แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 753 วินาทีก่อนระเบิดปะทุ
“แค่นี้ก็สลบแล้ว?”
หลิงม่อหมายจะสั่งให้หุ่นซอมบี้เหวี่ยงหมัดออกไปอีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่วิจับคนนี้กลับรู้หน้าที่ตัวเองดี
ก็ไม่แปลกที่เขาจะจิตอ่อนขนาดนี้ ถึงแม้เจ้าหน้าที่วิจัยพวกนี้จะใช้ชีวิตกับซอมบี้มามาก แต่ซอมบี้พวกนั้นล้วนเป็นซอมบี้ที่ไร้กำลังขัดขืน
อยู่ๆ ก็เห็นตัวทดลองพวกนี้ต่างเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แค่นี้ก็ทำให้ตกใจมากแล้ว
หลิงม่อไม่ได้คิดจะฆ่าพวกเขา ดังนั้นหลังจากลากพวกเขาไปไว้ที่มุมหนึ่ง เขาก็ควบคุมหุ่นซอมบี้ทั้งหมดให้เดินลงตึกไป
ตอนนี้เป็นเวลาตีสาม นิพพานสำนักงานใหญ่ยังคงตกอยู่ในความเงียบสงัด
มีเพียงเจ้าหน้าที่ยามพวกนั้นที่ยังคงยืนประจำตำแหน่ง และมองไปรอบๆ ตัวอย่างเบื่อหน่ายอยู่เหมือนเดิม
ไม่มีใครคาดคิดว่าในยามนี้ ตึกทดลองที่อยู่ด้านหลังพวกเขา กำลังเปลี่ยนจากหัวใจสำคัญของนิพพานสำนักงานใหญ่ ไปเป็นระเบิดเวลาที่ใกล้จะปะทุเต็มทีแล้ว
และชนวนระเบิด ก็ได้ถูกจุดแล้ว…
“พี่หลิงส่งสัญญาณมาแล้ว” ในทางเดินบันไดอันมืดมิดแห่งหนึ่ง จู่ๆ ซย่าน่าก็หยุดเดิน แล้วพูดขึ้นเสียงเบา
เย่เลี่ยนกับอวี๋ซือหรานมองหน้ากันทันที สัญญาณอะไรอีกล่ะ?
“สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว…” ซย่าน่ายิ้มเจ้าเล่ห์ “มีเรื่องสนุกให้พวกเราเล่นแล้วล่ะ”
“เล่น…” เย่เลี่ยนทวนคำนี้ซ้ำ เธอรู้สึกว่านี่ไม่ค่อยเหมือนคำสั่งเดิมที่ออกมาจากหลิงม่อ
“เยี่ยมเลย!” อวี๋ซือหรานกลับรีบพยักหน้ารัวๆ สายตาเธอดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
จนถึงตอนนี้พวกเธอได้แต่เดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ในอาคารพวกนั้น เธอเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายมาตั้งนานแล้ว…
เพื่อนร่วมสายพันธุ์พวกนั้นมีอะไรให้น่าดูกัน?
ทว่าหากเปลี่ยนเป็นเล่นมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เรื่องที่ทำให้ซย่าน่ารู้สึกสนุก ต้องน่าสนใจมากอยู่แล้ว!
