แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 759 ซอมบี้เลือกโจมตีเด็กอมมือ
ความจริงแล้ว ผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายก็สามารถทำเรื่องอย่างการใช้มือแหวกตาข่ายเหล็กได้เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงขั้นแหวกออกได้อย่างสบายๆ เหมือนซอมบี้สาวทั้งสอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต้องทนรับแรงกดดันที่อาจถูกจับได้ทุกเมื่อ จึงต้องลักลอบทำให้สำเร็จโดยที่ไม่มีใครรู้
เมื่อตาข่ายเหล็กถูกแหวกออกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ เสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังมาจากทางอาคารอีกครั้ง ไม่นานเสียง “เพล้ง” ก็ดังตามมาติดๆ จากนั้นซอมบี้ตัวหนึ่งก็ยืนโซเซอยู่ตรงหน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสาม
กระจกที่ถูกทุบจนแตกกระจายลงพื้น คนที่อยู่ด้านล่างต่างพากันร้องตกใจและวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
มีคนเงยหน้าแล้วมองเห็นซอมบี้ไม่ทันไร ยังไม่ทันได้ร้องเตือน ก็เห็นซอมบี้ตัวนั้นยกแขนที่บิดเบี้ยวผิดรูปขึ้นมา พร้อมกับปืนกลมืออีกหนึ่งกระบอก
“เชี่ยยย มันมีปืน!”
ปากปืนเพิ่งจะถูกยกขึ้น ฝูงชนก็พากันแตกตื่นและก้าวถอยไปข้างหลัง
เจ้าหน้าที่ยามที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่รอบรถบัสโรงเรียนมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาเพิ่งจะยกปืนขึ้น เจ้าซอมบี้ตัวนั้นก็นั่งหมอบลงไป เหลือไว้เพียงปากกระบอกปืนที่เล็งมาทางพวกเขา
ไม่รอให้คนพวกนี้ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ขั้นต่อไป เสียงลั่นไกรัวเร็ว “ปึงปึงปึง” ดังขึ้นมาทันใด
ทุกคนต่างถูกเสียงปืนข่มขวัญจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา รอบข้างมืดขนาดนี้ ใครจะไปรู้ล่ะว่าซอมบี้ตัวนั้นจะยิงไปทางไหน!
แม้แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ยามที่เฝ้าประตูทางเข้าก็ยังพากันยกมือกุมหัวแล้วก้มหมอบลงไปทันที เพราะถ้ายืนอยู่ก็อาจโดนลูกหลงได้ง่ายๆ…
“บอสใหญ่ ระวังกระสุนให้ดีด้วยครับ!” เจ้าหน้าที่ยามคนหนึ่งเปิดประตูรถ พลางยื่นหน้าเข้าไปตะโกนบอก
เสียงของชายคนนี้แสดงออกถึงความระมัดระวัง เห็นชัดว่าเขากลัวถูกต่อว่า
จะไม่ถูกว่าได้อย่างไร? คนตั้งมากมายขนาดนี้ถูกซอมบี้ตัวเดียวเล่นงานอย่างนี้…
เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงพูดนิ่งๆ เสียงหนึ่งดังมาจากข้างใน “ลนลานอะไรกัน? ส่งคนไปจัดการซะ แค่ชั้นสาม ไม่มีปัญญาขึ้นไปกันหรือ?”
“เคร้ง!”
คนคนนี้ยังพูดไม่ทันจบ เสียงกระสุนก็ดังมาจากบริเวณเหนือศีรษะ
เจ้าหน้าที่ยามตัวสั่น เขายกมือขึ้นกุมหัวโดยสัญชาตญาณทันที
เขามองเข้าไปในตัวรถอย่างหวาดหวั่น แล้วก็พบว่าบนตัวรถอันกว้างขวางซึ่งมีผ้าม่านแขวนอยู่และเปิดไฟสว่างโร่ มีโซฟาหลายตัวถูกวางไว้รอบโต๊ะชาตัวหนึ่ง เวลานี้บุคคลระดับสูงหลายคนกำลังนั่งมองหลังคารถด้วยสีหน้าตกตะลึง
เจ้าของเสียงพูดเมื่อกี้ก็ดูเหมือนจะตกใจไปด้วย ทว่าเขากลับเป็นคนที่ได้สติกลับคืนมาเร็วที่สุด
“ยังไม่รีบไปอีก!”
