดให้ชัดๆ หน่อย นายไม่รู้ว่าพวกเขาตายหรือยัง หรือไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น?” ไขมันทั่วร่างของหัวหน้าหลีสั่นกระเพื่อมไปทั้งตัว เขาจี้ถามมู่เฉินอย่างร้อนรน
ชิบหาย!
มู่เฉินลอบกลอกตาขาวเงียบๆ “ผมไม่รู้ เหมือนจะหนีไปแล้วมั้ง ผมฉวยโอกาสตอนชุลมุนหนีออกมา บังเอิญเจอหลิงเกอเข้า พวกเราก็เลยร่วมเดินทางมาด้วยกัน”
“นาย…” ตอนแรกหัวหน้าหลีอยากต่อว่าเขาว่าทำไมไม่เข้าไปช่วย แต่พอนึกถึงความเร็วของหมายเลข 1 ขึ้นมาได้…มู่เฉินจะไล่ตามมันทันได้อย่างไรล่ะ …
การรับรู้เรื่องมากมายอย่างกะทันหัน ทำให้หัวหน้าหลีตัวอ่อนทรุดนั่งลงไปกับเก้าอี้
ในบรรดาผู้บริหารของนิพพาน เขาถือว่าเป็นบุคลากรระดับกลางที่ไม่มีสิทธิ์จัดการเรื่องเหล่านี้ได้เท่านั้น
มู่เฉินแอบมองหลิงม่อ เมื่อกี้เขาแสดงละครได้อย่างไหลลื่นและแนบเนียน แต่ตอนนี้ก็อดผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้
“ปิดบังการตายของหมายเลข 1” นี่คือเรื่องที่หลิงม่อเสนอขึ้นมาเป็นพิเศษ
ในตอนนั้นหลิงม่อบอกว่า แค่เรื่องที่สาขาย่อยเมืองตงหมิงล่ม สำนักงานใหญ่ก็สูญเสียมากแล้ว แต่หากแม้แต่หมายเลข 1 ก็ยังตายไปด้วย เดาว่าสำนักงานใหญ่คงจะสติแตก…
ถ้าหากกระตุ้นนิพพานสำนักงานใหญ่รุนแรงเกินไป หลิงม่อกับมู่เฉินอาจถูกกักบริเวณได้
มีอุปสรรคได้
แทนที่จะทำอย่างนั้น สู้ใช้หมายเลข 1 ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายไปแล้วมาเบี่ยงเบนความสนใจของสำนักงานใหญ่ดีกว่า
แม้กระทั่งสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่ตายไปแล้วก็ยังถูกใช้ประโยชน์ เจ้าหลิงม่อคนนี้ช่างเขี้ยวลากดินนัก!
ทว่ามู่เฉินค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับจุดนี้ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่ถูกทำลายคือสาขาย่อยทั้งสาขา ไม่ใช่ผักกาดขาวไร้ค่าอะไร…
แต่ไม่คิดเลยว่าหลิงม่อจะทายถูกทั้งหมด!
ขณะเดียวกับที่ผ่อนลมหายใจโล่งอก มู่เฉินก็รู้สึกเกลียดชังนิพพานสำนักงานใหญ่ขึ้นมา
ชีวิตคนไร้ค่าขนาดนี้เชียวหรือ? ก็จริง ในสายตาของพวกคนระดับสูง ชีวิตของคนอื่นก็คงไม่ต่างอะไรจากขยะ
ถ้าหากสามารถสร้างสัตว์ประหลาดที่ฟังคำสั่งพวกเขาจนสำเร็จ แม้แต่เหล่าผู้มีความสามารถพิเศษในสำนักงานใหญ่ก็คงไม่มีความหมายในสายตาของพวกเขาอีกต่อไป
“หัวหน้าทีมหลี่…รบกวนคุณพาพวกเขาไปด้วย…ผมจะขึ้นไปข้างบนสักหน่อย”
หัวหน้าหลีช็อคและสับสนมาก เขาลุกขึ้นยืน พลางพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เมื่อถึงเวลา อาจต้องมาถามอะไรพวกนายอีกหน่อย…” เขามองหลิงม่อกับมู่เฉิน แล้วพูดขึ้น
หลิงม่อนั้นไม่เป็นไร เดาว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจจะมาตรวจสอบตัวตนของเขาด้วยซ้ำ แต่มู่เฉินกลับหน้าสลดไปทันที เขารู้แต่แรกแล้วว่าถ้าเข้ามาตัวเองจะต้องกลายเป็นจับกัง (คนใช้แรงงาน กรรมกร) กับโล่กันธนูให้หลิงม่อแน่นอน แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องเป็นถึงขั้นนี้!