ซย่าน่ายิ้มแล้วมองเธอเล็กน้อย พลางบอกว่า “ใจเย็นๆ ตาเธอเปลี่ยนสีแล้วนะนั่น”
“เหอะ ทำอย่างกับเธอเป็นจริงเป็นจังนักล่ะ?” อวี๋ซือหรานแค่นเสียง แล้วเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
ทว่าเธอก็แค่เถียงไปอย่างนั้น เพราะไม่นานร่างกายของเธอก็ถอยออกห่างจากซย่าน่าอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว
เธอไม่กล้าหาเรื่องเย่เลี่ยน แต่กลับกลัวซย่าน่าที่สุด เปรียบเทียบกันแล้ว เจ้ามนุษย์ไส้กรอกก็ยังถือว่าดีกว่านิดหน่อย…
“ไม่ใช่แล้ว เขาไม่ดีซักหน่อย!” อวี๋ซือหรานส่ายหน้ารัวๆ อย่างขุ่นเคือง
โชคดีที่ซย่าน่าหันไปสนใจเรื่องสำคัญที่พวกเธอต้องทำก่อนแล้ว “สรุปว่า จุดประสงค์เดิมของพวกเรายังไม่เปลี่ยน พวกเรายังต้องคอยรับมือทั้งข้างนอกและข้างใน พี่หลิงบอกว่า หากสถานการณ์ข้างในเปลี่ยนไป กองหนุนอย่างพวกเราก็ต้องเปลี่ยนแผนตามเล็กน้อยเหมือนกัน”
“อา…ฉันเข้าใจแล้ว” เย่เลี่ยนพยักหน้า เธอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ถามอย่างตะกุกตะกักว่า “ถ้า…ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…จะใช้แผนแบบไหน?”
“…” ซย่าน่านิ่งไป “พี่เย่เลี่ยน พวกเราพูดคนละเรื่องกันแน่ๆ เลย…”
“งั้นหรอ?” เย่เลี่ยนสีหน้างุนงง
บรรยากาศในทางเดินบันไดพลันเงียบกริบ หลายวินาทีผ่านไป จู่ๆ เสียงฝีเท้าเรือนลางกลับดังขึ้นมาจากด้านล่าง
เมื่อเสียงนี้ใกล้เข้ามาทีละนิดๆ ดวงตาของซย่าน่าก็หรี่เล็กลง “เรื่องแรกที่พวกเราต้องทำ ก็คือจัดการผู้ดูแลตึกพวกนี้”
………..
ขณะเดียวกัน หลิงม่อที่ส่งสัญญาณเสร็จแล้วรีบสลับมุมมองสายตากลับมาที่หุ่นซอมบี้ทันที
เนื่องจากเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงสองสามนาที ดังนั้นเหตุการณ์ในห้องจึงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
เหล่าหลันยังคงนั่งคิดหนักอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม และหลันหลันก็ยังคงถูกเขาจับตัวไว้ด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน
เด็กสาวคนนี้จิตแข็งมากจริงๆ หลิงม่อเพิ่งจะสลับมุมมองสายตากลับมา เห็นสีหน้าเธอก็เกือบสำลักน้ำลายเลยทีเดียว
ไม่คิดเลยว่าในสถานการณ์ที่กำลังถูกซอมบี้หิ้วปีกอยู่อย่างนี้ เธอกลับยังยืนแคะเล็บเล่นด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายแบบนี้ได้!
แต่นี่ก็เป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติอะไร ยิ่งไม่มีทางรู้ว่าเมื่อกี้สมาธิของหลิงม่อไม่ได้อยู่ตรงนี้
“เป็นอย่างไร คิดได้หรือยัง?” หลิงม่อสังเกตการณ์เล็กน้อย จากนั้นก็อ้าปากทำลายความเงียบ
พอเขาอ้าปากส่งเสียง เหล่าหลันก็นั่งตัวเกร็ง สีหน้าของหลันหลันเองก็ตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย เธอรีบลดมือลงทันที
