แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 735 นี่ไม่ใช่โครโมโซมของบรรพบุรุษเรา!
ตอนแรกหลิงม่อคิดอย่างนั้น แต่หลังจากอ่านอย่างละเอียด เขากลับพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด
หากดูผิวเผิน เอกสารชุดนี้ได้แยกประเภทของสัตว์กลายพันธุ์ไว้จริงๆ และมันก็ไม่ได้มีประโยชน์ในการส่งเสริมวิวัฒนาการของเสี่ยวป๋ายโดยตรง
แต่หลังจากวิเคราะห์ข้อมูล หลิงม่อกลับค้นพบคีย์เวิร์ดที่ถูกซ่อนไว้—กฎการเคลื่อนไหวของสัตว์กลายพันธุ์
เนื่องจากมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นระหว่างสัตว์กลายพันธุ์และซอมบี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในขณะที่ซอมบี้มีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวน และยึดครองอำนาจในเขตเมือง จึงพบเจอสัตว์กลายพันธุ์เดินเพ่นพ่านบนถนนได้ยาก
ความจริง เรื่องนี้ยังมีอีกหนึ่งเหตุผล นั่นก็คือพฤติกรรมบางอย่างของพวกมันยังคงอยู่หลังจากกลายพันธุ์
การสร้างรัง
สัตว์กลายพันธุ์เกือบทั้งหมดที่เป็นที่รู้จักกันจะสร้างรังอันมิดชิดของตัวเองขึ้นมา แล้วค่อยออกล่าตามความปรารถนาของตัวเอง
การจะพบเจอพวกมันขึ้นอยู่กับดวง แต่ถ้าหากมีความต้องการออกตามหาพวกมันล่ะก็…บอกได้เลยว่าในเมืองที่มีตึกสูงเรียงราย ซอมบี้แออัดอย่างนี้ ล้มเลิกความคิดไม่เข้าท่าอย่างนี้เสียดีกว่า
ทว่านี่เป็นพียงสิ่งที่พูดถึงคนทั่วไปเท่านั้น สำหรับหลิงม่อ ข้อมูลชุดนี้กลับมีประโยชน์มาก
แต่การค้นหาอย่างนี้ สำหรับหลิงม่อถือว่าเป็นขอบเขตที่กว้างเกินไป ดังนั้นเมื่อใกล้จะถึงชั้น 5 เขากลับหยุดชะงัก…
“แกร๊ก”
ประตูเหล็กในทางเดินบานหนึ่งถูกปิดและลงกลอน
“เหล่าหวัง คืนนี้ตานายเข้าเวรแล้ว?” เจ้าหน้าที่ยามยื่นกุญแจให้ผู้มา แล้วพูดกับเขายิ้มๆ
เหล่าหวังดึงเข็มขัดขึ้น แล้วรับกุญแจมา พร้อมหันไปมองประตูเหล็ก “คืนนี้ทีมวิจัยมีคนอยู่ไม่มากใช่ไหม?”
“ไม่รู้สิ ได้ยินว่าวันนี้หัวหน้าทีมอารมณ์ไม่ดีนัก คงจะมีคนอยู่ทำงานล่วงเวลาบ้างแหละ นายทำงานให้ดีแล้วกัน อย่าให้ใครจับได้ว่าแอบสัปหงกล่ะ” เจ้าหน้าที่ยามคนเดิมพูดปนขำ
“นายนี่ปากนกปากกาจริงๆ รีบไสหัวไปเลยไป” เหล่าหวังเคือง
เขาหันหลังไป แล้วยื่นมือไปปลดกลอนประตูใหญ่ แล้วแกว่งกุญแจในมือ พลางพึมพำกับตัวเอง “จะระวังไปทำไม ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครอยากเข้าไปนักหนา…ทีมวิจัยจะมีปัญหาอะไรได้? ล้อกันเล่นรึไง…”
ความมืดมิดเข้าปกคลุมเมื่อกลางคืนมาเยือน อาคารทีมวิจัยที่เดิมก็ดูมืดมนอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมืดเข้าไปอีก
ในทางเดิน เสียง “แกร๊ก” มักจะดังขึ้นเป็นพักๆ พร้อมกับเสียง “หงิงๆ” ถึงแม้จะได้ยินไม่ชัดนัก แต่ก็เหมือนมันดังอยู่ในทุกที่
แอ๊ด—
ทันใดนั้น ประตูห้องที่ปิดสนิทบานหนึ่งก็เปิดออก ประตูถูเปิดออกกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นาน เท้าข้างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากในห้อง
