แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 798 เกียรติ์ในฐานะสัตว์ประจำชาติล่ะ
บทที่ 798 เกียรติ์ในฐานะสัตว์ประจำชาติล่ะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหล่าเจิ้งถอนหายใจ แล้วมองหลิงม่อด้วยสีหน้ายุ่งๆ “เพราะพวกเราเจอตอเข้าน่ะสิ อวี่เหวินซวนบอกว่าเขาตัดสินใจเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ ต้องถามความเห็นนายก่อน ดังนั้นที่พวกฉันมาตามหานาย ก็เพราะเรื่องนี้นั่นแหละ”
หลังจากหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เขาก็ใช้ฝ่ามือยันเข่าลุกขึ้นยืน แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันหวังว่านายจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ทันทีที่ยอมรับข้อตกลง ไม่ว่าจะกับพวกฉัน หรือฟอลคอนที่ 2นี่ล้วนเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก นายเองก็คงไม่อยากเห็นตัวเอง และเพื่อนพ้องของนายดิ้นรนอย่างยากลำบากอยู่ท่ามกลางอันตรายจากซอมบี้ใช่ไหมล่ะ? ถึงแม้จากสถานการณ์ปัจจุบัน มนุษย์ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ แต่เหล่าซอมบี้ที่กำลังวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วจะเหลือเวลาให้พวกเราอีกนานแค่ไหนกัน?”
สีหน้าของเขาจริงจังขึ้น “ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ซักวันมนุษย์ต้องถูกกำจัดจนสิ้นไปจากโลกนี้แน่…ก่อนที่จะเป็นแบบนั้น พวกเราต้องทำอะไรซักอย่าง เทียบกับซอมบี้ สิ่งที่มนุษย์เราได้เปรียบมากที่สุดก็คือสติปัญญา แล้วยังมีสังคมอารยะที่หลงเหลือทรัพยากรไว้ให้เรามากมาย แต่ว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง คนธรรมดาแม้แต่เสบียงธัญพืชยังหาไม่เจอ ยิ่งเป็นคลังเก็บอาวุธจำนวนมากยิ่งทำได้แค่ฝัน…พวกเราต้องรวมกลุ่มกัน มีเพียงวิธีเดียวคือต้องรวบรวมพละกำลังของทุกคนเข้าด้วยกัน ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตต่อไปได้!”
หลังพูดจบ เขาก็จ้องหน้าหลิงม่อด้วยแววตามุ่งมั่น และรอคำตอบจากเขาเงียบๆ
หลังจากความเงียบชั่วอึดใจผ่านไป คนที่เอ่ยปากขึ้นมาเป็นคนแรก กลับเป็นสวี่ซูหานที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างหลังหลิงม่อ
“ซะ…ซอมบี้…อยู่ร่วมกับมนุษย์ไม่ได้หรอ?” สวี่ซูหานถามเสียงเบา เสียงของเธอสั่นเทาเล็กน้อย ขณะเดียวกันศีรษะก็ยิ่งก้มต่ำลงกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อเหล่าเจิ้งและหวังหลิ่นมองมาทางเธอ ตัวเธอก็เริ่มสั่นเบาๆ อย่างควบคุมไม่อยู่
“อยู่ร่วมกัน?” เหล่าเจิ้งขมวดคิ้ว แล้วบอกว่า “จะเป็นไปได้ไง? ซอมบี้โจมตีมนุษย์ นั่นคือสัญชาตญาณของพวกมัน และพวกฉันก็ไม่อาจยอมรับการมีตัวตนของสิ่งมีชีวิตที่ทำร้ายมนุษย์อย่างนี้ได้ นับตั้งแต่วินาทีที่ซอมบี้ปรากฏขึ้น พวกมันก็ได้กลายเป็นศัตรูโดยธรรมชาติของมนุษย์ไปแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังคิดจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ นี่มัน…”
เขามองหน้าหลิงม่อเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็อดกลั้นไม่พูดอะไรต่ออีก
ถ้าพูดต่อไป สิ่งที่ออกจากปากเขาอาจไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก…
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น หลิงม่อก็พอเดาได้ว่าเขาจะพูดอะไร…
โง่เขลา! ไร้เดียงสา!
