แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 793 ฉันกลายเป็นจอมตะกละ
ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังดูแข็งกระด้าง แต่หลังพูดจบ หวังหลิ่นกลับอดเหลือบมองหลิงม่ออย่างรู้สึกผิดไม่ได้
ไม่ได้เจอกันครึ่งปี หลิงม่อกลับไม่ได้ดูเปลี่ยนแปลงไปมากนัก มีเพียงเส้นผมที่ยาวขึ้นเล็กน้อย และส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ ทั้งๆ ที่รูปร่างเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่เขากลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป…
เมื่อกี้ไม่ทันเห็น แต่ตอนนี้พอมองดูอีกที หวังหลิ่นกลับสังเกตเห็นจุดนี้ทันที…
“จะว่าไงดีล่ะ เมื่อก่อนเขาดูเหมือนมีเรื่องในใจอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้กลับดูผ่อนคลายขึ้นมาก…สายตาดูเปล่งประกายขึ้นไม่น้อย…หากดูจากรูปลักษณ์ภายนอกอย่างเดียว เหมือนเป็นคนไม่มีพิษมีภัยอะไร…”
หวังหลิ่นเพิ่งจะคิดอย่างนี้ จู่ๆ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นในใจ แล้วเสียงคัดค้านก็ตามมา “แต่ว่า…พวกนี้เป็นภาพลวงตาทั้งนั้น! เขากลายเป็นคนที่ชั่วร้ายกว่าเดิมล่ะสิไม่ว่า! อุตส่าห์ได้เจอน้องสาวเมียที่พลัดพรากจากกันไปนานทั้งที เขาไม่ร้องไห้เพราะสะเทือนใจและซาบซึ้งก็แล้วไป ไอ้สีหน้าทำนอง ‘อ้าว เธอยังมีชีวิตอยู่อีกหรอ’ ของเขานั่นฉันก็สะกดกลั้นอารมณ์และอดทนไว้แล้ว แต่สิ่งแรกที่เขาทำ กลับเป็นการโยนฉันลงพื้นเนี่ยนะ!”
“ถึงจะไม่นับสัมพันธ์ฉันญาติ แต่แม้จะเป็นแค่คนรู้จัก การได้มีโอกาสรอดชีวิตกลับมาเจอกันอีกครั้งในโลกที่โหดร้ายอย่างนี้ มันก็ถือเป็นพรหมลิขิตที่ควรเห็นคุณค่านะ คนเลว!”
“หน้าเนื้อใจเสือ! คนบ้า! สุนัขจิ้งจอกในคราบมนุษย์!…”
“……”
“ฟู่ว…”
ระหว่างนั้น สีหน้าของหวังหลิ่นได้เปลี่ยนจากหวาดกลัวเป็นสงบนิ่ง จากนั้นใบหน้าของเธอก็แดงก่ำขึ้นอีกครั้งเหมือนกำลังโมโห ต่อมาก็เม้มปากทำท่ากัดฟันกรอดๆ จนกระทั่งสุดท้าย เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก…ตั้งแต่เริ่มจนจบ เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาซักคำ…
หลิงม่อจ้องเธออย่างสงสัย แล้วถามว่า “เธอยังมึนๆ อยู่หรอ?”
“ห๊ะ?” หวังหลิ่นได้สติ
“ฉันถามว่าหัวของเธอ…” หลิงม่อพูดขึ้น
หวังหลิ่นรีบโบกมือปฏิเสธ “ยังโอเคอยู่! อีกเดี๋ยวก็หายแล้ว! แต่ว่า…พี่ไม่โกรธหรอ?” เธอหดคอเล็กน้อย แล้วจ้องหน้าหลิงม่ออย่างแปลกใจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องตัวเองตามสัญชาตญาณ
เมื่อก่อนเคยถูกพี่เขยคนนี้รังแกอย่างไร หวังหลิ่นจำได้ดีเสมอเหมือนมันเพิ่งเกิดเมื่อวาน…
“ฉันเห็นพี่ดูกังวลมาก…” เธอพูดเสียงเบาขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็ต้องกังวลอยู่แล้ว จู่ๆ จะปล่อยให้คนหายตัวไปง่ายๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้นี่” หลิงม่อยิ้มบาง แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “ทำไม หรือเธอหึงแทนพี่สาว?”