เมื่อประตูถูกเปิดจนกว้างพอที่คนคนหนึ่งสามารถเดินออกมาได้ เจ้าของเท้าข้างนั้นก็ได้เบียดตัวออกมาช่องประตู
แต่การเคลื่อนไหวของเขาดูติดขัดอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าข้อต่อในร่างกายมีปัญหา กระทั่งบางจุดดูบี้ยวดงอเล็กน้อยด้วยซ้ำ
แต่ชุดกาวน์บนตัวได้ปกคลุมร่างกายเขาไว้ ทำให้ดูแปลกตาน้อยลงมาก
ชายคนนี้ยัดกุญแจพวงหนึ่งใส่กระเป๋า จากนั้นก็ยื่นมือไปจับมือจับประตู
แสงจันทร์อ่อนๆ ส่องทะลุผ้าม่านสีดำเข้ามา เผยให้เห็นนิ้วมือซีดขาวของเขา ซึ่งมีเส้นเลือดปูดขึ้นชัดเจน และคราบเลือดเก่าๆ…
แกร๊ก
ประตูถูกปิดลง และชายคนเดิมก็รีบหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว
ดวงตาประกายสีแดงคู่นั้น ปรากฏเด่นชัดในความมืดทันที…
“หุ่นซอมบี้เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถใช้ตามหากุญแจของห้องทดลองได้ กลับเป็นซอมบี้ที่กระดูกหักไปทั้งตัว…ไอ้โรคไขข้ออักเสบรุนแรงนี่เหมือนเคยเห็นในหนังผีบางเรื่องเลย…จะว่าไปแล้ว นิ้วมือที่งอขึ้นมานี้จะดัดให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหมเนี่ย…”.
ร่างจริงของหลิงม่อกำลังถอนหายใจ เขาเพิ่งเคยใช้หุ่นซอมบี้ที่สภาพย่ำแย่ขนาดนี้ พอยกมือขึ้นจะติดกระดุมกลับพบว่านิ้วมืออยู่ผิดที่ผิดทาง ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเอาซะเลย
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาเรื่องมาก แค่ตามหาหุ่นซอมบี้ที่หนีออกมาจากกรงขังได้ ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้ว
เขาให้เจ้าแมงกะพรุนเดินสำรวจเส้นทางอยู่ข้างหน้า แล้วให้หุ่นซอมบี้เดินโซซัดโซเซตามหลังไป
ยามกลางคืน คนของทีมวิจัยลดลงมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเคลื่อนไหวได้อย่างใจคิด หากไม่ระวัง ก็อาจเสี่ยงถูกจับได้…
“นายได้ยินรึยัง หมายเลข 1 หายตัวไปแล้ว เฉินเล่อก็หายตัวไปด้วยเหมือนกัน”
ในทางเดินอาคารอันมืดมิด ประกายสีแดงสองจุดมาๆ หายๆ อยู่ในความมืด ขณะเดียวกันเงาร่างเลือนรางสองเงากำลังยืนพิงกำแพง
“ฉันก็ได้ยินมาแล้ว เฮ้อ หัวหน้าทีมคงจะโมโหมากสินะ?” อีกคนพ่นควันบุหรี่ออกมาจากปากอย่างผ่อนคลาย แล้วถามขึ้น
“เรื่องนั้นใครจะไปรู้ แต่รองหัวหน้าทีมโมโหจนจะเป็นบ้าตายแล้ว วันนี้เขาอยู่ทำงานล่วงเวลาด้วย เห็นบอกว่าจะอดหลับอดนอนหลายคืนเพื่อสร้างหมายเลข 1 ขึ้นมาอีกตัว นายรู้แล้วใช่ไหม เขาบอกว่าหมายเลข 1 คือลูกชายของเขา นี่ถ้าพ่อเขายังมีชีวิตอยู่ แล้วได้เห็นหน้าหลานอย่างนี้จะช็อกตายคาที่หรือเปล่าไม่รู้ ไม่แน่อาจตะโกนออกมาว่า พระเจ้า นี่มันไม่ใช่โครโมโซมของบรรพบุรุษเรานี่! ฮ่าๆๆๆ…” ชายที่เริ่มพูดเป็นคนแรกระเบิดหัวเราะออกมา
“เหอะๆ…เอ่อ นายว่าสองคนนี้ใครเข้าหาง่ายกว่ากัน?” ชายอีกคนเปลี่ยนเรื่องคุย
ชายคนนั้นยังคงหัวเราะ “นี่นายเอาโรคจิตสองคนมาเปรียบเทียบกันหรอ…รองหัวหน้าเป็นพวกบ้างานวิจัย ส่วนหัวหน้าก็เป็นพวกบ้าอำนาจ…ฉันว่าเปรียบเทียบว่าใครโรคจิตกว่ากันจะเข้าท่ากว่านะ”