บางทีเขาอาจนึกโกรธอยู่ในใจก็ได้…
ผู้รอดชีวิตไม่มากก็น้อยต้องมองดูคนใกล้ตัวถูกซอมบี้ฉีกร่างตายไปต่อหน้าต่อตา และหลายคนในนั้นก็หนีเอาชีวิตรอดมาจากเงื้อมมือของเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องของตัวเองกันทั้งนั้น…ซอมบี้ชอบโจมตีมนุษย์โดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว แล้วมนุษย์จะไม่โกรธแค้นซอมบี้ได้อย่างไร?
ความคิดที่จะอยู่ร่วมกัน สำหรับผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่เรื่องอย่างนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ยังเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากด้วย
“เฮ้อ…” หลิงม่อลอบถอนหายใจ
ตอนนี้พวกเย่เลี่ยนไม่ได้จู่โจมมนุษย์สุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น การเปิดเผยตัวตนของพวกเธอก็เป็นจุดเริ่มต้นของความวินาศครั้งใหญ่
เหล่าผู้รอดชีวิตอาจตั้งใจหลบเลี่ยงซอมบี้สัตว์ป่าพวกนั้นไปได้ แต่ซอมบี้ที่สามารถแฝงตัวเข้ามาอยู่ในกลุ่มมนุษย์ได้อย่างไร้ร่องรอยเหมือนพวกเย่เลี่ยน กลับจะถูกพวกเขามองว่าเป็นระเบิดเวลา และภายใต้ความหวาดกลัวและโกรธแค้น คงเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาจะทำอะไรบ้าง…
แต่หวังหลิ่นที่ยืนอยู่อีกด้านกลับหลบสายตาออกไป สีหน้าดูผิดปกติเล็กน้อย
เธอชำเลืองมองหลิงม่อด้วยหางตาหลายครั้ง แต่ผลที่ออกมากลับทำให้เธอผิดคาดเล็กน้อย
หลิงม่อไม่ได้ดูโกรธเคือง และไม่ได้เผยสีหน้าที่ผิดไปจากเดิมออกมาเลย…
“ตั้งแต่วันที่เราตามหาเย่เลี่ยนเจอ เราก็ทำใจเตรียมรับมือกับเรื่องอย่างนี้แล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะมองซอมบี้อย่าไร แต่สำหรับเรา พวกเธอไม่ได้เป็นแค่ซอมบี้…ถึงแม้ทุกคนจะไม่ยอมรับพวกเธอ ฉันก็จะเป็นคนสร้างพื้นที่ที่เป็นของพวกเธอขึ้นมาเอง…เรื่องนี้ ไม่มีอะไรให้คิดมากอีกแล้ว!”
หลิงม่อถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เรื่องนี้…ต้องขอโทษด้วย ฉันรับปากนายไม่ได้เหมือนกัน ทั้งหมด รอให้กลับถึงฟอลคอนที่ 2 แล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
สีหน้าเหล่าเจิ้งแสดงออกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน ทว่าพอได้ยินว่าหลิงม่อยังคิดจะกลับไปยังฟอลคอนที่ 2 และให้โอกาสพวกเขาได้เจรจากันอีกครั้ง เขาจึงฝืนยิ้มออกมา “อย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน!” เขาเดินเข้ามา แล้วยื่นมือมาทางหลิงม่อ “ฉันเป็นตัวแทนในการเจรจาครั้งนี้ หวังว่าข่าวที่ฉันเอากลับไปด้วย จะเป็นข่าวดีนะ…เอาเป็นว่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“เช่นกัน” หลังจากปล่อยมือออกจากกัน หลิงม่อก็ถามขึ้นอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นที่พวกนายมานิพพาน ก็เพื่อจะคุยเรื่องการร่วมมือกันงั้นหรอ?”
