แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 779 ชีวิตคนมักถูกหลอกเสมอ
เดิมที หัวหน้าทีมชั่วคราวคนนี้นึกว่าจะยังต้องรออีกพักหนึ่ง แถมเขาอาจต้องเป็นคนไปรายงานข้อมูลที่ได้มาด้วยตัวเอง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หัวหน้าทีมซ่งที่กำลังยุ่งอยู่จนแทบจะปลีกตัวออกมาไม่ได้ กลับมุ่งหน้ามาที่นี่ด้วยตัวเขาเอง…
เขาเดินจ้ำฝีเท้าหนักหน่วงเข้ามาด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว สิ่งที่พูดออกมาเป็นประโยคแรกคือ “เจ้าแซ่หลิงนั่นล่ะ!”
เสียงตะคอกนี้ทำเอาทุกคนต่างพากันสะดุ้งโหยง ทว่าตอนนี้สิ่งที่ทุกคนกำลังสนใจกลับเป็นสภาพของเขา…
ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยเขม่าควันและคราบฝุ่น เสื้อผ้าถูกฉีกทึ้ง แขนเสื้อกลายเป็นเศษผ้ายาวๆ ที่ห้อยโตงเตงอยู่บนตัวเขา…
หัวหน้าทีซ่งที่ดูเคร่งขรึมน่าเกรงขามในเวลาปกติ ทำไมถึงได้มีสภาพน่าอนาถขนาดนี้ล่ะ…
ทว่าพอถูกสายตาอำมหิตของหัวหน้าทีมซ่งกวาดมอง ทุกคนไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมาซักคน
หัวหน้าทีมซ่งกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องสภาพของตัวเอง เพราะหนึ่งเขาไม่มีเวลา สองคือเขาไม่มีอารมณ์เปลี่ยนเสื้อผ้า!
ตอนแรกนึกว่าคนที่ควรระวังมีแค่เจ้ามู่เฉินนั่นแค่คนเดียว แต่คิดไม่ถึงว่ากลับถูกเจ้าหนุ่มที่ทำตัวเป็นอากาศธาตุนั่นหลอกซะได้!
อยู่ชั้นบนงั้นหรอ?
แม่เอ็งสิ ชั้นบนมีแต่สัตว์ประหลาดเต็มไปหมด!
กว่าพวกเขาจะฝ่าฟันไปถึงชั้นหกอย่างยากลำบาก พวกเขากลับพบว่าห้องทดลองว่างเปล่าไร้เงาคนนานแล้ว!
“ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนซักที่หรือเปล่า?” มีสามชิกคนหนึ่งคาดเดา
แรกเริ่มเดิมทีหัวหน้าซ่งก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน แต่พอเดินเข้าไปในห้อง ตัวหนังสือขนาดใหญ่บรรทัดหนึ่งก็เด่นหราอยู่บนกำแพง!
“ฉันตัดสินใจว่าจะออกไปไล่ตามความฝันแล้ว บ๊ายบาย”
บายลูกสาวยายเอ็งสิ! แล้วยังมีการมาโชว์สกิลภาษาอังกฤษด้วยการเขียนเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกำกับไว้ข้างล่างอีก!
ไม่ได้ดูหนังอยู่นะโว้ย ไม่ต้องมีซับไตเติลภาษาอังกฤษก็ได้!
แล้วพอหันไปเห็นชั้นวางของที่ถูกกวาดของไปจนเรียบ และเอกสารมากมายที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น คนโง่ที่ไหนก็ดูออกว่านี่เป็นการแอบหนี!
ถึงแม้หัวหน้าทีมซ่งจะความรู้สึกช้าอีกซักแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มรู้ตัวแล้ว
ทำไมเจ้าสองคนนั่นถึงไม่ตามขึ้นมา?
เมื่อกี้ในสมองมีแต่เรื่องรองหัวหน้าทีมวิจัย หัวหน้าทีมซ่งเลยไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้นัก เขาคิดแค่ว่าเจ้าแซ่หลิงนั่นอ่อนแอ ไม่มีพลังมากพอ ถึงได้พักอยู่ข้างล่างนั่น และมู่เฉินก็เป็นเพื่อนเขา จึงได้หยุดอยู่กับเขาด้วย แต่ตอนนี้พอมาคิดดูอีกที เขากลับรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมาทันที!