เจ้าหน้าที่ยามสัมผัสได้ถึงความโกรธที่แฝงในน้ำเสียง จึงรีบรับคำ แล้วรีบถอยลงไปจากรถอย่างมือไม้อ่อน
“บอสใหญ่…” ชายคนหนึ่งยกมือปาดเหงื่อ แล้วมองหน้าเจ้าของเสียงพูดนิ่งขรึม
“เรื่องนี้ ฉันจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัด” บอสใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธขึ้ง “ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดตัวไหนที่กำลังสร้างเรื่องเดือดร้อนอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ต้องมีมนุษย์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแน่นอน คนคนนี้ ฉันจะต้องลากตัวมันออกมาให้ได้…”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจดังมาจากข้างนอก ขณะเดียวกันยังได้ยินเสียงปืนรัวๆ ดังขึ้นพร้อม
“เกิดอะไรขึ้น?” บอสใหญ่ตวาดถามเสียงดัง
ผ่านไปไม่ถึงสองวินาที ประตูรถถูกเปิดออกอีกครั้ง
ยังคงเป็นเจ้าหน้าที่ยามคนเดิม แต่สีหน้าของเขาในตอนนี้กลับดูย่ำแย่กว่าเมื่อครู่มาก
“ขะ…ข้างนอก…มีแต่ซอมบี้เต็มไปหมด!”
ไม่มีใครรู้ว่าซอมบี้พวกนี้มาจากไหน เจ้าหน้าที่ยามที่รับผิดชอบเฝ้ายามตรงนั้นเงยหน้าจากพื้น เพราะสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง
และพอพวกเขาหันไปมอง รูโหว่ขนาดใหญ่ขนตาข่ายเหล็กก็ปรากฏสู่สายตาพวกเขา
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือสัตว์ประหลาดที่ยืนอยู่ตรงรูโหว่นั่น…
ร่างกายทั้งตัวบิดเบี้ยวผิดรูป ข้างหลังมีหางยาวๆ ห้อยอยู่ เสี้ยววินาทีที่สบตากับเขา สัตว์ประหลาดตัวนี้พลันอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นฟันสีขาวอันน่าสยดสยองนั่น
“ว๊ากกกก!”
เจ้าหน้าที่ยามคนนี้ตะโกนลั่นโดยอัตโนมัติ และเสียงร้องของเขาก็เป็นเหมือนสัญญาณที่ทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นพุ่งตัวเข้ามาทันที!
ไม่เพียงซอมบี้ตัวนั้น ยังมีซอมบี้หางยาวอีกหลายตัว กระทั่งซอมบี้สุนัขด้วย พวกมันต่างพากันเบียดตัวเข้ามาในรูโหว่บนตาข่ายเหล็กไม่ขาดสาย
ตัวทดลองมากมายพุ่งเข้ามาในลานกว้างแห่งนี้ และตาข่ายเหล็กที่เดิมควรเป็นรั้วป้องกันให้แก่เหล่าสมาชิกนิพพาน เวลานี้ได้กลายเป็นกรงขังสำหรับพวกเขา
ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในสนามประลองของสัตว์ร้าย แต่ไม่มีการประลองไหนที่จะวุ่นวายเท่านี้อีกแล้ว!
ปืนกลไม่กล้าเล็งไปยังบรรดาซอมบี้ที่หลุดเข้ามาในลานกว้างแล้ว ทำได้เพียงหันไปจ่อทางรูโหว่บนตาข่ายเหล็ก
แต่ความเร็วของพวกซอมบี้นั้นหาที่เปรียบไม่ได้ กว่าเจ้าหน้าที่ยามพวกนี้จะตั้งตัวได้ ซอมบี้ส่วนใหญ่ก็พุ่งเข้ามาก่อนแล้ว!