ชายวัยกลางคนแซ่หลี่ยังคงตกอยู่ในอาการช็อกค้าง จนกระทั่งเมื่อหัวหน้าหลีเดินออกไป เขาถึงได้สติกลับมาช้าๆ
“มากับฉัน…”
ความจริง นิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ถือว่ากว้างใหญ่มาก แต่กลับสามารถจุสมาชิกของสำนักงานใหญ่ได้อย่างสบายๆ
หลิงม่อกับมู่เฉินเดินลดเลี้ยวตามชายวัยกลางคนมาตลอดทาง จนกระทั่งเดินเข้ามาในอาคารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายของสำนักงานใหญ่
หลังจากทำเรื่องลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ดูแลในห้องโถงชั้นหนึ่งเสร็จ ขายวัยกลางคนแซ่หลี่ก็ได้ยื่นกุญแจห้องสองดอกมาให้พวกหลิงม่อ
“ที่นี่เป็นอาคารหอพัก หากพวกนายไม่มีอะไรทำก็ไปเดินเล่นดูรอบๆ ได้…ตึกข้างๆ เป็นสถานบันเทิง แต่ต้องมีระดับผลงานก่อนถึงจะเข้าไปใช้งานได้ ส่วนโรงอาหารอยู่ด้านซ้ายของห้องโถง…ความจริงที่นั่นก็ต้องมีระดับผลงานมาแลกของกินด้วยเหมือนกัน แต่พวกนายเพิ่งมา สามวันแรกจึงยังไม่ต้องใช้ ที่นี่ไม่อนุญาตให้ฆ่าคน จะให้ดีที่สุดอย่ามีเรื่องชกตีกันด้วย ยังมีอีกหลายที่…ช่างเถอะ ถึงพวกนายจะไปที่ไหนก็ถูกห้ามเข้าอยู่ดี ฉันจะไม่พูดมากแล้วกัน”
ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนแซ่หลี่ยังคงอยู่ในระหว่างย่อยข้อมูลที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้ สายตาที่เขามองมู่เฉินกับหลิงม่อยังคงแฝงแววสับสน
“เดี๋ยวก่อน” ไม่ต้องให้หลิงม่อเตือน มู่เฉินรีบเปิดปากถาม “อย่างไรก็บอกพวกเราเถอะ ที่ไหนหรอ? อยู่ที่ไหนกัน? ทำไมไม่ให้คนเข้าล่ะ?”
ชายวัยกลางคนหน้าบึ้ง เจ้าหมอนี่มันเจ้าหนูจำไมเวอร์ชันคนชัดๆ!
“ตรงนั้น อาคาร 3 หลังที่อยู่หลังสุด ห้ามคนนอกเข้าทั้งหมด…”
“อ้อ เป็นอาคารอะไรกันล่ะนั่น ทำไมเข้าไม่ได้ล่ะ?”
“กลุ่มวิจัยกับพวกเบื้องบนอยู่ที่นั่นกันหมด สมาชิกทั่วไปห้ามเข้า!” ชายวัยกลางคนเห็นมู่เฉินทำท่าจะถามต่ออีก จึงรีบชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อนล่ะ”
เขารีบหมุนตัวเดินออกไปทันที กลัวว่าหากเดินช้าจะถูกมู่เฉินรั้งไว้ เขานึกว่าตอนนี้เจ้าสองคนนี้จะนั่งไม่ติดซะแล้ว แต่ปรากฏว่ายังพูดมากได้ขนาดนี้…
“ชิบ ถูกเขาถามอย่างเดียว จนลืมถามกลับไปเสียสนิท!” เดิมชายวัยกลางคนแซ่หลี่เองก็อยากจะซักถามอะไรกับสองคนนั้นด้วยเหมือนกัน…
“เรื่องนี้ต้องถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วแน่นอน นายมั่นใจหรอว่าเราสองคนจะไม่ถูกรุมจับตามอง?” พอขึ้นมาชั้นบนแล้วเห็นว่าไม่มีใครอยู่ มู่เฉินก็อดถามเสียงเบาขึ้นมาไม่ได้
“อย่างมากก็จับตามองนาย ไม่ใช่ฉันแน่นอน ฉันเป็นสมาชิกใหม่นะ” หลิงม่อพูดอย่างเรียบเฉย
มู่เฉินถึงกับพูดไม่ออก แต่ที่หลิงม่อพูดก็เป็นเรื่องจริง…และพอคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉินก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมา
นายมันไม่ใช่คน จะใช้คนอื่นเป็นโล่กันธนูก็ไม่เห็นต้องพูดตรงขนาดนี้เลย…
“วางใจเถอะ ฉันคิดว่าคงไม่ถูกจับตามองหรอก” คำพูดนี้ของหลิงม่อทำให้มู่เฉินเห็นแสงสว่างรำไร
“ยังไง?” ในสำนักงานใหญ่แห่งนี้จะต้องมีคนที่ชอบหาเรื่องอยู่มากแน่ๆ มู่เฉินไม่อยากถูกคนพวกนี้หมายหัว
ถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บจริงๆ แต่ถูกเกลียดมากๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก
“ที่นายโดนดูถูกก็เพราะนายมาจากสาขาย่อย แต่ถ้าหากรู้ว่านายคือสมาชิกที่หนีรอดออกมาได้หลังจาสาขาย่อยล่มสลาย พวกเขาก็คงขี้เกียจจะดูถูกนายอีก” หลิงม่อวิเคราะห์อย่างจริงจัง
มู่เฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็ระเบิดขึ้นมา “เชี่ย นี่มันไม่ได้ช่วยปลอบใจอะไรเลยนะโว้ย!”