เหล่าหลันสูดหายใจลึกๆ แล้วยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นถามด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ “ถ้าฉันตามแกไป จะใช้ชีวิตยังไงล่ะ? อีกอย่างถ้าฉันไป หลันหลันก็อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ตัวฉันไม่เป็นไร แต่จะให้หลันหลันอยู่กับซอมบี้…ฉันบอกตามตรง ฉันไม่เชื่อใจสัญชาตญาณของแก แกยังสามารถวิวัฒนาการได้อีก และทุกครั้งที่แกวิวัฒนาการแกก็จะอันตรายมาก ฉันมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปไม่ได้”
เห็นชัดว่าเขาคิดจนปวดหัวไปหมดแล้ว เพราะดวงตาเขาเริ่มแดงขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
แต่พอได้ยินคำพูดของเขา หลิงม่อก็เผยรอยยิ้มออกมา
ตามคาด ความอยากรู้อยากเห็นของเขานั้นหนักกว่าแมวอีก ตอนนี้เขาเริ่มหวั่นไหวแล้ว
เพียงแต่ก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องที่ใหญ่และอันตรายขนาดนี้ เขาต้องคำนึงถึงลูกสาวตัวเองก่อน
“ฉันมีแผน” หลิงม่องัดลูกไม้ที่คิดไว้ก่อนแล้วออกมา “แต่ฉันบอกแกตอนนี้ไมได้”
“แต่ถ้าแกหลอกฉันขึ้นมาจะทำยังไง?” เหล่าหลันกัดฟัน แล้วถามขึ้น
“ก็แล้วแต่ว่าแกจะเข้าใจยังไง” หลิงม่อบอก
หลังจากจับจุดตายของเหล่าหลันได้ หลิงม่อก็เริ่มวางท่าไม่ค่อยสนใจมากขึ้น
ร่างกายซอมบี้ของเขาในตอนนี้คือเหยื่อล่อที่ดีที่สุด ไม่ต้องกลัวว่าปลาตัวใหญ่จะไม่ติดเบ็ด
“พ่อ…” ในที่สุดหลันหลันก็ส่งเสียงเรียกเบาๆ ออกมา ทว่าในสายตาเธอกลับเต็มไปด้วยความลังเลและสับสน
เธอย่อมรู้อยู่แล้วว่าพ่อของเธอกำลังไล่ตามอะไรอยู่ และรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่หายากมาก
“ประตูใหญ่แห่งโลกใบใหม่ได้เปิดออกแล้ว แต่พ่ออย่าเพิ่งวู่วามเดินข้ามไปล่ะ คิดดูให้ดีๆ ก่อน” หลันหลันพูดอย่างร้อนใจ
หลิงม่อได้ยินแล้วก็หน้าบึ้ง ยัยเด็กคนนี้ทำไมเปรียบเทียบได้มั่วซั่วอย่างนี้…
อะไรคือโลกใบใหม่! ประตูใหญ่มาจากไหนกัน!
“ใช่แล้ว…” จู่ๆ สายตาของเหล่าหวังก็ฉายแววแห่งความหวังขึ้นมาปราดหนึ่ง
พอเห็นเหล่าหลันทำสีหน้าอย่างนี้ หลันหลันก็ถอนหายใจโล่งอกทันที
เธอพยายามเงยหน้าขึ้นมองหลิงม่ออย่างยากลำบาก “ไหนนายลองว่ามาสิ ตกลงมีแผนอะไรกันแน่?”
“เอาเป็นว่าเป็นแผนที่จะทำให้พวกเธอสองพ่อลูกปลอดภัยแล้วกัน ถ้าฉันคิดชั่ว แค่จับตัวพวกเธอไปก็สิ้นเรื่องแล้ว พวกเธอขัดขืนฉันไม่ได้อยู่ดีนี่?” หลิงม่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลันหลันนิ่งไป จากนั้นก็กลอกตาขาว แล้วแค่นเสียงแรงๆ
แต่เหล่าหลันกลับดวงตาเป็นประกาย ใช่แล้ว! ซอมบี้ตัวนี้จะฉีกร่างพวกเขาเป็นชิ้นๆ ก็ได้ หรือจะจับไปพวกเขาไปเลยก็ยังได้ ทำไมยังต้องเจรจากับพวกเขาอีก?
พอคิดได้อย่างนี้ เหล่าหลันก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
นี่มันซอมบี้อะไรกัน? นี่มันซอมบี้ที่เกลี้ยกล่อมมนุษย์เป็นชัดๆ!
แค่จุดนี้ ก็มากพอที่จะยืนยันถึงความเป็นคนของมันได้แล้ว!