แน่นอนซอมบี้อย่างซอมบี้สุนัขไม่สามารถกัดคนได้ แต่ท่ามกลางความโกลาหล จะยังมีใครสนใจอีกว่ามันกัดคนได้หรือไม่!
แค่ถูกพุ่งชนจนล้มก็ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว และยิ่งลนลานเท่าไหร่ สถานการณ์ก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางความมืด เสียงกรีดร้องและเสียงปืนดังผสมผสานกันไป กระทั่งไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ตอนนี้เจ้าซอมบี้ที่ยิงปืนเมื่อกี้ได้หายตัวไปแล้ว…
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” หลิงม่อลุกขึ้นยืน แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลันหลันกำลังเกาะผนังดูสถานการณ์ข้างนอกอยู่ ตอนนี้เธอตะลึงตาค้างไปแล้ว
ได้ยินเสียงหลิงม่อ เธอก็หันกลับมามองอย่างตกใจ จากนั้นก็กระพริบตาปริบๆ “นายรู้นานแล้วหรอ?”
“ไปกันเถอะ เร็วๆ ตอนนี้คือจังหวะที่วุ่นวายที่สุดแล้ว” หลิงม่อบอก
พอเห็นว่าเขาเลี่ยงไม่ยอมตอบ หลันหลันยิ่งมั่นใจว่าตัวเองเดาถูก
เธอเริ่มรู้สึกว่าหลิงม่อลึกลับขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขารู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทุกขั้นทุกตอน
เขากับซอมบี้ตัวนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไรแน่?
ทว่าการสนทนาสั้นๆ ก็ได้ทำให้หลันหลันเข้าใจอย่างหนึ่งแล้ว คนคนนี้ไม่ได้เจรจาง่ายไปกว่าเจ้าซอมบี้ตัวนั้นเลย เขาอาจดูนุ่มนวล แต่หากคิดจะล้วงความลับอะไรจากปากเขา บอกได้เลยว่ายาก
“น่ารำคาญชะมัด” หลันหลันหงุดหงิด ก็ตอนแรกเธอหวังไว้สูงมากนี่นา…
ตรงกันข้าม ตอนนี้เหล่าหลันกลับกำลังตื่นเต้นดีใจ เจ้าซอมบี้ตัวนั้น แล้วยังมีหลิงม่อที่อยู่ตรงหน้านี้อีก…พวกเขาร้ายกาจกว่าที่ตัวเองคิดไว้มาก!
เขาไม่ได้คิดไปไกลเหมือนมู่เฉิน การหักหลังและหนีไปมีอันตรายมากแค่ไหน เขารู้ดีแก่ใจ แต่สิ่งเหล่านี้จะเทียบกับการวิจัยของเขาได้อย่างไรกัน?
ทว่าการที่หัวหน้าใหม่ของเขาเป็นคนเก่งกาจ ก็แสดงว่าหลันหลันจะปลอดภัยมากขึ้น นี่ต่างหากสาเหตุที่ทำให้เขาดีใจจริงๆ
“หลันหลันตามติดฉัน มู่เฉินดูแลเหล่าหลันด้วย” หลิงม่อกำชับง่ายๆ จากนั้นก็พาทุกคนย่องไปที่ข้างกำแพง
เขาหยุดชะงักเพียงสองวินาที จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว “ไป!”