อาคารหอพักมีคนเข้าออกไม่มาก ตลอดทางนอกจากผู้มีความสามารถพิเศษชายสองสามคน พวกเขาก็เห็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
ด้วยเงื่อนไขในปัจจุบัน มีความเป็นไปได้ไม่มากที่จะมีหอพักแยกหญิงชาย ดังนั้นหอพักรวมอย่างนี้จึงมีให้เห็นทั่วไป
ทว่าพอมาถึงที่นี่ มู่เฉินกลับรู้สึกหงุดหงิดมาก “ไม่รู้ว่าจะยังมีผู้หญิงบ้าอย่างยัยร็อคเกิร์ลนั่นอีกเท่าไหร่…”
“กลัวอะไร” หลิงม่อเพิ่งจะพูดจาอวดดีออกไป ไม่รอให้มู่เฉินได้แซว เขาก็พูดต่อว่า “ยังไงพวกเราก็อยู่ไม่นาน”
มู่เฉินหมดคำพูดอีกครั้ง เจ้าหมอนี่มันปลิ้นปล้อนจริงๆ!
แต่พอคิดดูอีกที เขากลับรู้สึกตั้งตารอการท้าทายจากคนพวกนั้นขึ้นมาเล็กน้อย
นึกว่าตัวเองกำลังรังแกสมาชิกใหม่ แต่ความจริงกลับไม่ได้อยู่ในสายตาเลยซักนิด ไม่รู้ว่าพอรู้ความจริงแล้ว พวกนั้นจะรู้สึกอย่างไร…
ในสถานที่อย่างนี้ หลิงม่อไม่สะดวกใช้พลังจิตสำรวจ ทว่าหากอยากคำนวณจำนวนคนคร่าวๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
“ถ้าหากมีอัตราการเข้าพัก 80% ในนี้แค่ผู้มีความสามารถพิเศษก็มีเป็นร้อยแล้ว สุดยอดมากจริงๆ…แต่ช่วงนี้สมาชิกส่วนมากต่างก็ออกไปทำภารกิจข้างนอกกัน เป็นเวลาที่เหมาะเจาะที่สุดพอดี ทว่าถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ ที่นี่ก็ยังคงมีผู้มีความสามารถพิเศษเหลืออยู่ถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าจะยังมีคนออกไปทำภารกิจเพิ่มอีกหรือเปล่า…”
แน่นอนว่ายิ่งมีผู้มีความสามารถพิเศษเหลือน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี…ตอนนี้หลิงม่อรู้ตำแหน่งจุดซุ่มยิงและจำนวนผู้มีความสามารถพิเศษที่แน่นอนแล้ว แต่กลับยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตำแหน่งของกลุ่มวิจัยซึ่งสำคัญที่สุดเลย ความจริงเขาก็ไม่ได้หวังว่าจะสามารถสืบรู้สถานการณ์ของกลุ่มวิจัยได้ในคราวเดียว นั่นมันห่างไกลความจริงเกินไป
พอประตูห้องเปิดออก หลิงม่อกับมู่เฉินก็อึ้งไปพร้อมกัน
ผ่านไปหลายวินาที มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ แล้วบรรยายความรู้สึกตะลึงของตัวเองด้วยคำพูดที่ตรงไปตรงมาแต่สื่อความหมายได้ชัดเจน : “เชรดดด!”
นี่มันไม่ใช่หอพักแล้ว นี่มันโรงแรมหรูระดับห้าดาวชัดๆ!
—————————————————————————–