แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 739 ชื่อใหม่ของ “เจ้าแมงกะพรุน”
หลายนาทีต่อมา หลิงม่อเขย่าขวดที่เต็มไปด้วยเลือดไปมาด้วยสีหน้าพอใจ จากนั้นเขาก็เก็บของแล้วลุกขึ้นยืน
ถึงแม้เขาจะทิ้งรอยแผลน่าเกลียดที่ดูไม่เป็นมืออาชีพเลยแม้แต่น้อยไว้บนแผ่นหลังของเจ้า 101 แต่ด้วยความเร็วในการฟื้นตัวของซอมบี้กลายร่าง ผ่านไปซักประมาณหนึ่งชั่วโมง แผลนั้นก็คงจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ทว่าหลิงม่อกลับสังเกตเห็นบางอย่าง นั่นก็คือเมื่อเลือดในกายไหลออกมา กล้ามเนื้อของซอมบี้กลายร่างตัวนี้ก็จะหดตัวลงไปด้วย ถึงแม้จะหดตัวในระดับที่เล็กน้อยมาก แต่กลับไม่รอดพ้นสายตาของหลิงม่อ ถึงแม้ว่าอีกเดี๋ยวบาดแผลจะหายดี แต่กล้ามเนื้อที่หดตัวลงไปนี้กลับมีผลคงอยู่ถาวร มันดูเหมือนซากมัมมี่ที่ยังมีชิวิตอยู่อย่างไรอย่างนั้น…ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นมันยังตื่นตัวอยู่ หลิงม่อคงจะสงสัยไปแล้วว่ามันตายไปนานแล้วหรือเปล่า
นี่มันไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่าบาดแผลแบบถาวรแล้ว ความจริงนี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผิวของมันเหี่ยวย่น แต่เหมือนร่างกายบางส่วนขาดเลือดจนยุบลงไปมากกว่า
“แกจ้องฉันทำไม?” หลิงม่อยกขวดเลือดแกว่งไปมาด้วยรอยยิ้ม พลางถาม
ลูกตาของเจ้า 101 ใกล้จะถลนออกมาจากเบ้าแล้ว “แก…เลือด…ฉัน…”
“อย่างกไปหน่อยเลยน่า ให้มนุษย์เจาะได้แต่กลับไม่ยอมให้เพื่อนร่วมสายพันธุ์เจาะหรอ?” หลิงม่อส่ายหัว แล้วบอก
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เจ้า 101 ขมวดคิ้ว มันรู้สึกเหมือนคำพูดของหลิงม่อแปลกๆ แต่กลับคิดไม่ออกว่าแปลกตรงไหน ยิ่งไม่รู้ว่าควรเถียงอย่างไร
“ใช่สิ ทั้งที่แกยังมีพลังฟื้นฟูด้วยตัวเองอยู่แท้ๆ แต่ทำไมร่างกายถึงได้กลายเป็นแบบนี้ล่ะ? ฉันหมายถึงรอยยุบพวกนั้น…” หลิงม่อถามอย่างสงสัย
พอพูดถึงเรื่องตัวเอง เจ้า 101 ก็มีอารมณ์ร่วมขึ้นมาทันที “นั่นเป็นเพราะฉันสามารถรวบรวมเลือดจำนวนมากไปไว้ที่แขนทั้งสองข้าง เส้นเลือดของฉันน่ะจะเรียกได้ว่าเหมือนยืดก็ได้…”
“ยาง?” หลิงม่อเริ่มเข้าใจแล้ว ที่เจ้า 101 เป็นอย่างนี้เพราะมันอยู่ในสภาวะอ่อนแอ ทันทีที่ปล่อยให้มันฟื้นพลังกลับมาได้ทั้งหมด ถึงแม้ผิวของมันจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยมันก็แกร่งกว่าตอนนี้มาก นี่คงจะเป็นวิธีที่ทีมวิจัยใช้ควบคุมมัน ถึงอย่างไรซอมบี้กลายร่างที่อยู่กึ่งกลางระหว่างระดับซอมบี้เจ้าเมืองและซอมบี้ราชาก็ไม่ใช่จะควบคุมกันได้ง่ายๆ…