ข้างบนนี้เสียงดังโครมครามขนาดนี้ ทำไมพวกเขาไม่ทำอะไรเลยล่ะ?
อีกอย่าง…
“ยังมีอีกคน!” หัวหน้าทีมซ่งถามขึ้นอย่างรีบร้อน
“ถูกสัตว์ประหลาดพวกนั้นกักไว้ข้างล่างแล้วมั้ง” คนข้างๆ ตอบเขา
“ไม่ได้การ พวกเราต้องรีบลงไป!” สายตาของหัวหน้าทีมซ่งฉายแววร้อนรน
จนถึงตอนที่วิ่งลงไปชั้นล่าง หัวหน้าทีมซ่งก็ยังคงแอบโอบอุ้มความหวังอันริบหรี่ไว้ในใจ…
เขาเป็นคนพาคนคนนี้เข้ามา ดังนั้นขออย่าให้มีปัญหาอะไรเลย!
แต่พอลางสังหรณ์นี้ผุดขึ้น หัวหน้าทีมซ่งก็รู้สึกได้ถึงจุดน่าสงสัยที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนั้นมีคนอยู่ที่นั่นเยอะมาก แต่ทำไมเขาถึงได้เรียกสองคนนั้นมาล่ะ?
ตอนนี้พอลองคิดดู นอกจากเหตุผลที่ว่าเขารู้จัก “หลิงเกอ” และรู้ว่าเขาเป็นผู้มีพลังจิตแล้ว เหตุผลที่สำคัญกว่านั้น คือตอนนั้นเขาสบตากับ “หลิงเกอ” พอดีไม่ใช่หรือ?
ไม่ผิดแน่…ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายขนาดนั้น ความจริงเขาไม่น่าจะมองเห็นสองคนนั้นได้ทันที…
ที่มันเป็นอย่างนั้น ก็เพราะ “หลิงเกอ” จงใจสบตาเขาด้วยดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นของเขา !
“ชิบ! เจ้าหนูนั่นเจ้าเล่ห์นัก!”
หัวหน้าทีมซ่งสติแตก ที่แท้เขาก็เป็นพวกแสดงละครตบตาเก่งนี่เอง!
คนที่สามารถล่อลวงเขาแค่เพียงสบตา จะหมดแรงเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร?
จบกัน จบกัน…
กว่าพวกเขาจะวิ่งลงไปถึงชั้นล่าง จิตใจของหหัวหน้าทีมซ่งก็ได้ดิ่งลงไปในเหวลึกแล้ว
ดังนั้นขณะที่สมาชิกคนที่มีสภาพย่ำแย่กว่าคนอื่นกำลังรายงานความผิดของพวก “หลิงเกอ” หัวหน้าทีมซ่งจึงนิ่งเงียบและไม่มีการตอบสนอง
ในสถานการณ์คับขันอย่างนี้ เขาซึ่งเป็นหัวหน้าทีมก็ได้แสดงคุณสมบัติของสมาชิกระดับผู้บริหารออกมาให้เห็น
“ตามไป! พวกเขาต้องถูกขังอยู่รั้วตาข่ายเหล็กแน่นอน ไม่มีทางหนีออกไปได้เร็วขนาดนั้น!” หัวหน้าทีมซ่งตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ความจริงแล้ว ความคิดของเขาสมเหตุสมผลมาก และเป็นความคิดที่ค่อนข้างใกล้เคียงความจริง
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือ พอไม่มีการชี้นำเส้นทางจากหลิงม่อ แค่วิ่งไปที่ประตูใหญ่พวกเขาก็ใช้เวลาไปไม่น้อยแล้ว
ซอมบี้ ควันไฟ เสียงปืน…พอปัจจัยรบบกวนเหล่านี้มารวมกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับภัยพิบัติเลย!
