แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 796 บันทึกตอนที่ 2 : นางเงือกในบึงน้ำสีดำ
บทที่ 796 บันทึกตอนที่ 2 : นางเงือกในบึงน้ำสีดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากพูดจบ เด็กสาวก็ทำท่าเหมือนเตรียมเฉือนมีดลงมาได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มของเธอยังคงดูสดใสไร้เดียงสา แต่ท่าทางลับใบมีดกับส้อมและใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยต่อ กลับทำให้เธอดูน่ากลัวอย่างไม่สามารถบรรยายได้ เปลวเทียนสีขาวไหวไปไหวมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นลิ้นสีแดงของเธอที่แลบออกมาเลียริมฝีปากอย่างห้ามใจไม่อยู่
“เธอจะถามอะไร…” ภาพที่เห็นทำให้สวี่ซูหานตกใจผวาจนตัวสั่น ไม่คิดเลยว่าในฐานะซอมบี้ เธอกลับกลัวหัวหดในเวลาอย่างนี้…ความจริงหากไม่ได้ถูกมัดติดกับโต๊ะ เธอคงจะวิ่งหนีเตลิดไปนานแล้ว ถึงแม้จะอยู่ในร่างไก่งวงก็ตาม…
“คิกคิก เลือกได้ฉลาดมาก” เด็กสาวยังคงเสียงวัยเยาว์ไว้ แต่เสียงของหัวเราะของเธอกลับชั่วร้ายขัดกับภาพลักษณ์
“พูดเหมือนฉันมีทางเลือกอื่นอย่างนั้นแหละ…” สวี่ซูหานอดพึมพำในใจไม่ได้
เด็กสาวคนนั้นแสยะยิ้มและเลียริมฝีผากแผล็บๆ จากนั้นเธอก็ถามคำถามแรก “ทำไมพี่ต้องมาที่นี่ด้วยล่ะ?”
“นี่คือคำถามของเธอหรอ?” เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ปิดบังอยู่แล้ว สวี่ซูหานจึงรีบตอบทันที “ฉันมาตามหาคน”
“ตามหาคนหรอ…คิกคิก…ทุกปีจะมีคนถูกพาเข้ามาในป่าสีนิลลูกนี้ แต่ไม่เคยมีใครมีชีวิตรอดออกไป…ที่นี่เป็นโลกที่ถูกปิดตาย เป็นโลกของคนผู้นั้น และเรื่องเล่าของพวกฉันก็จะถูกถ่ายทอดออกไปข้างนอกนั่น เพื่อล่อลวงให้คนมากมายเข้ามาที่นี่…คนที่พี่จะตามหาก็จะถูกขังไว้ในนี้เหมือนกัน สุดท้าย คนผู้นั้นก็จะเป็นคนสร้างเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยคำโกหกให้แก่เขา…ส่วนพี่ พี่ก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”
เด็กสาวจ้องพิจารณาสวี่ซูหานด้วยสายตาประหลาด พร้อมกับพูดเว้นวรรคเป็นช่วงๆ
ท่าทางอย่างนี้ทำให้สวี่ซูหานเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาทันที เหมือนเธอกำลังมองหาตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการลงมีด…
“คนผู้นั้น…”
“ใช่แล้ว พี่เป็นผู้มาจากโลกภายนอก อาจจะเคยได้ยินชื่อของเขามาบ้าง คนที่พี่จะตามหา ตอนนี้น่าจะอยู่ในที่พักของเขานั่นแหละ” เมื่อเด็กสาวพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ น้ำเสียงของเธอก็ฟังดูลึกลับขึ้นมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที “เขาก็คือ…”
“เอื๊อก…”
สวี่ซูหานกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะเดียวกันหูของเธอก็ผึ่งเต็มที่เพื่อรอฟังคำตอบ
“ฮาน กริมส์ไวลด์!” เด็กสาวพูดน้ำเสียงจริงจัง
………..