“ใช่ เรื่องนี้เจ้ามนุษย์ผมขาวเป็นคนพูด เขาหลงใหลในร่างกายของฉันมาก คงจะคิดว่าเนื้อของฉันอร่อยมาก…” เจ้า 101 ทำหน้าได้ใจอีกครั้ง
“ไม่ไม่ เขาแค่สนใจการทดลองจากร่างกายของแกเท่านั้น มนุษย์ไม่กินเนื้อซอมบี้” หลิงม่อแก้ไขความเข้าใจผิดของมัน ในฐานะมนุษย์ การที่ต้องฟังเจ้า 101 เอาแต่โอ้อวดว่าตัวเองเป็นอาหารรสเลิศ ทำให้หลิงม่อรู้สึกขัดแย้ง โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เขากำลังจ้องรอยเหี่ยวย่นบนร่างกายของมันอยู่
“ทำไมไม่กิน?” เจ้า 101 กลับดูตะลึง “มนุษย์ไม่กินเนื้อหรอ?”
“กินสิ…” หลิงม่อตอบ
“แล้วซอมบี้ไม่ใช่เนื้อหรือไง?” เจ้า 101 พูดต่อ
“มันก็ใช่แหละนะ…แต่เนื้อแกมันเป็นเนื้อพิษนี่นา นั่นมันน่ากลัวกว่าโรคระบาดอีกนะ กินแล้วไม่รู้จะมีคนตายเท่าไหร่” หลิงม่อจนปัญญา เจ้าซอมบี้ตัวนี้ช่างหลงตัวเองได้ผิดมหันต์จริงๆ!
พอเห็นหลิงม่อเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์เรียบร้อย และกลับมายืนที่เดิม สายตาของเจ้า 101 ก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น
“ก่อนจะไป ฉันขอถามแกอีกเรื่องหนึ่ง มนุษย์ที่ทำการทดลองกับแกมากที่สุด คือมนุษย์ผมขาวที่แกพูดถึงหรอ?” หลิงม่อเดินกลับมายืนตรงหน้าเจ้า 101 แล้วพูดขึ้น
“ใช่ ดูเหมือนเขาจะเป็นมนุษย์ที่มีตำแหน่งสูงที่นี่ เขาทำอะไรตั้งหลายอย่าง และเขาก็ยัง…ยังเหมือนเพื่อนร่วมสายพันธุ์มากด้วย!” ยากจะได้เห็นสีหน้าไม่มั่นใจปรากฏบนใบหน้าเจ้า 101
หลิงม่ออึ้ง แล้วร่างจริงของเขาก็ลุกพรวดขึ้นมา “เพื่อนร่วมสายพันธุ์?!”
จะเป็นไปได้ยังไง?!
“ใช่ เมื่อก่อนฉันเคยถูกพาไปที่ห้องของมัน ที่นั่นฉันได้เห็นเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับสูงหลายตัว…” เจ้า 101 เล่า แล้วยังทำหน้าเหมือนน้ำลายหก “ถ้าให้ฉันขยับร่างกายได้อย่างอิสระล่ะก็…”
“ห้องเขาอยู่ที่ไหน?” หลิงม่อถาม
เจ้า 101 ครุ่นคิด จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดาน “อยู่ข้างบนนี้”
“ชั้น 6…” หลิงม่อพยักหน้า
“ปล่อยฉันได้แล้ว เร็วๆ” เจ้า 101 มองหลิงม่อด้วยสายตาคาดหวัง
แต่ในตอนนั้นเอง มันกลับมองเห็นสีหน้าเหยียดหยามจากใบหน้าของเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับต่ำตัวนี้
“ถ้าปล่อยแก ฉันเดาว่าตัวเองคงกลายเป็นอาหารของแกในชั่วพริบตา” หลิงม่อพูด พลางค่อยๆ ถอยไปทางประตู
เจ้า 101 เบิกตากว้าง แล้วไม่นานมันก็ดิ้นพล่านอย่างแรง “แกกล้าหลอกฉัน!”