แต่เท่านี้ยังไม่พอ เพราะขณะที่เขามองเห็นประตูใหญ่ในที่สุด เขากลับพบว่ามันถูกขวางไว้!
ซอมบี้จำนวนมหาศาลกำลังขวางทางพวกเขาอยู่ คราวนี้อย่าว่าแต่จะออกไปเลย จะรอดหรือเปล่ายังไม่รู้เลย!
“พวกข้างนอกนั่นเป็นบ้าอะไรวะ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
สุดท้ายหัวหน้าทีมซ่งก็ได้แต่หลบอยู่ในอาคารไม่กล้าออกมาข้างนอก เขาทั้งต้องหลบเลี่ยงจุดที่มีไฟไหม้ และยังต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าจากซอมบี้ตลอดเวลา กว่าจะมารวมตัวกับอื่น และรอให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างยากลำบาก กลับได้ยินเรื่องที่ “หลิงเกอ” หนีออกไปอย่างอาจหาญอีก
หัวหน้าทีมซ่งคลั่งขึ้นมาทันที เจ้าหนูนั่นปั่นหัวพวกเขาเหมือนเป็นคนโง่ชัดๆ!
โดยเฉพาะตัวเขา เขาเป็นคนที่ถูกต้มจนเปื่อยมากที่สุด!
ดังนั้น พอได้ยินว่าทีมไล่ล่าทีมแรกกลับมาแล้ว หัวหน้าทีมซ่งจึงรีบหยุดสิ่งที่ทำอยู่ แล้วมุ่งหน้ามาหาอย่างรีบร้อนทันที…
ได้ยินเสียงเขาตวาดลั่น ทุกคนกลับเงียบไม่มีใครกล้าตอบ
และพอเห็นสภาพน่าทุลักทุเลของพวกเขาแต่ละคน หัวหน้าทีมซ่งก็เข้าใจทันที
ดูเหมือนคนกลุ่มนี้ก็ถูกเล่นงานเหมือนกันสินะ…
“หมอนั่นล่ะ!” เขาถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“หนีไปแล้ว” เสี่ยวพานตอบ “เขาใช้อุบายหลอกล่อพวกเราเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง จากนั้นก็จับพวกเราทุกคนมัด”
เสี่ยวพานพูดตรงไปตรงมา แต่คนรอบตัวกลับพากันเหงื่อแตกพลั่ก
โดยเฉพาะเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ไม่ได้เข้าร่วมการไล่ล่า สีหน้าของพวกเขาในตอนนี้กำลังตะลึงสุดๆ
คนคนเดียวจับพวกเขาทุกคนมัดเนี่ยนะ? ล้อเล่นรึเปล่า…
ถึงเจ้าหนูแซ่หลิงนั่นจะร้ายกาจมากจริงๆ แต่ก็ไม่น่าถึงขั้นที่ทำให้คนกลุ่มใหญ่ไร้หนทางสู้ขนาดนี้นี่นา!
“มีสองคน” เสี่ยวพานอธิบาย “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์จริงๆ เป็นอย่างไรแน่ แต่รู้แค่ว่ามีคนปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราแค่สองคน”
“หนึ่ง สอง…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเริ่มนับจำนวนคนอย่างจริงจัง “แต่พวกนายมีกันสิบกว่าคนเลยนะโว้ย!”