ความคิดของหวังหลิ่น เขาย่อมมองออกตั้งแต่แวบแรก…
แต่พอเขาถามอย่างนี้ หวังหลิ่นก็หลบสายตา เธอพูดเสียงงึมงำ “ใครจะไปหึงแทนยัยนั่นกัน…” ชะงักไปครู่หนึ่ง เธอก็ถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์อีกว่า “แล้ว…ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”
“สบายดี” หลิงม่อตอบ
“อ้อ…”
หวังหลิ่นกระพริบตาปริบๆ รอเขาพูดต่อครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้ยินเขาพูดอะไรมากไปกว่านั้น
เธอเม้มปากแน่น แล้วกลั้นใจหน้าถามว่า “แค่นี้…เองหรอ?”
“ใช่น่ะสิ” หลิงม่อพยักหน้า
“……”
นายตั้งใจใช่ไหม หา! ต้องตั้งใจแกล้งกันแน่ๆ!
หวังหลิ่นโมโหขึ้นมาทันที
จากกันไปครึ่งปี เธอย่อมต้องห่วงหาซย่าน่าอยู่แล้ว
หลิงม่อตอบสั้นๆ แต่ในแววตากลับแฝงความนัย แสดงว่าเขากำลังสื่ออะไรบางอย่างอยู่
แต่ถ้าจะให้เธอยอมลดศักดิ์ศรีถามอย่างละเอียด เธอก็ทำไม่ได้อีก…
หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หวังหลิ่นก็สะบัดหน้า แล้วแค่นเสียงไม่พอใจ “ไม่บอกก็ช่างสิ!”
“ไม่ยอมเสียหน้าจริงๆ เลยนะ…” หลิงม่อถอนหายใจ
“พี่จะพูดยังไงก็ช่าง…อะไรกัน ทำไมพี่ไม่ถามฉันบ้างล่ะ? ถึงยังไงพวกเราก็เป็นญาติกันนะ พี่อย่าให้มันมากเกินไปนะ!” หวังหลิ่นกลอกตาขาว พลางพูดขึ้น
แต่สิ่งที่ทำเธอผิดคาดคือ จู่ๆ สีหน้าของหลิงม่อกลับจริงจังขึ้นมา และพูดเสียงเคร่งเครียดว่า “มีอะไรอยากถามมากมายเลยล่ะ แต่อีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน” หลังพูดจบ เขาก็หันไปมองชายขอบตาคล้ำ แล้วบอกว่า “ฉันไปพาเธอออกมาก่อน”
“อ้าว พวกนายรำลึกความหลังกันต่อสิ” ชายขอบตาคล้ำกำลังนั่งชมอย่างออกรส ได้ยินเข้าก็รีบพูดขึ้น
“ยังมีเวลาอีกมาก อีกเดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้” หลิงม่อตอบ
“ก็ใช่ ถ้างั้นนายไปเถอะ ฉันขอจัดการทางนี้ต่อแล้วกัน” ชายขอบตาคล้ำพยักหน้า
“ยังมีอีกเรื่อง…นายอย่าสิ้นเปลืองพลังจิตอีกเลย” ก่อนจะไป หลิงม่อให้คำแนะนำเขา
ชายขอบตาคล้ำชะงัก จากนั้นก็ก้มหน้าลงเงียบๆ พลางสูบควันบุหรี่เข้าไปเต็มปอด…
เมื่อกี้ตอนทำให้โลกมายาล่มสลาย เขาตั้งใจทำให้มันดูโอเวอร์เกินเหตุ เพื่อสร้างปัญหาให้หลิงม่อเล็กน้อยก็ยังดี…ปรากฏว่าถึงแม้จะล้มเหลว แต่โชคดีที่เหมือนหลิงม่อจะไม่ได้เป็นพวกชอบอวดตัวเหมือนเขา และไม่มีความคิดที่จะถามหาความรับผิดชอบแต่อย่างใด…แต่ตอนนี้พอหลิงม่อพูดขึ้นมาอย่างนี้ เห็นชัดว่าไม่ได้เป็นเพราะเขาเก็บเรื่องนี้ไปคิดเล็กคิดน้อย แต่มันเป็นการเตือนด้วยความหวังดีจริงๆ…
แต่ทำไมมันกลับยิ่งทำให้รู้สึกปวดใจกว่าเล่า!