ก็ไม่แปลกที่มันจะฉุนเฉียวขนาดนี้ ในพจนานุกรมของมันคงจะยังไม่มีคำว่าโกหกด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าจะถูกเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับต่ำตัวหนึ่งหลอกได้
แต่สิ่งที่หลิงม่อพูดก็เป็นความจริงเช่นกัน ระหว่างที่มันหนีมันต้องเสียเลือดมาก บวกกับสภาพร่างกายในปัจจุบัน แล้วยังระดับความหิวโหยของมันอีก…ถ้ามันไม่กินหลิงม่อก็แปลกแล้ว! เขาตัดสินใจจากสัญชาตญาณของมัน เพราะถึงแม้ห่างออกไปไม่กี่เมตรจะมีตัวทดลองอื่นๆ อยู่ แต่ก็เป็นไปได้ยากที่มันจะปล่อยหุ่นซอมบี้ของหลิงม่อไป
แต่เรื่องนี้แม้แต่เจ้า 101 ยังไม่เคยคิดอย่างถี่ถ้วนเลยด้วยซ้ำ แล้วเจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ชั้นต่ำตัวนี้รู้ล่วงหน้าได้อย่างไร?
ปัญหาเหล่านี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เจ้า 101 ที่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะกำลังพยายามอ้าปากกว้างเพื่อก่นด่า “ฉันจะฉีกแก…ฉีกแกให้เป็นชิ้นๆ!”
หลิงม่อถอยไปถึงหน้าประตูอย่างเงียบๆ แล้วเงยหน้ามองด้านบนศีรษะของเจ้า 101
สายตานั้นดึงดูดความสนใจของเจ้า 101 มันมองตามสายตาของหลิงม่อขึ้นไป…
พรึ่บ!
วัตถุเงาสีแดงก้อนหนึ่งหล่นใส่ใบหน้าของมัน ในขณะที่เจ้า 101 ยังไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ มันก็รู้สึกได้ถึงแรงดูดมหาศาลที่มาจากวัตถุสีแดงก้อนเล็กๆ นั่น
“อ๊ากกกกกก!”
เจ้า 101 ลั่นร้อง มันสะบัดหัวไปมาสุดแรงเพื่อพยายามสลัดของสิ่งนั้นให้หลุด แต่เจ้าของสิ่งนั้นกลับดูดและติดหนึบอยู่กับใบหน้าของมันอย่างเหนียวแน่น หยาดเลือดเริ่มซึมออกมาตามเส้นเลือดฝอยของมันแล้วไหลเข้าไปในตัวของอีกฝ่าย ใบหน้าซีดขาวของเจ้า 101 กลายเป็นสีแดงเถือก แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะมันโกรธ กลับเป็นเพราะเลือดในกายทั้งหมดกำลังไหลขึ้นไปรวมอยู่ที่ใบหน้าของมันต่างหาก…
“เจ้าแมงกะพรุนตัวเล็กมาก แต่กลับมีพลังสังหารอันร้ายกาจ…” หลิงม่อยืนมองภาพเหตุการณ์นั้นเงียบๆ ในใจอดคิดไปไม่ได้
ทว่าการโมตีของเจ้าแมงกะพรุนกลับมีข้อจำกัดที่ใหญ่มาก การโจมตีของมันจำเป็นจะต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นมันจึงต้องเลือกเวลาที่อีกฝ่ายไม่สามารถขยับตัวได้เท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นหากถูกกระชาก มันหลุดออกมาได้ง่ายๆ แล้ว ไม่แน่อาจถูกเหยียบจนแบนด้วยซ้ำ แต่ถ้าใช้อย่างถูกต้อง เหมือนอย่างสถานการณ์ในตอนนี้ มันก็มีประโยชน์มากกว่าที่คาดคิดไว้มาก