“ช่างเป็นโลกที่เต็มไปด้วยช่องโหว่มากมายแต่ก็สมบูรณ์แบบอย่างน่าประหลาด…เอาชื่อแฮนส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (นักเขียนชาวเดนมาร์คผู้โด่งดัง เจ้าของนิทานเรื่องเงือกน้อย กับลูกเป็ดขี้เหร่) พี่น้องตระกูลกริมส์ (นักเขียนนิทานพื้นบ้านแนวสยองขวัญผู้มีชื่อเสียง) และชื่อของออสการ์ ไวลด์ (นักเขียนฝีปากคมคาย มองโลกทั้งในมุมที่ขมขื่นและชวนหัวเราะ) มารวมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ถือเป็นการรวมศักยภาพของราชาแห่งนิทานวัยเด็กเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว…” หลิงม่อพูดขึ้น
“ไม่ต้องแทรกเสียงบรรยายเพิ่มเติมให้ฉันก็ได้นะ ถ้าฉันโกรธฉันกัดนะจะบอกให้! อีกอย่าง…นายทำเหมือนเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี…”
“หึหึ เมื่อก่อนตอนที่ฉันเล่านิทานเด็กให้เย่เลี่ยนฟัง เธอซาบซึ้งจนยอมยกอมยิ้มให้ฉันหมดเลยนะ…”
“ถึงแม้ฉันจะกลายพันธุ์แล้ว แต่ก็ยังรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจอะไรเลย…ตอนนั้นนายตั้งใจรังแกเธอต่างหากใช่ไหมล่ะ”
“จิ๊ มันเป็นวิธีแสดงความรู้สึกดีอย่างหนึ่งของเด็กผู้ชาย ก็เหมือนกับการแกล้งเปิดประโปรง แกล้งขู่ด้วยหนอนบุ้ง แกล้งแย่งของของเธอไปอะไรทำนองนั้นแหละ…” หลิงม่อแก้ตัว
สวี่ซูหานเบิกดวงตาแดงก่ำกว้าง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยพูดว่า “นี่นายกำลังบอกวิธีรังแกเธอมากกว่าเดิมอยู่นะ!”
………..
ผ่านไปหลายวินาที สวี่ซูหานที่กลายเป็นไก่งวงไปแล้วก็เอ่ยปากทำลายความเงียบ “ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย…”
“เงียบ! คนที่มาจากโลกเน่าเฟะมีสิทธิ์อะไรมาพูดอย่างนี้…เหอะ ดูเหมือนพี่จะตัดสินใจได้แล้วสินะ? ในเมื่อพี่ไม่กลัวอันตรายที่อยู่ตรงหน้า ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่เกลี้ยกล่อมพี่อีกต่อไปแล้ว” เด็กสาวกระตุกมุมปากขึ้น พลางบอก
“เดี๋ยวก่อน! ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!” สวี่ซูหานตะโกนร้อง
แต่เด็กสาวกลับโยนคำถามที่สองออกมาอย่างรวดเร็ว “คนที่พี่ตามหาอยู่ เขาชื่ออะไร?”
สวี่ซูหานอ้าปากตอบ “เขาชื่อหลิงม่อ”
“ฟังดูเหมือนเป็นชื่อของผู้ชาย…พี่ต้องบรรยายรูปร่างหน้าตาของเขาด้วย” เด็กสาวบอก
“รูปร่างหน้าตา?”