ถ้าหากสามารถร่วมมือกับซอมบี้แบบนี้ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจหาแหล่งกำเนิดของซอมบี้เจอก็ได้…
“ฉันไม่ให้พวกเธอใช้ชีวิตอยู่กับซอมบี้หรอก วางใจได้” หลิงม่อพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค
หมายความว่ายังไงกัน เหล่าหลันไม่เข้าใจที่เขาพูดนัก
ทว่าตอนนี้สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งไปแล้ว ปากเขาฉีกออกทีละน้อยๆ เหมือนกำลังยิ้มกับตัวเองอยู่
“เฟิ่งจื่อ” (คนบ้า)
คำคำนี้ผุดขึ้นมาในสมองของหลิงม่อกับหลันหลันพร้อมกัน…
“พวกเราจะไปกันเมื่อไหร่?” ผ่านไปไม่นาน เหล่าหลันก็ถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ไม่ต้องรีบ” หลิงม่อกลับหันหน้าไปมองในห้อง และจับจ้องไปยังก๊อกน้ำก๊อกนั้น “จะเก็บของหน่อยไหม?”
หลันหลันอึ้ง จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงม่อเอาของเหลวหนืดก้อนนั้นไปแล้ว เธอจึงทำสีหน้าชิงชัง
“นายไม่เห็นเหมือนซอมบี้ซักนิด!” หลันหลันว่า
“จะลองดูไหมว่าเหมือนหรือเปล่า?” หลิงม่อกระพริบตาปริบๆ พลางพูดขึ้น
………..
เวลานี้ ในห้องโถงอาคารทดลองมีเจ้าหน้าที่ยามยืนเฝ้าอยู่หลายคน
คนพวกนี้มีหน้าที่เฝ้าอาคารทั้งสามหลัง แต่ตอนนี้กลับกำลังรวมตัวกันอยู่ในจุดเดียว
เวลาตีสองถึงตีสี่ คือช่วงเวลาที่ผู้คนหลับลึกมาที่สุด
ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ยามของนิพพานสำนักงานใหญ่ คนพวกนี้ทำงานอยู่ชั้นในสุด ดังนั้นงานของพวกเขาจึงไม่หนักมาก
ตอนนี้ทุกคนต่างดูอิดโรย และดูเกียจคร้านขึ้นมาเล็กน้อย
บางคนรวมตัวกันสูบบุหรี่ หนึ่งในนั้นยืนพิงผนัง หรี่ตามองคนอื่นๆ แล้วบอกว่า “สองคนนั้นคงไม่ใช่ว่าไปจับปลา (อู้งาน) กันอยู่หรอกนะ?”
“เป็นไปได้นะ…” เจ้าหน้าที่ยามอีกคนหาวหวอด แล้วพูดขึ้น
“รู้อย่างนี้เมื่อกี้ฉันน่าจะไปด้วย ฉันยืดจนขาชาไปหมดแล้วเนี่ย” เจ้าหน้าที่ยามอีกคนพูดขึ้น “อย่างน้อยที่นั่นก็ไม่มีลมพัด ฉันยืนอยู่ที่นี่จนจะแข็งตายอยู่แล้ว”
“ระวังโดนหัวหน้าทีมด่าให้” มีคนพูดปนเสียงหัวเราะ
“ใครฟ้องก็โง่แล้ว อีกอย่างนะ…ห้าวว…” เจ้าหน้าที่ยามคนเดิมหาวเสียงยาว แล้วค่อยพูดต่อ “แต่ละวันก็เหมือนเดิม…”
พอคำพูดนี้ออกไป ก็มีคนหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง “แกคงไม่ได้อยากจะนั่งสัปหงกอีกแล้วใช่ไหม? บอกไว้ก่อน ฉันไม่ช่วยปิดเป็นความลับให้หรอกนะ”
“ใช่ๆ นอกจากว่าจะให้บุหรี่คนละมวน”
“ทำไมไม่ไปขโมยกันเองเล่า!” เจ้าหน้าที่ยามคนเดิมด่าลั่น “แต่ละคนหน้าเลือดกว่าซอมบี้อีก!”
เขาว่า พลางหมุนตัวเดินโซเซออกไป ปากก็บอกว่า “ช่างเถอะ ฉันไปเดินรับลมดีกว่า…”
แต่ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ เขาก็หยุดเดินไปกะทันหัน
—————————————————————————–