“ประหยัดแรงกว่าลงมือฆ่าเองเยอะเลย ร่างหลักไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเลยไม่สามารถกลืนกินได้ แต่เจ้าแมงกะพรุนกลับช่วยเรากักเก็บพลังจิตไว้ได้…”
เมื่อดูดกลืนอาหารอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเจ้าแมงกะพรุนก็สว่างเจิดจ้าเหมือนไฟสปอร์ตไลท์ ขณะเดียวกันมันก็พองตัวใหญ่ชึ้นเรื่อยๆ เหมือนลูกโป่งที่กำลังถูกเป่าอย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปหลายนาที ในที่สุดเสียงคร่ำครวญของเจ้า 101 ก็แผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาของมันยังคงเบิกกว้าง แต่กลับไร้ซึ่งชีวิตชีวา ถึงแม้จะยังไม่สิ้นลม แต่สติปัญญาของมันในตอนนี้สู้ซอมบี้ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ มันไม่มีแม้กระทั่งสัญชาตญาณหลงเหลืออยู่ ดวงแสงแห่งจิตของมันถูกเจ้าแมงกะพรุนดูดกลืนไปจนหมด และถูกกลั่นกรองเป็นพลังงานบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว
“ต้องขอบคุณทีมวิจัยที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิดขนาดนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นเสียงร้องของมันคงทำให้คนอื่นแห่กันมานานแล้ว…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้
เขาแบฝ่ามือออก แล้วเจ้าแมงกะพรุนที่ขนาดตัวหดเล็กลงอีกครั้งก็กระโดดมาอยู่ในมือเขาอย่างรวดเร็ว
“เห็นแก่ที่แกทำตัวเป็นประโยชน์ ฉันตัดสินใจจะตั้งชื่อให้แก…อย่าเดินกลับไปกลับมาอย่างนั้นสิ ฉันหวังดีกับแกนะ ถ้าหากให้พวกเย่เลี่ยนตั้งชื่อให้แก ไม่แน่แกอาจถูกตั้งชื่อว่าเจ้าปากแดงหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ หรือบางทีช่วงนั้นของทุกเดือนชื่อประเภทนี้อาจถูกตั้งขึ้นมาอีกก็ได้…” หลิงม่อทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกว่า “เรียกแกว่า…มาสเตอร์บอลแล้วกัน”
“พั่บ…”
เจ้าแมงกะพรุนตัวอ่อนล้มลงกลางฝ่ามือหุ่นซอมบี้ทันที พอมันหดตัวอย่างนี้ยิ่งดูเหมือนลูกบอลมากกว่าเดิม ถึงจะเหมือนบอลครึ่งลูกก็ตาม…
ตอนแรกหลิงม่อตั้งใจว่าจะเลื่อนภารกิจอย่างอื่นไปพรุ่งนี้ แต่หลังจากเจอซอมบี้ร่างแม่ตัวนี้ เขาก็เปลี่ยนใจ
ในเมื่อเขาฆ่าปิดปากเจ้าซอมบี้ร่างแม่แล้ว เรื่องบางเรื่องก็รอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ได้อีกต่อไป ถึงแม้จะไม่ทิ้งเบาะแสการตายไว้ แต่พวกเขาต้องเพิ่มระดับการดูแลซอมบี้ให้เข้มงวดขึ้นอย่างแน่นอน และจำนวนคนที่เข้าเวรตอนดึกก็อาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว พอถึงตอนนั้น เรื่องที่เขาสามารถทำได้ก็จะมีน้อยลง