ตอนนี้ความคิดของสวี่ซูหานไม่ค่อยแล่นนัก
เธอรู้เพียงว่าตัวเองหิวมาก และเพื่อเติมกระเพาะให้เต็ม เธอต้องตามหาหลิงม่อให้เจอ
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่อยู่ในสมองของเธอก็มีแต่ความคิดวุ่นวายที่เหมือนกับเชือกสายป่านที่พันกันยุ่งเหยิง…
เธอพอนึกภาพออกว่าหลิงม่อรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะให้บรรยายออกมา…
“ฉัน…ฉันไม่รู้…เธอเปลี่ยนคำถามได้ไหม?” สวี่ซูหานพูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“……”
หนึ่งนาทีผ่านไป สวี่ซูหานกลับมาอยู่ใต้ต้นใหญ่ต้นเดิมอีกครั้ง
เด็กสาวยื่นตะกร้าในมือเธอให้สวี่ซูหานด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วบอกว่า “ใช้เจ้านี้ข้ามไปสิ” พูดจบ เธอก็หัวเราะแปลกๆ “ขอให้พี่เดินทางราบรื่นนะ…คิกคิกคิก…
สวี่ซูหานรับตะกร้ามาอย่างงงๆ…
ตะกร้าที่ดูไม่ใหญ่แต่พอวางลงไปในบึงน้ำ มันกลับขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า และมีพื้นที่มากพอให้คนหนึ่งคนนั่งได้พอดี
หลังจากลอยตามกระแสลมไปข้างหน้าระยะหนึ่ง สวี่ซูหานจึงเพิ่งค้นพบอย่างตื่นตะลึง ว่าความจริงแล้วบึงน้ำแห่งนี้กว้างใหญ่มาก…
ในบึงน้ำสีดำที่มีฟองอากาศผุดขึ้นมาอยู่ตลอด นอกจากหัวกะโหลกแล้ว ก็ยังมีต้นไม้เน่าผุพังให้เห็นอยู่ทั้งตื้นและลึก บางครั้งก็มีศีรษะคนมุดออกมาจากโคลน แล้วจ้องมาทางสวี่ซูหานด้วยสายตาเย็นชา
นอกจากนี้เธอยังได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ดังขึ้นมาจากใต้บึงน้ำ และจับใจความได้อย่างชัดเจน…
“มนุษย์…”
“ฮิฮิ…”
“เด็กสาวที่น่าสงสาร…”
สวี่ซูหานอดยกแขนขึ้นกอดอก และหดตัวเข้าไปในตะกร้าให้มากที่สุดไม่ได้
ประสบการณ์อย่างนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่แย่มากสำหรับเธอ แต่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีบรรยากาสแปลกประหลาดอย่างนี้ ความคิดของเธอกลับก้าวกระโดดไปไกลไม่น้อย
สภาวะที่รู้สึกเหมือนว่างเปล่าสุดๆ ในตอนแรก กลับกำลังค่อยๆ หายไป…
“หลิงม่อ นายวางใจเถอะ ฉันจะไม่มีทางปล่อยให้อาหารของฉันหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน…”
ขณะที่สวี่ซูหานลอบตัอสินใจอย่างมุ่งมั่น ทันใดนั้น เบื้องหน้าก็มีเสียงน้ำดังขึ้น
สวี่ซูหานสะดุ้ง เธอรีบคว้าขอบตะกร้าแล้วชะโงกดูข้างหน้า
ผิวน้ำมีคลื่นเกิดขึ้นอย่างชัดเจน สวี่ซูหานยื่นหน้าออกไป แล้วมองลงไปใต้น้ำด้วยความสงสัยปนหวาดกลัว
ฟุ่บ!
เงาร่างดำเงาหนึ่งพลันโฉบผ่านหน้าเธอไปอย่างเฉียดฉิว สวี่ซูหานตะโกนร้องเสียงแหลมออกมาทันที
“ปะ…ปลาตัวใหญ่มาก!”
เธอล้มนั่งลงกับพื้นตะกร้า และคลานถอยหลังไปตรงกลางอย่างรวดเร็ว
แต่ตะกร้าใหญ่เพียงเท่านี้ ถึงแม้จะไม่ตั้งใจมอง แต่หางตาของเธอก็ยังเหลือบเห็นผิวน้ำด้านข้างได้อย่างชัดเจน
ชั่วขณะหนึ่ง บึงน้ำแห่งนี้ตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบทันที…
“ไปแล้วหรอ?”