เรื่องที่คนอื่นขาอุตส่าห์ลงแรงกายแรงใจทำ นายช่วยมีปฏิกิริยาตอบสนองซักหน่อยไม่ได้รึไง!
纠结啊……
เลือกยากจริงๆ…
เมื่อหลิงม่อเดินออกไป ชายขอบตาคล้ำจึงถามด้วยเสียงไม่สบอารมณ์ “เขาเป็นพี่เขยเธอจริงๆ หรอ?”
หวังหลิ่นกำลังคาดเดาความหมายจากคำพูดเมื่อกี้ของหลิงม่อ เธอจึงรับคำส่งๆ ว่า “ก็ใช่น่ะสิ…”
“ไม่เห็นเหมือนที่เธอเล่าให้ฟังเลยซักนิด…” ชายขอบตาคล้ำบ่น “เรื่องใจจืดใจดำยังไม่ต้องพูดถึง แต่อย่างน้อยเรื่องพลังเธอไม่เคยบอกความจริงกับฉันใช่ไหม นี่มันใช่ระดับที่ฉันจะกำราบได้ง่ายๆ เสียที่ไหน เขาอยู่ในระดับที่ห่างจากฉันลิบลับเลยต่างหากล่ะ! เธอยังบอกว่าถ้าเจอหน้าจะชกเขาซักหมัดเพื่อเป็นการแก้แค้นอีก ปรากฏว่าเขายังไม่ทันได้มองหน้าเธอชัดๆ ก็โยนเธอเข้าไปในกองขี้ฝุ่นแล้ว…”
“นายอยากตายนักรึไง?”
………..
หลังจากเข้ามาในโลกมายาอีกครั้ง หลิงม่อแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกไปทันที
เขาล็อกตำแหน่งของสวี่ซูหานไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้เขาจึงยืนยันตำแหน่ง พร้อมกับค่อยๆ เข้าไปใกล้
โลกมายาค่อยๆ ล่มสลายลง ยิ่งเดินลึกเข้าไป ก็ยิ่งเหมือนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังที่กำลังสั่นสะเทือน
คราวนี้เสียงเคลื่อนไหวกลับเบาลงไม่น้อย แต่ภาพที่ทุกสิ่งรอบกายกำลังมลายหายไปอย่างเงียบเชียบอย่างนี้ กลับยังคงดูน่าตกใจไม่น้อย
เรื่องเท่านี้แน่นอนว่าสำหรับหลิงม่อนั้นไม่เป็นไร แต่สำหรับสวี่ซูหานที่อยู่ในส่วนลึกของโลกมายา เกรงว่านี่คงจะเป็นเหมือนฝันร้าย…
ทว่าเมื่ออวัยวะรับความรู้สึกทั้งห้าหลุดพ้นจากผลกระทบช้าๆ คลื่นดวงจิตของสวี่ซูหานก็ค่อยๆ สงบลง
“เพิ่งกลายพันธุ์ดวงจิตก็ถูกกระตุ้นซะแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่…”
ในใจคิดไป หลิงม่อก็เดินมาถึงหน้าประตูบานหนึ่งแล้ว
แอ๊ดด~~~
เพิ่งจะเปิดประตู เงาร่างหนึ่งก็กระโจนเข้าใส่เขาทันที
“เดี๋ยวกะ…”
“โครม!”