หัวหน้าทีมชั่วคราวคนนั้นทำสีหน้าจนใจ “พลังของพวกเขาประหลาดมาก…”
“อีกคนน่าจะเป็นมู่เฉินสินะ…” หัวหน้าทีมซ่งยังคงคิดอย่างนี้
แต่เสี่ยวพานกลับทำลายความคิดด้วยการพูดต่อว่า “ใช่แล้ว พลังของเจ้าหนุ่มนั่นพวกนายก็คงเห็นเต็มตากันแล้ว แต่เด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย เธออาจเก่งเรื่องการต่อสู้ระยะประชิดมากกว่า แถมอาจเก่งมากอีกด้วย…”
“เดี๋ยวก่อน! นายบอกว่าเด็กผู้หญิง?” หัวหน้าทีมซ่งตัดบทเขาอย่างตะลึง
เสี่ยวพานพยักหน้า “อืม เป็นเด็กผู้หญิงที่สวยมาก น่าจะอายุประมาณ 19 – 20 ปี ใส่กระโปรง และสวมรองเท้าหนังสีขาวพื้นเรียบ ดูจากการแต่งกายที่เรียบร้อยและสภาพเสื้อผ้าที่สมบูรณ์ คุณภาพชีวิตของเธอต้องดีมากแน่นอน แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือบุคลิกของเธอ แต่ถูกเธอมองปราดเดียว ก็สามารถรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งราวกับระเบิดที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ เธออาจดูสวย แต่ความจริงกลับเป็นคนที่อันตรายมาก”
“ทำไมถึงได้มีผู้หญิงสวยโผล่มาอีกคนล่ะ?”
“แฟนของเจ้าหนูนั่นล่ะมั้ง?”
“เชี่ย! ตัวเองเก่งยังไม่พอ ยังจะมีแฟนที่เก่งมากอีก แม่เอ็งจะไม่ปล่อยให้คนอื่นมีชีวิตอยู่บ้างหรอวะ”
“ถ้างั้นแกก็ไปตายซะสิ”
“ไสหัวไปๆๆ!”
มีคนแซวขึ้นมาจากอีกฝั่ง “ถึงแกจะเห็นสาวสวยจริงๆ ก็ไม่เห็นต้องพูดสาธยายขนาดนั้นเลยนี่นา”
ฟังดูก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนในทีมไล่ล่า ถึงได้พูดขึ้นมาโดยไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็ถูกใครหลายคนถลึงตาใส่
“แม่เอ็ง นึกว่าคนอื่นเขาสนใจแต่สาวสวยเหมือนเอ็งหรือไง?”
“ถ้าแกไปเจอเข้ากับตัวจริงๆ ฉันว่าแกคงจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาแน่นอน”
มีเพียงเสี่ยวพานที่ยังคงพูดต่ออย่างจริงจัง “ตอนนั้นฉันไม่กล้ามองดูอย่างละเอียด แต่ผู้หญิงที่สวยขนาดนั้นพบเห็นไม่ได้ง่ายๆ บุคลิกของเธอก็ทำให้ผู้พบเห็นเอะใจ ในอนาคตหากมีใครเจอเธอเข้า ก็จะรู้เองว่าต้องระมัดระวัง ที่ฉันจำเรื่องพวกนี้ไว้ ก็เพื่อเอากลับมาบอกต่อ”
หัวหน้าทีมชั่วคราวคนนั้นฉายแววตากระอักกระอ่วน เทียบกันแล้ว ตอนนั้นเขามัวแต่กลัวอย่างเดียว ไม่มีกะจิตกะใจสำรวจและเก็บข้อมูลเหมือนเสี่ยวพานเลย…
“อืม ความสามารถในการสังเกตของนายยอดเยี่ยมมาก” หัวหน้าทีมซ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ แล้วหันไปกำชับให้คนข้างๆ จดบันทึกไว้
ทว่าถึงแม้การปรากฏตัวของเด็กสาวคนนี้จะทำให้แปลกใจ แต่หัวหน้าทีมซ่งกลับสนใจเรื่องของ “หลิงเกอ” มากกว่า
“แล้วเจ้านั่นล่ะ? เขาจับพวกนายมัด เพราะมีจุดประสงค์บางอย่างใช่ไหม?” พูดถึงตรงนี้ สายตาของหัวหน้าทีมซ่งก็คมปลาบขึ้นมาทันที
ความหมายแฝงในคำพูดของเขาทุกคนต่างฟังออก : เหตุผลที่เจ้าแซ่หลิงจับพวกนายมัดไว้เฉยๆ แต่ไม่ฆ่า คืออะไร?
