แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 788 เรียนรู้วิธีเปิดประตูที่ถูกต้อง
ขณะชายหญิงคู่นั้นหมุนตัวเดินขึ้นบันไดไป หลิงม่อก็ได้ยืนอยู่บนทางเดินชั้นสามแล้ว
เขาตั้งใจเลือกห้องผู้ป่วยที่อยู่ติดมุม หลังจากเดินออกมาเขาก็ชะโงกหน้ามองไปทางบันไดแวบหนึ่ง
“ยังไม่ขึ้นมาจริงๆ ด้วย…ถึงจะไม่สามารถใช้พลังจิตสำรวจ แต่จู่ๆ เสียงฝีเท้าบนบันไดก็หายไป ช่องโหว่ชัดเจนขนาดนั้นใครจะไม่รู้บ้าง…” หลิงม่อคิดในใจ
คำพูดนี้เขาถือว่า “พูด” ขึ้นในใจ ดังนั้นเสียงของเฮยซือจึงดังสวนขึ้นมาทันที “คนปกติที่ไหนจะสังเกตเรื่องเล็กน้อยในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานกันเล่า! อีกอย่างสมาธิของนายก็จดจ่ออยู่กับเสียงฝีเท้าอย่างเดียวไม่ใช่หรือไง? ยิ่งกว่านั้น ฉันเดาว่าหลังจากเดินขึ้นบันไดไปพวกนั้นคงจะสัมผัสได้ว่ามีคนเดินตามสินะ? จะว่าไป ไม่รู้ว่าพวกนั้นได้ย้อนกลับไปเช็คหรือเปล่า…”
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้ แต่ว่าฉันปิดประตูห้องแล้ว ถึงจะย้อนกลับไปดูก็ไม่เจออะไรหรอก เมื่อกี้ถึงจะเสี่ยงไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ตัดความเป็นไปได้ที่สองคนนั้นจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตไปได้เลย ถือว่าได้กำไร” หลิงม่อบอก
เฮยซือถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ?”
“ลองคิดแบบสลับมุมมองดูสิ ที่นี่เป็นถิ่นของพวกนั้น ถ้าหากสัมผัสได้ว่ามีคน พวกนั้นจะไม่ใช้พลังจิตสำรวจหรอ?” หลิงม่อถามย้อน
“นั่นมันก็…อาจเป็นเพราะอวัยวะรับความรู้สึกดีมาก? หรือไม่ก็มีความสามารถพิเศษบางอย่าง?” เฮยซือตอบ
“น่าจะอย่างนั้นนะ…แต่พวกนั้นระวังตัวขนาดนี้ แล้วยังไม่ใช่ผู้มีพลังจิตด้วย น่าจะใช้ประโยชน์ได้บ้าง”
ขณะที่พูด หลิงม่อก็เดินหน้าไปตามทางเดินเรื่อยๆ
การออกแบบอาคารของโรงพยาบาลแห่งนี้เก่าแก่มาก มีทางเดินเพียงหนึ่งเส้น ด้านหนึ่งของทางเดินเป็นลิฟท์ ส่วนอีกด้านเป็นบันได
หลิงม่อขึ้นมาจากฝั่งที่เป็นลิฟท์พอดี จากนั้นเขาก็เดินไปทางฝั่งที่เป็นบันไดช้าๆ
การทำอย่างนี้อาจดูอันตราย แต่ห้องผู้ป่วยที่มีอยู่เต็มสองฝั่งทางเดินกลับเป็นทางหนีทีไล่ที่ดีสำหรับเขา และขอเพียงเร็วพอ เขาก็สามารถตรวจสอบห้องผู้ป่วยทั้งสองฝั่งหนึ่งรอบ แล้วยังแอบฟังสองคนนั้นคุยกันใกล้ๆ ได้อีกด้วย
สภาพแวดล้อมในชั้นสามไม่ได้ต่างจากชั้นล่างมากนัก มีเลือดเต็มไปหมดทุกที่ และมีเศษชิ้นส่วนแขนขาให้เห็นเป็นพักๆ เหมือนกัน
ในขณะที่เดินผ่านจุดที่มีเลือดค่อนข้างเยอะ หลิงม่อกระทั่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินผ่านปากที่ชุ่มไปด้วยเลือดของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง…
กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อไม่อาจกลบกลิ่นคาวเลือดได้มิด แต่กลับผสมผสานกันจนกลายเป็นกลิ่นแปลกๆ จนทำให้รู้สึกคลื่นเหียนเวียนไส้
ทว่าหลิงม่อกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เมื่อเสียงพูดคุยกันเบาๆ ดังมาจากทางฝั่งบันได เขาก็รีบพุ่งเข้าไปหลบในห้องผู้ป่วยห้องหนึ่งทันที
ผ่านไปไม่กี่วินาที เสียงพูดคุยของสองคนนั้นก็ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
“…ยังไงก็ต้องไปดูหน่อยไหม เห็นบอกว่ามีคนบุกเข้ามา แต่ก็ไม่ยอมให้พวกเรายื่นมือเข้าไปยุ่ง ทั้งๆ ที่ที่นี่เป็นถิ่นของทีมเรา” เสียงพูดอย่างไม่พอใจของหญิงสาวดังขึ้น
“ได้ แล้วแต่เธอ แต่ว่าอย่าไปหาเรื่องพวกเขาล่ะ” เสียงชายหนุ่มกำชับดังขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ฉันไปหาเรื่องพวกนั้นเมื่อไหร่กัน? จะว่าไปแล้วเป็นเพราะโชคไม่ดีแท้ๆ ดันมาเจอพวกนั้นซะได้…” หญิงสาวยังคงบ่นต่อไป
“เธอคิดในแง่ดีสิ ถือว่าเป็นโอกาสสร้างผลงานไง ถ้าหากพวกเราไม่ได้มาที่นี่พอดี ก็อาจไม่ได้เจอ…” เสียงของชายหนุ่มฟังดูค่อนข้างจนใจ เหมือนเขาค่อนข้างเกรงกลัวหญิงสาว
เงาร่างของทั้งสองปรากฏขึ้นที่ปากบันได และพวกเขาก็ทำท่าเหมือนจะเดินเลี้ยวขึ้นบันไดชั้นต่อไปอย่างไม่คิดจะหยุด ทันใดนั้น เสียง “เคร้ง” ก็ดังมาจากทางเดินเบาๆ
เสียงนี้เบามาก แต่ในทางเดินอันเงียบสงัด มันกลับฟังดูชัดเจนกว่าปกติ
เท้าของหญิงสาวคนนั้นที่เพิ่งจะก้าวขึ้นบนขั้นบันได พลันชะงักทันที
เธอหันหน้าไปมองยังทิศทางที่เกิดเสียง แล้วมองหน้าชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย พลางพูดเสียงเบา “ไปดูกันหน่อย”
ทั้งสองหยิบอาวุธออกมาพร้อมกัน แล้วค่อยๆ เดินไปยังห้องที่เกิดเสียงอย่างเงียบเชียบ
ประตูห้องเปิดแง้มไว้ และกำลังสั่นไหวเบาๆ อยู่…
ผ่านไปหลายวินาทีก็ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ หญิงสาวจึงแนบตัวชิดผนังข้างประตู และส่งสัญญาณมือไปให้ชายหนุ่ม
“ใครน่ะ!”
ชายหนุ่มยกเท้าถีบประตูอย่างแรง ขณะเดียวกันนั้นหญิงสาวพุ่งเข้าไปในห้องพร้อมยกปืนขึ้นเล็ง
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา กลับมีแต่เตียงผู้ป่วยสองเตียงที่ไร้ซึ่งเงาคนเท่านั้น…
ผ้าม่านกั้นเตียงผู้ป่วยยังคงไหวไปไหวมาเบาๆ เหมือนเกิดจากลมตอนที่พวกเขาถีบประตูเข้ามา…
“อะไรกัน…”
หญิงสาวยังคงอยู่ในท่ายกปืนขึ้นเล็ง ในขณะที่ขมวดคิ้วแน่น
เธอมองซ้ายมองขวา ทันใดนั้นสายตาก็ตวัดไปมองทางหน้าต่างบานหนึ่งในห้อง
หน้าต่างบานนั้นถูกเปิดแง้มไว้ เหมือนกับประตูห้อง…
“นายเห็นไหม ตรงนี้คราบฝุ่นหายไป…” จู่ๆ หญิงสาวก็ชี้นิ้วไปทางขอบหน้าต่าง
เธอเปิดหน้าต่างแล้วมองลงไปข้างล่าง แล้วสีหน้าก็พลันตึงเครียดขึ้นมา
“ไป ลงไปดูกัน!”
ชายหนุ่มเองก็มองตามลงไปด้วย พร้อมกับถามขึ้น “แล้วเรื่องข้างบนนั่นล่ะ?”
“จัดการเรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน คนคนนี้ได้รับบาดเจ็บแล้ว หนีไปไหนได้ไม่ไกลหรอก” หญิงสาวพูดอย่างเด็ดขาดไม่เปิดช่องให้โต้แย้ง
ขณะที่หันหน้ากลับไป หญิงสาวคนนี้ยังพึมพำว่า “ฉันว่าแล้วว่าพวกนั้นไม่ได้เรื่อง คนคนนี้ต้องถูกพวกนั้นทำหลุดมือมาแน่ๆ…วิธีดีๆ มีไม่ใช้ ต้องให้…”
“เอาเถอะ เธออย่าพูดอีกเลย…”
ขณะที่พวกเขาเดินออกจากห้อง เงาร่างของใครคนหนึ่งบนชั้นสี่ก็ลอบถอนหายใจเบาๆ
ห่างกันเพียงเพดานกั้นชั้นเดียว แต่สองคนนี้กลับไม่รู้เลยว่า แท้จริงแล้วผู้บุกรุกอยู่บนศีรษะพวกเขานี้เอง…
“ระวังตัวมาก ถ้าเป็นเราคงคิดว่าลมพัดเฉยๆ” หลิงม่อส่ายหน้าไปมา
“ก็นายเล่นทิ้งร่องรอยไว้ที่ขอบหน้าต่าง แล้วยังทิ้งรอยเลือดไว้บนเครื่องปรับอากาศนอกหน้าต่างอีกนี่!” เฮยซืออดพูดขึ้นไม่ได้
หลิงม่อทิ้งปลอกหมอนในมือลงพื้น แล้วบอกว่า “ถ้าหากพวกเขาไปสำรวจห้องผู้ป่วยข้างๆ ดูก่อนว่ามีปลอกหมอนหายไปหรือเปล่า แล้วก็สังเกตดูว่ารอยเลือดบนพื้นถูกเช็ดไปหรือไม่ และสุดท้ายก็กระโดดลงไปตรวจสอบความหนืดของเลือดบนเครื่องปรับอากาศ พวกเขาย่อมต้องรู้ว่าตัวเองกำลังถูกหลอกแล้ว”
“อย่างนี้เองหรอ…” เฮยซือพูดขึ้นอย่างอึ้งๆ
“แต่วิธีนี้เป็นการล่อเสือออกจากภูเขาเพียงชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่กี่นาทีพวกเขาก็จะกลับมา อีกอย่าง ฉันได้ข้อมูลสำคัญมากบางอย่างมาจากการพูดคุยของพวกเขา…เป็นไปได้มากว่าสวี่ซูหานอยู่ข้างบนนี้แหละ นอกเหนือจากว่าที่นี่ยังมีผู้บุรุกอีกหนึ่งคน ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ”
“นายไม่ร่วมมือกับเขาล่ะ?” จู่ๆ เสียงของเฮยซือก็เปลี่ยนเป็นมีเลศนัยขึ้นมา
“ดูสถานการณ์ก่อน…ยังไงก็ต้องตามหาสวี่ซูหานให้เจอก่อน” หลิงม่อบอก
“คิกคิก ต้องอย่างนี้สิ!” เฮยซือระริกระรี้ขึ้นมาทันที
ในขณะที่สมองกำลังทำงาน เท้าของหลิงม่อก็ได้เดินไปยังประตูห้องอย่างเงียบเชียบ
ในตอนที่เขาใกล้จะถึงประตู จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง
ความจริงแล้ว เจ้าสิ่งนี้เกือบถูกเขาเหยียบโดนแล้ว…
จู่ๆ ก็เจอของแบบนี้ในโรงพยาบาล หลิงม่อเกือบนึกว่าตัวเองหลุดเข้ามาในโรงพยาบาลประสาทซะแล้ว แต่พอมองดูดีๆ เขากลับพบว่าโซ่เส้นนี้ยังใหม่อยู่…
ปลายด้านหนึ่งของโซ่เหล็กผูกติดกับเตียงผู้ป่วยไว้ ส่วนอีกด้านกลับจมอยู่ในกองเลือดที่ยังไม่แข็งตัว
หลิงม่อนั่งยองๆ ลงไปมองกองเลือดกองนั้น จากนั้นก็ใช้ปลายมีดเกี่ยวเศษวัตถุสีดำขึ้นมา
“นี่มัน…เศษผ้า? แถมยังมีร่องรอยของการถูกเย็บด้วย ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของกางเกงชุดสูท…”
ตอนนี้เขาพอจะเดาได้รางๆ ถึงประโยชน์การใช้งานของโรงพยาบาลแห่งนี้แล้ว มุมปากของเขากระตุกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
“บังเอิญจริงๆ…แต่จริงๆ สถานที่แห่งนี้คงจะเป็นกับดักที่ถูกทำขึ้นสำหรับซอมบี้ระดับสูงสินะ แล้วทำไมสวี่ซูหานที่เพิ่งจะกลายพันธุ์ถึงได้วิ่งเข้ามาได้ล่ะ…แต่พอเป็นอย่างนี้ ความเป็นไปได้ที่เธอจะอยู่ที่นี่ก็ยิ่งสูงขึ้น…”