“โอ้โห นายนี่ช่างกล้าพูด ไหนนายลองว่ามาสิว่าใครโรคจิตกว่ากัน?” ชายอีกคนหัวเราะหึๆ
“รองหัวหน้าน่ะ เขาบ้าแค่เรื่องวิจัยเท่านั้น แต่หัวหน้าน่ะ เขาเป็นพวกโรคจิตมานานกว่าหลายสิบปีแล้ว นายคิดดูเมื่อก่อนเขาเคยเป็นแค่รองมาตลอด พอมาอยู่ที่นิพพานก็รีบดันตัวเองขึ้นเป็นหัวหน้าอย่างไม่รีรอ คราวนี้เป็นไงล่ะ ก็ลำพองใหญ่เลยน่ะสิ…อ้อใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่อง เห็นบอกว่ายังต้องตามหาหมายเลข 1 ด้วยนะ เป็นคำสั่งจากหัวหน้าล่ะ” จู่ๆ ชายคนนั้นก็พูดขึ้นอย่างมีลับลมคมใน
ชายอีกคนตะลึงเล็กน้อย “ท่ามกลางฝูงซอมบี้มากมาย จะตามหาไงวะ? บ้าเปล่า…”
“เห็นบอกว่ามีเบาะแส ฉันได้ยินมาจากหัวหน้าทีมย่อยของพวกฉันอีกที นายก็ลองคิดดูสิ ครึ่งปีมานี้ผลงานที่เด่นที่สุดของพวกเราก็คือเจ้าหมายเลข 1 มันแทบจะเป็นเหมือนเส้นชีวิตของหัวหน้าเลยนะ ถ้าเส้นชีวิตของนายหายไปนายจะดีใจไหมล่ะ?” ชายคนนั้นพูดต่อ
“ไอ้บ้านี่ เปรียบเทียบอะไรอย่างนี้วะ แต่เจ้าโรคจิตสองคนนี้ก็น่าขำนะ คนหนึ่งก็เส้นชีวิต อีกคนก็ลูกชาย ฮ่าๆๆๆ…” ชายอีกคนหัวเราะ
“บุหรี่ฉันหมดแล้ว กลับก่อนล่ะ”
ชายคนนั้นเหยียบบุหรี่ให้ดับ แล้วบอก
“อืม เดี๋ยวฉันตามกลับไป ของฉันยังไม่หมด” ชายอีกคนพยักหน้า
“แค่สูบบุหรี่ก็ช้าอย่างกับป้อสาว ยุ่งยากจริง…”
“นายไสหัวไปเลยไป”
ทางเดินในอาคารกลับมาเงียบอีกครั้ง มองเห็นเพียงจุดสีแดงเล็กๆ ที่ชัดบ้างเลือนรางบ้างเป็นพักๆ บางครั้งก็ส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่กำลังเคลิบเคลิ้มราวกับจะลอยขึ้นสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
“ฮู่ว…”
เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาอีกครั้ง แล้วแหงนหน้ามองบันไดที่อยู่ข้างบน
แต่ควันบุหรี่ยังไม่ทันจางหาย สีหน้าของเขาก็ชะงักกึกไปทันที บุหรี่ที่ถูกคาบไปไว้ในปากก็หล่นลงกับพื้นจนเกิดเป็นสะเก็ดไฟเล็กๆ
ถึงแม้จะยังยืนในท่าแหงนหน้ามองพระจันทร์เหมือนเดิม แต่สายตาของเขากลับแลดูตระหนก
ผ่านไปหลายวินาที เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แล้วค่อยๆ หันหน้ากลับมา
ระหว่างนั้น มุมปากของเขาก็กำลังกระตุกสั่นอยู่ตลอด
ทว่าพอหันมามองทางบันไดด้านล่าง เขาก็นิ่งอึ้งไป
ไม่มีใครเลย?
ในทางเดินอันมืดมิด ไม่มีใครหรืออะไรอยู่เลย…
“ฉันตาฝาดไปหรอ?” ชายคนนี้ยกมือขึ้นถูกท้ายทอยอย่างงงงวย “คงไม่ได้เป็นบ้าเพราะต้องเฝ้าซอมบี้อยู่ทุกวันหรอกนะ? นึกว่ามีตาสีแดงอยู่ข้างล่างซะอีก…”
เสี้ยววินาทีที่หางตาเหลือบไปเห็นภาพนั้น เขาตกใจมากจริงๆ ถึงขั้นรู้สึกตัวอ่อนไปเลยทีเดียว
ตอนนี้พอรู้ว่าตัวเองตาฝาดไป เขาก็อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้
หลังกระแอมเบาๆ หนึ่งที เขาก็ถอนหายใจยาวๆ แล้วก้มลงหยิบบุหรี่
ในเสี้ยววินาทีนั้น เงาร่างหนึ่งได้โฉบผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว
“หืม?”