ความหวาดกลัวเมื่อกี้เพิ่งจะหดหายไปเล็กน้อย แต่เสียง “ซ่า” ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อน้ำสีดำข้างหน้ากลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นสูง เงาร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ
ร่างกายท่อนบนของคนคนนี้ไม่ได้ต่างจากมนุษย์เลย แต่ร่างกายท่อนล่างกลับเป็นหางปลาสีดำ…ผมลอนสีดำยาวสยายไปจนถึงเอวของเธอ ขณะเดียวกันเส้นผมเหล่านั้นก็ได้บดบังสองจุดสำคัญบนร่างกายท่อนบนเธอไว้พอดี…เธอหน้าตาสะสวยมาก เครื่องหน้าทั้งห้างามละเอียดราวหุ่นขี้ผึ้ง ตอนนี้เธอกำลังแหวกว่ายไปมาอยู่บนผิวน้ำอย่างงดงาม พร้อมกับจ้องพิจารณาสวี่ซูหานด้วยสายตาเย็นชา
“นะ…นางเงือก…” สวี่ซูหานนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในตะกร้า
จ๋อม…
นางเงือกสะบัดหาง แหวกว่ายมาถึงด้านหน้าตะกร้า และคว้าด้ามจับตะกร้าไว้อย่างรวดเร็ว
“ผู้ท่องโลกวัยเยาว์เอ๋ย เจ้ากำลังตามหาอีกฟากน้ำหรือ?” เสียงของนางเงือกไพเราะชวนฟังมาก ทุกคำพูดหลุดออกมาจากปากเธอราวกับตัวโน๊ต ทุกประโยคถูกถ่ายทอดออกมาดังท่วงทำนองอันเสนาะหู เพียงแต่สีหน้าของเธอกลับดูเยือกเย็นชวนขนลุก ขัดกับรูปลักษณ์ของเธอเล็กน้อย
สวี่ซูหานพยักหน้าอย่างหวาดกลัว “ชะ…ใช่แล้ว…”
“หึหึ ทำไมต้องขึ้นฝั่งด้วยล่ะ?” นางเงือกเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วเอ่ยอย่างรำลึกความหลัง “ข้าเคยพบผู้ท่องโลกคนหนึ่งที่จมน้ำที่นี่ จากนั้นก็ตามเขาขึ้นฝั่งไป…เมื่อข้าแปลงหางปลาเป็นเท้าทั้งสองข้างเพื่อเต้นรำให้เขาดู สายตาที่เขามองข้านั้นช่างลึกซึ้ง…”
“คือว่า ฉันค่อนข้างรีบ…” สวี่ซูหานพูดเสียงอ่อย
นางเงือกเหมือนไม่ได้ยิน เธอยังคงเล่าต่อไป “ทว่า จุดจบของความสวยงามมักมีความทุกข์รออยู่เสมอ…คืนนั้นเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน เขาโอบกอดข้า และหมายจะจุมพิตข้า…”
พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ สีหน้าของนางเงือกก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ และอ้าปากกว้างทันใด
ซี่ฟันแหลมคมมากมายอยู่ในปากของเธอ ขณะเดียวกันหางปลาของเธอก็ตีผิวน้ำไปมา “ข้าก็แค่มีฟันที่มากกว่าและยาวกว่า และเมื่อโดนน้ำ หรือเมื่อตื่นเต้นมากๆ ขาทั้งสองข้างของข้าก็จะกลับไปเป็นหางปลาเท่านั้นเอง…แต่เขากลับกล้ารังเกียจข้า! ยังบอกข้าว่าคนกับปลาไม่มีทางลงเอยกันได้ด้วยดี สุดท้ายเขาถึงขั้นปล่อยแมวใส่รองเท้าบูท (puss in boots) มาไล่ล่าข้า เพื่อให้ข้ากลับมาอยู่ในบึงน้ำเสีย!”
เธอหันขวับมาจ้องสวี่ซูหานเขม็ง “เจ้าล่ะ! คนที่เจ้าตามหาอยู่ เขาคิดอย่างนี้เหมือนกันหรือไม่! ตอบข้ามา!”
—————————————————————————–