หลิงม่อคิด จากนั้นก็หมุนกายเดินไปทางประตูห้อง
“สองคนนั้นบอกว่าพวกนั้นอยู่ข้างบน และที่นี่ก็ชั้นสี่แล้ว หากขึ้นปีอกก็เป็นชั้นห้า…จากที่พวกเขาคุยกัน พวกที่ไม่ยอมให้พวกเขายื่นมือเข้าไปยุ่งคงจะมีความมั่นใจมาก…น่าจะอยู่ในสองชั้นนี้แหละ…สองคนนั้นถูกหลอกให้ออกไปสามถึงห้านาที เท่ากับว่าฉันก็มีเวลาเท่านี้เหมือนกัน”
หลิงม่อคิด พลางบิดกลอนประตูออกอย่างช้าๆ แล้วสำรวจสถานการณ์ข้างนอกอย่างรวดเร็ว
ไมคิดเลยว่าพอประตูบานนี้ถูกเปิดออก ภาพด้านนอกห้องกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง…
บนพื้นเต็มไปด้วยก้อนเนื้อที่กำลังขยับไปมา ผิวผนังมีเลือดข้นหนืดไหลออกมาราวกับว่ามันกำลังบาดเจ็บ
บนเพดานเองก็มีของเหลวสีเขียวหยดลงมาเป็นระยะ เมื่อมันหยดลงบนก้อนเนื้อดัง “แหมะ” ก็จะมีควันลอยขึ้นมา
ทางเดินทั้งเส้นถูกกลิ่นเหม็นยากจะรับได้ปกคลุมไปทั่ว มันเหม็นแสบจมูกเสียยิ่งกว่ากลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นยาฆ่าเชื้อในชั้นล่างหลายเท่า…
“เปิดประตูปุ๊บก็เขามาอยู่ในกระเพาะอาหารเลยหรือนี่…” หลิงม่อตะลึง
เฮยซือเองก็พูดผสมโรงด้วยว่า “นายเปิดประตูผิดวิธีน่ะสิ”
“จิ๊…” หลิงม่อบ่น แต่เขากลับดึงประตูปิดจริงๆ
เขารอให้ผ่านไปสองวินาที แล้วเปิดประตูอีกครั้ง
แอ๊ด~~~
ทางเดินยังคงอยู่ในสภาพเดิม ทว่ากลับมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา
ผนังที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ดูเหมือนกำลังสมานตัวกันแล้ว…
“โรคกล้ามเนื้อกระเพาะกระตุกหรือไง…” หลิงม่อพูดขึ้น
“กล้ามเนื้อกระเพาะเกร็งชัดๆ…” เฮยซือขัด แล้วพูดขึ้นอีกว่า “ลองเปิดประตูใหม่อีกครั้งไหม?”
“ไม่เอาแล้ว สิ่งที่ต้องการพิสูจน์ก็ได้พิสูจน์แล้ว” หลิงม่อพูดอย่างใจเย็น ขณะเดียวกันก็ยกเท้าก้าวออกจากห้องไป
คนทั่วไปหากคิดจะเดินหน้าในสถานการณ์อย่างนี้ อาต้องแบกรับแรงกดดันทางด้านจิตใจอย่างมหาศาล
โดยเฉพาะสัมผัสจากปลายเท้า ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในกระเพาะ และกำลังจะถูกย่อยสลายจริงๆ
หลิงม่อกระทั่งเหลือบเห็นเส้นผมอยู่ในก้อนเนื้อเหล่านั้น บางครั้งก็เห็นกะโหลกศีรษะสองสามกะโหลกกลิ้งไปมา…
“ทันทีที่เห็นภาพนี้เข้า สวี่ซูหานคงจะตกใจมากแน่ๆ…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้
เขาเดินไปเรื่อยๆ เหมือนกำลังเดินเล่นก็ไม่ปาน และไม่นานเขาก็เดินมาจนถึงปากบันได
“ในเมื่อชั้นสี่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าสถานที่ที่อันตรายจริงๆ คือชั้นห้าสินะ…และบันไดนี่ก็เป็นเหมือนประตูทางเลือกสู่ความเป็นและความตาย…”
บันไดสู่ชั้นนั้นเต็มไปด้วยซี่ฟันแหลมคมและเลือดเนื้อมากมาย ในขณะที่บันไดสู่ชั้นล่างนอกจากก้อนเนื้อ ก็ไม่เห็นอันตรายอย่างอื่นซ่อนอยู่ กระทั่งหากยื่นหน้าออกไปได้มากพอ ก็จะเห็นสภาพแวดล้อมที่แท้จริงของชั้นล่าง…
—————————————————————————–