ชายคนนี้มองซ้ายมองขวาอย่างสงสัยอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่พบอะไรเหมือนเดิม
“วันนี้ฉันเป็นอะไรไปวะ เชี่ย…”
ในทางเดินของอาคารชั้น 5 ชายคนที่เดินกลับมาก่อนกำลังเอามือซุกกระเป๋าเสื้อ พลางเดินฮัมเพลงเข้าไปในส่วนลึกของทางเดิน
เวลานี้ห่างออกไปไม่ไกลข้างหลังเขา กลับปรากฏเงาร่างของใครบางคนทันใด
เงาร่างนั้นแนบตัวติดกำแพง และกำลังเอียงคอเล็กน้อย มันเดินตามหลังมาอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับแขนข้างหนึ่งที่บิดเบี้ยวผิดรูป
เสียงกระทบกันเบาๆ ของพวงกุญแจ ดังออกมาจากในกระเป๋าเสื้อของเจ้าหน้าที่วิจัย…เงาร่างนั้นดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที
เมื่อเขาหยุดเดินอยู่ตรงหน้าประตูห้องวิจัย และกำลังจะล้วงกุญแจออกมา ทันใดนั้น เสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง…
ชายคนนี้เอามือออก แล้วหันไปมองอย่างสงสัยเล็กน้อย ในวินาทีนั้น กระเป๋าเสื้อของเขาก็ถูกเปิดออกเล็กน้อย
เมื่อกุญแจพวงนั้นถูกเกี่ยวขึ้นมาเบาๆ กุญแจอีกพวงก็หล่นลงมาจากบนเพดานเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเขา
“ไอ้สัตว์ประหลาดตัวไหนมันดื้ออีกแล้ว” ชายคนนี้หัวเราะ แล้วหันกลับมา
“อ้าว ฉันหยิบกุญแจมาผิดหรอ? นี่มันกุญแจใครล่ะเนี่ย?”
“ฮู่ว…”
หลิงม่อยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก โชคดีที่อีกฝ่ายใส่ชุดกาวน์…
“ต้องขอบคุณระบบของนิพพานอีกครั้ง หากไม่มีการสนับสนุนจากพวกนาย ฉันคงขโมยกุญแจพวงนี้มาไม่ได้”
หลิงม่อกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ จากนั้นเขาก็หลับตาลงอีกครั้ง
ตอนนี้ เขาสามารถพุ่งสมาธิไปที่การควบคุมหุ่นซอมบี้ทั้งหมด
มีเจ้าแมงกะพรุนคอยช่วย การขโมยกุญแจจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร และกลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมนี้หลิงม่อก็เคยใช้ได้ผลมาหลายครั้งแล้วด้วย
เวลานี้ กุญแจพวงที่ถูกขโมยมากำลังลอยละล่องกลางอากาศเข้าไปในมุมมืด จากนั้นก็ลอยเข้าสู่มืออันซีดขาวข้างหนึ่ง
ได้ยินเจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นบ่นอย่างหงุดหงิด ใบหน้าที่นิ่งเหมือนตอไม้ของหุ่นซอมบี้กลับปรากฏรอยยิ้มมุมปากที่ดูประหลาด
เมื่อมีกุญแจอยู่ในมือ เขาก็สามารถเข้าไปสำรวจห้องทดลองที่ถูกล็อกไว้เหล่านั้นได้อย่างสบายๆ แล้ว…
ถึงแม้ยามค่ำคืนจะเหมาะแก่การค้นหา แต่ห้องทดลองส่วนมากจะถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนาในเวลานี้ แต่เนื่องจากในห้องทดลองส่วนมากมีสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วย ดังนั้นกุญแจจึงมักอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ที่อยู่เวร จากการที่หลิงม่อแอบฟังพวกเขาคุยกันมาทั้งช่วงบ่ายในระหว่างที่ลอบเข้ามาในห้องทดลอง เขาก็เริ่มรู้กฎบางอย่างของทีมวิจัยแล้ว
“หัวหน้าทีมคนนั้นไม่ได้เข้าเวรที่ตึกนี้ แต่รองหัวหน้าทีมจะอยู่ที่ชั้น 6 ตลอด…เริ่มค้นจากชั้น 5 ก่อนดีกว่า”
หุ่นซอมบี้โฉบเข้าไปในทางเดินอีกเส้นอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นยังคงควานหากุญแจในกระเป๋าของตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่า ห่างออกไปประมาณ 10 เมตรในแนวเส้นตรง ซอมบี้ตัวหนึ่งกำลังถือกุญแจที่หายไปของเขาจ่ออยู่หน้ารูกุญแจห้องห้องหนึ่ง…
—————————————————————————–