ความเร็วของสวี่ซูหานน่ากลัวมากจริงๆ หลิงม่อเพิ่งจะตะโกนออกไปได้คำเดียว ก็ถูกพุ่งชนจนร่างกระเด็นติดขอบประตูอย่างแรงทันที
“เร็วมาก!”
หลิงม่อรู้สึกจุกอก เหมือนถูกรถไฟฟ้าความเร็วสูงพุ่งชนกระเด็นติดกำแพงอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่ถึงแม้สวี่ซูหานจะเร็วมาก แต่เธอกลับขาดพละกำลัง บวกกับเธอไม่ได้ตั้งใจจะกัดเขาจากการกระโจนเข้าใส่ในครั้งนี้
“หลิงม่อ…”
ผู้ประกาศข่าวสวี่เงยหน้าขึ้นอย่างระแวดระวัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ “ช่วยด้วย…”
………..
หนึ่งนาทีต่อมา ในที่สุดสวี่ซูหานก็สงบลงภายใต้การปลอบใจจากหลิงม่อ
แต่พูดไปได้ไม่นาน จู่ๆ เธอก็จ้องหลิงม่อเขม็ง
ไม่รอให้หลิงม่อถาม ซอมบี้น้องใหม่ตัวนี้ก็คว้าแขนเสื้อเขาอย่างอดใจไม่ไหว แล้วพูดซ้ำไปซ้ำมา “ของกิน ขอของกินให้ฉัน!”
“เธออย่าลูบคลำตัวฉันสิ…” หลิงม่อบอก
หลังจากกลืนก้อนเหนียวหนืดลงไป สวี่ซูหานก็กอดท้องตัวเองอย่างพึงพอใจ แล้วไถลตัวกับกำแพงนั่งยองๆ ลงบนพื้น
“อา…รู้สึกดีจัง”
หลิงม่อจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง แล้วอดถามขึ้นไม่ได้ “แค่นี้เองหรอ?”
“อะไร?” สวี่ซูหานเงยหน้า แล้วถามอย่างสงสัย
“เธอไม่รู้สึกว่าร่างกายเธอมีอะไรแปลกไปหรอ?” หลิงม่อขมวดคิ้วถามทันที
จากประสบการณ์ “การให้อาหาร” ของเขา หลังจากที่ซอมบี้ธรรมดากลืนกินก้อนเหนียวหนืด ล้วนต้องเกิดปรากฏการคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันทีเพราะได้รับเชื้อไวรัสในปริมาณที่มหาศาล
แต่ท่าทางสงบนิ่งของสวี่ซูหานในตอนนี้ กลับดูเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากในสายตาของหลิงม่อ
“มีเรื่องอย่างนั้นด้วยหรอ?”
สวี่ซูหานลองสัมผัสรู้ถึงร่างกายตัวเองอย่างจริงจัง แล้วจู่ๆ สีหน้าเธอก็แปลกไป
“เป็นอะไรไป?” หลิงม่อรีบถาม
“พอนายพูดอย่างนี้…ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้สูญเสียอะไรบางอย่างที่สำคัญมากไป…” สวี่ซูหานพึมพำ
ดูจากสีหน้าเธอ หลิงม่อก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง เขาถอนหายใจ แล้วยื่นมือไปตบไหล่เธอเบาๆ “อีกหน่อยชินแล้วก็จะดีเอง…”
“พูดง่ายนะ…” สวี่ซูหานนั่งลงกับพื้นไปเลย เธอยกสองแขนกอดเข่า แล้วเกยคางข้างบน “ฉันกลับไปเป็นคนไม่ได้แล้ว แถมยังกลายเป็นจอมตะกละอีก…”
—————————————————————————–