เจ้าหน้าที่ยามที่อยู่เฝ้าประตูวิ่งออกไปแล้ว และสถานการณ์ทางประตูใหญ่ก็กำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย
ไม่มีใครคิดจะกลับเข้าในตัวอาคารอีก เพราะถึงแม้การทำอย่างนั้นจะสามารถซ่อนตัวได้ชั่วคราว แต่ความจริงมันคือการบีบตัวเองให้จนตรอกอย่างแท้จริงต่างหาก
บรรดาสมาชิกของนิพพานล้วนมีประสบการณ์ต่อสู้มากล้น ถึงแม้จะถูกเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นติดๆ กันในคืนนี้โจมตีจนมึนงงไปหมด แต่พวกเขาไม่มีทางทำพลาดในเรื่องที่เป็นความรู้ทั่วไปอย่างนี้อยู่แล้ว
ความจริง มีคนบางกลุ่มเริ่มตั้งตัวรับมือกับการโจมตีจากตัวทดลองได้แล้ว พวกเขาเริ่มทยอยรวมตัวกันและตั้งกำแพงมนุษย์ขึ้น แล้วพวกเขาก็ควบคุมสถานการณ์ให้มั่นคงได้ในเวลาเพียงไม่นาน
“พวกเขาตอบโต้ได้เร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก” หลิงม่อรอดูสถานการณ์อยู่ข้างประตู พลางพูดขึ้นเสียงเบา
“นั้นมันก็แน่อยู่แล้ว พวกเขาต้องออกไปทำภารกิจบ่อยๆ มีคนไหนบ้างที่ไม่ได้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดมาจากความตาย? ถ้าไม่ใช่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่มีคนอยู่ในสำนักงานน้อยพอดี แผนของพวกนายอาจล้มเหลวก็ได้” หลันหลันบอก
พูดไป เธอก็เงยหน้ามองหลิงม่อ แล้วถามอย่างสงสัยอีกครั้ง “นี่ นายไม่ใช่คนของที่นี่แน่ๆ เลย ใช่ไหมล่ะ?”
หลิงม่อไม่มองเธอด้วยซ้ำ เพียงยกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากเธอ “นี่อะไรกัน เรียกพี่หลิง”
“ใครจะเรียกนายว่าพี่ไม่ทราบ!” หลันหลันโวยวาย
“เรียกลุงก็ได้” หลิงม่อยอมถอยหนึ่งก้าว
หลันหลันข่มกลั้นอารมณ์ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงพ่อตัวเองพูดเสียงเบา “พ่อจะเรียกเขาว่าน้องชายก็ไม่เหมาะ พ่ออายุใกล้จะห้าสิบแล้วนะ…”
“มีใครที่ไหนขายลูกสาวเก่งเหมือนพ่ออีกไหม!” หลันหลันกลอกตาขาว คนพวกนี้มันอะไรกันเนี่ย!
“ชู่ว อีกเดี๋ยวตามติดฉันไว้ล่ะ” หลิงม่อกลับพูดขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นมือมาจับมือหลันหลัน
จู่ๆ ก็ถูกหลิงม่อจับมืออย่างนี้ หลันหลันถึงกับสะดุ้งไปชั่วขณะ
ทว่าถึงท่าทางจะดูเหมือนอึกอัด แต่เธอกลับไม่ได้สะบัดมือหลิงม่อออกเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ข้างนอกสถานการณ์วุ่นวาย อาศัยแค่ความสามารถของเธอคงฝ่าวงล้อมออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงตามติดเขาไว้อย่างว่าง่าย
ไม่เพียงเท่านี้ หลิงม่อยังดึงหมวกฮู้ดขึ้นมาคลุมศีรษะเธอให้ด้วย
ตอนที่รู้สึกได้ว่ามือของหลิงม่อวางอยู่บนหัวตัวเอง หลันหลันหมายจะขัดขืน
“อย่าให้ใครเห็นหน้าของเธอ” พอหลิงม่อพูดออกมา หลันหลันก็เงียบไปทันที
เขาไม่ได้สังเกตสีหน้าของหลันหลัน แต่หันไปยื่นหมวกอีกใบให้เหล่าหลันแทน
“อย่าส่งเสียงกันล่ะ”