สมาชิกทีมไล่ล่าต่างทยอยหันไปมองหัวหน้าทีมชั่วคราวคนนั้น แม้แต่เสี่ยวพานก็หันไปมองเขาด้วยเหมือนกัน
“นายรู้?” หัวหน้าทีมซ่งรีบหันไปมองตามทันที
หัวหน้าทีมชั่วคราวรู้สึกกดดันขึ้นมาทันที เขาพยายามไถลตัวลงมาจากแผ่นหลังสมาชิกอีกคน จากนั้นก็ฝืนยิงพิงบนไหล่ของอีกฝ่าย “อืม…เพราะตอนนั้นผมถูกหัวหน้าทีมวิจัยตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมฉุกเฉิน…”
“พูดเข้าประเด็น” หัวหน้าทีมซ่งโบกมือ แล้วพูดขึ้น
หัวหน้าทีมชั่วคราวตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา ถ้าหากไม่ใช่ว่าข้อมูลที่เสี่ยวพานให้ยังถือว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง ตอนนี้เขาอาจจะถีบคนคนนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
ถูกจับมัดกันหมด แล้วยังมีหน้าวิ่งหางจุกตูดกลับมา นี่ไม่เท่ากับเป็นการเอาโคลนมาป้ายหน้าเขาหรอกหรือ?!
ใบหน้าของเขาแค่เลอะเขม่าควันก็แย่มากพอแล้ว แต่นี่กลับจะไม่ปล่อยให้เขาเหลือหน้าไว้บ้างเลยหรือ!
หัวหน้าทีมชั่วคราวสั่นเทิ้มขึ้นมาชั่วขณะ แล้วรีบบอกว่า “พลังของเขาแกร่งมากจริงๆ ตอนนั้น…”
หลังจากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอาคารหลังนั้นให้ฟังคร่าวๆ หนึ่งรอบแล้ว เขาก็พูดขึ้นอย่างร้อนรนอีกว่า “ตอนสุดท้ายเจ้าหมอนั่นพูดทิ้งท้ายไว้กับผมประโยคหนึ่ง บอกว่าให้ผมไปบอกบอสใหญ่ด้วยตัวเอง…”
หัวหน้าทีมซ่งตกอยู่ในภวังค์อึ้งค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเพิ่งได้สติกลับคืนมา เขาถามว่า “เขาว่าอะไร?”
“บะ…บอกไม่ได้…” หัวหน้าทีมชั่วคราวกลืนน้ำลาย
“นายว่าไงนะ?” หัวหน้าทีมซ่งขมวดคิ้วแน่น แล้วถามอีกครั้ง
หัวหน้าทีมชั่วคราวแทบจะล้มทั้งยืน “บอกไม่ได้จริงๆ…หมอนั่นบอกว่า ถ้าผมบอกคนอื่น บอสใหญ่ต้องฆ่าผมแน่ๆ หัวหน้าก็เหมือนกัน ถ้าหัวหน้าได้ยินเข้า บอสใหญ่ก็จะฆ่าหัวหน้าเหมือนกัน…”
“อยากตายนักรึไง หา!”
สายตาของหัวหน้าทีมซ่งแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิตขึ้นมาทันที ตอนแรกเขาก็แทบจะคลั่งเต็มทีแล้ว ไม่คิดเลยว่าหมอนี่จะพูดอะไรอย่างนี้ออกมาอีก!
ฆ่าเขา? คำพูดอะไรกันถึงได้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายเขาได้ขนาดนี้!
หัวหน้าทีมชั่วคราวเหงื่อท่วมตัว แต่เขากลับยังคงยืนหยัดคำเดิม “จะ…จริงๆ นะ…”
หัวหน้าทีมซ่งกัดฟันกรอด กำหมัดแน่น แต่สุดท้ายเขากลับคลายหมัดออกช้าๆ
“ฉันขอเตือนให้นายคิดดูให้ดี วิเคราะห์ดูอย่างละเอียดว่าหมอนั่นแค่คิดจะปั่นหัวบอสใหญ่หรือเปล่า อย่ากลายเป็นผู้ช่วยคนร้ายโดยไม่รู้ตัว” เขาพูดอย่างเย็นชา
หัวหน้าทีมชั่วคราวกำฝ่ามือที่ท่วมเหงื่อ แล้วพยักหน้าอย่างลนลาน