แต่หากเขาปล่อยเจ้า 101 ไป เจ้า 101 ที่ถูกหลอกก็จะโกรธและเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไปบอกคนในทีมวิจัยอย่างแน่นอน ถึงเรื่องที่มันพูดอาจฟังดูเป็นไปไม่ได้ในสายตามนุษย์ แต่ในเงื่อนไขที่ซอมบี้โกหกไม่เป็น คนของทีมวิจัยจะต้องดำเนินการบางอย่างเพื่อรับมือกับเรื่องนี้แน่ๆ และผลสุดท้ายก็เหมือนกัน คือหลิงม่อจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก
นี่คือสิ่งที่หลิงม่อคิด ขณะเดียวกันเขาได้สลับมุมมองสายตาไปยังซย่าน่า
เขาต้องดูก่อนว่าพวกเธอเคลื่อนไหวถึงขั้นไหนแล้ว จึงจะตัดสินใจได้
ซย่าน่าไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกหลิงม่อใช้เป็นกล้องแอบส่อง เพราะตอนนี้เธอนั่งอยู่ข้างเย่เลี่ยนและอวี๋ซือหราน และกำลังแอบปรายตามองเนินเขาสี่ลูกนั้นที่กระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดอยู่ตลอด เธอถึงขั้นยืดคอยาวๆ เพื่อแอบส่องร่องลึกของเนินเขาเหล่านั้น
ปรากฏว่าพอหลิงม่อสลับมุมมองสายตาไป ก็ทำเอาเขาเกือบสำลักออกมาทันที แอบมองของเย่เลี่ยนไม่เท่าไหร่ ของยัยซอมบี้โลลิอย่างอวี๋ซือหรานมีอะไรน่ามองกัน…
“ถึงแล้ว…” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็พูดขึ้น
ซย่าน่าเก็บสายตากลับมาอย่างไม่ค่อยจำยอม จากนั้นก็ยกมือดึงคอเสื้อตัวเอง พลางแค่นเสียงไม่พอใจเล็กน้อย “ชิ…”
“เอิ่ม…ขนาดมันก็ต่างกันมากจริงๆ นั่นแหละ แต่อย่าเพิ่งยอมแพ้นะ…” หลิงม่อยิ้มแหยๆ
เขาถือโอกาสนี้พักผ่อนไปด้วยครู่หนึ่ง การต้องควบคุมหุ่นซอมบี้และเจ้ามาสเตอร์บอลพร้อมกันในระยะห่างหลายร้อยเมตร แถมยังเป็นการควบคุมสองต่ออย่างนี้ ต้องเผาผลาญพลังงานไม่น้อย แต่สิ่งสำคัญคือเขาต้องใช้สมาธิขั้นสูงมาก ดังนั้นเขาจึงตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดมาหลายชั่วโมงแล้ว ถึงจะเป็นหลิงม่อก็ยังรู้สึกเหนื่อยจนแทบกระอักแล้ว
ซอมบี้สาวสามตัวกระโดดลงจากหลังเสี่ยวป๋ายพร้อมกัน อวี๋ซือหรานหันกลับไปตบหัวเสี่ยวป๋ายเบาๆ “รออยู่นี่นะ”
เสี่ยวป๋ายสะบัดหัวไปมาเบาๆ แล้วถอยกลับเข้าไปในพุ่มหญ้าเพื่ออำพรางกายอย่างว่าง่าย
อาศัยมุมมองสายของซย่าน่า สายตาของหลิงม่อมองลอดเข้าไปในรอยแยกเล็กๆ ด้านหน้า และทอดมองเข้าไปยังอาคารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล
และที่แห่งนั้นก็คืออาคารที่เสี่ยวป๋ายเข้าไปสำรวจเป็นที่แรก และเจอมนุษย์กำลังเข้าออกแห่งนั้น
เวลานี้ในยามค่ำคืน อาคารแห่งนี้ไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย นอกจากเสียงแมลงที่ดังออกมาจากพุ่มหญ้า ที่นี่มีแต่ความเงียบกริบเท่านั้น…
—————————————————————————–