หลิงม่อจูงมือหลันหลันเดินแทรกตัวออกจากช่องประตูไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นพวกเขาก็เดินแนบตัวชิดกำแพงและเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่หลันหลันรู้สึกเหมือนหลิงม่อคว้าอะไรบางสิ่งจากบานประตูไป ในขณะที่พวกเขาเดินออกจากห้องมา
ของสิ่งนั้นประกายรัศมีแสงจางๆ เหมือนอัญมณี…
“เราตาฝาดไปเอง ประตูบานนี้มีอัญมณีที่ไหนกัน? เขาคงไม่คิดจะขโมยแม้แต่มือจับประตูไปด้วยหรอกมั้ง…”
หลันหลันตกอยู่ในภวังค์สับสน
เสียงปืน การต่อสู้…สถานการณ์อย่างนี้เธอไม่เคยผ่านมันมาก่อน
ทุกที่เต็มไปด้วยเงาผู้คนมากมาย และเธอที่กำลังฝ่าวงล้อมอยู่ตรงกลาง ก็เหมือนจะสามารถถูกฝูงชนกลืนกินเข้าไปได้ตลอดเวลา
เธอตื่นตระหนกจนเกร็งไปทั้งตัว แม้แต่สายตาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสับสนงุนงง
ในตอนนั้นเอง เธอกลับได้ยินเสียงเบาๆ ดังขึ้นข้างหู “ไม่ต้องกลัว”
หลันหลันพลันได้สติขึ้นมา แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง กลับพบว่าหลิงม่อยังคงเดินหน้าต่อไปเหมือนไม่เคยหันกลับมา
ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจิดจรัสกว่ายามปกติ ท่าทางกำลังขมักเขม้นอย่างมาก
แต่ท่ามกลางความโกลาหล ฝีเท้าของเขากลับก้าวไปอย่างว่องไวและมั่นคง ไม่มีหยุดชะงักเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ทันใดนั้น ซอมบี้ตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านข้างอย่างไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียง มันพุ่งเข้ามาเร็วดั่งเสือชีตาห์
หลันหลันตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำ เธอรู้สึกเพียงลมแรงสายหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาข้างหน้าเธอ
ซอมบี้พวกนี้แตกต่างไปจากของสะสมที่เธอปั่นหัวเล่นทุกวันพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้ถูกผลกระทบใดก่อกวน พวกมันไม่ต่างอะไรจากสัตว์ร้ายที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเลยซักนิด
แต่สมาธิของเธอฟุ้งซ่านขนาดนี้ แล้วจะตอบโต้ได้ทันเวลาได้อย่างไร?
ผลปรากฏว่าเธอทำได้เพียงเบิกตากว้าง มองดูซอมบี้ตัวนั้นพุ่งตัวเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งเมตร
จบกัน ตายแน่ๆ…
ทว่าทันใดนั้น ราวกับว่าร่างกายของมันสูญเสียการควบคุมไปกะทันหัน ซอมบี้ตัวนั้นตัวอ่อนล้มลงไปดัง “พลั่ก”
หัวใจเธอเต้น “ตึกตัก” แต่ไม่นานหลิงม่อก็ลากเธอเดินต่อไป
“เมื่อกี้…” หลันหลันเพิ่งจะได้สติกลับคืนมา เธออดหันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้งไม่ได้
ฝีมือหลิงม่องั้นหรอ? แต่เมื่อกี้เขาไม่ได้หันกลับมามองเลยนะ…หรือ “พลังถลึงตา” ยังมีวิธีใช้แบบอื่นอยู่ด้วย?
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องจริงก็คือเมื่อกี้หลิงม่อช่วยชีวิตเธอไว้…
“คือว่า…”
หลันหลันยังไม่ได้ทันได้พูด “ขอบคุณ” ออกไป ก็ได้ยินหลิงม่อหัวเราะบอกว่า “ซอมบี้ก็รู้จักเลือกโจมตีเด็กอมมือเหมือนกันนะเนี่ย…”
“…นายจำไว้เลยนะ!”
—————————————————————————–