หวังหลิงพยักหน้าบอกว่า “ใช่น่ะสิ! ระหว่างที่สะกดรอยตามพี่ พวกฉันก็พบว่าเส้นทางที่พี่ไปมุ่งหน้าไปยังนิพพาน ก็เลยทำทั้งสองเรื่องไปพร้อมๆ กันเลย…ปรากฏว่าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ พวกเราก็บังเอิญเจอเข้ากับคนของนิพพานสำนักงานใหญ่เข้าพอดี ก็เลยจำเป็นต้องสะสางเรื่องของนิพพานก่อน”
“ใช่ แต่ว่าสมาชิกสองคนนั้นมีภารกิจต้องทำ พวกเราก็เลยเสียเวลาอยู่ที่หนึ่งวัน เพื่อช่วยพวกเขาจัดการปัญหาบางอย่าง จะว่าไปแล้ว วิธีการพวกนั้นของนิพพานทำให้พวกเราได้เปิดโลกทัศน์กว้างขึ้นจริงๆ สถานที่อย่างนี้ กลับกลายเป็นโรงเลี้ยงซอมบี้ระดับสูงไปได้ พวกเขาจับซอมบี้มากมายมาที่นี่ แล้วปล่อยให้พวกมันฆ่ากันเอง กระทั่งมัดตัวซอมบี้ที่ค่อนข้างแกร่งเอาไว้ เพื่อบังคับให้พวกมันกลายเป็นอาหาร…พอได้เวลา พวกเขาก็จะมาเอาเลือดและหัวเชื้อไป..”
เหล่าเจิ้งบอก
“หัวเชื้อ?” หลิงม่อจับคำศัพท์แปลกใหม่สองคำนี้ได้อย่างรวดเร็ว จึงถามเขาว่า “มันคืออะไร?”
“อ้อ…ก็ไอ้ที่อยู่ในสมองของซอมบี้…” หวังหลิ่นอธิบาย
ก้อนเหนียวหนืดน่ะหรอ? ทว่าแต่ละคนก็มีคำเรียกเจ้าสิ่งนี้แตกต่างกันไป ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร
หลิงม่อเหลือบมองสวี่ซูหาน แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นอย่างสนใจว่า “จำนวนของหัวเชื้อพวกนั้น…มีเยอะไหม?”
เหล่าเจิ้งพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก “เยอะสิ”
“งั้นหรอ…แล้วพวกมันอยู่ที่ไหน่ล่ะ?” หลิงม่อถามอีกครั้ง
“อยู่กับผู้หญิงคนนั้น” หวังหลิ่นตอบอย่างอารมณ์เสีย ดูท่าทาง เหมือนเธอจะไม่ค่อยชอบผู้หญิงคนนั้นเท่าไหร่…
หลิงม่อกระตุกมุมปาก เผยรอยยิ้มแฝงเลศนัยออกมา…
“นี่ สองคนนั้นเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว!” เฮยซือร้องเตือน
“ฉันสัมผัสได้แล้ว” หลิงม่อตอบในใจ
“แล้วทำไมนายยังไม่รีบไปอีกล่ะ” เฮยซือถาม
“ไม่ต้องรีบ เธอรอดูเรื่องสนุกไปเถอะ” หลิงม่อบอก
เฮยซือชะงักไป ทว่าไม่นานเธอก็เข้าใจ
หลิงม่อเปลี่ยนแผนแล้ว! ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีเรื่องสนุกให้ดูแล้วน่ะสิ!
“คิกคิก ฉันไปเรียกอวี๋ซือหรานก่อน…” เฮยซือพูดขึ้นอย่างรู้งาน
หลิงม่อยักคิ้วแล้วบอกว่า “พวกเธอสองคนนี่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ…”
“ไม่ใช่พวกฉันสองคนซักหน่อย! เสี่ยวป๋ายก็กำลังฟังอยู่เหมือนกันนะ” เฮยซือหลุดปากบอก
“…เจ้าหมีแพนด้าตัวนั้นก็เป็นไปกับเขาด้วยงั้นหรอ ยังเหลือเกียรติ์ในฐานะสัตว์ประจำชาติอยู่บ้างไหมเนี่ย?” หลิงม่อบ่น
เฮยซือกลับพูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า “ก่อนกลายร่างมันก็เป็นแค่เจ้าหมีอ้วนที่รู้จักแต่ปีนต้นไม้แทะท่อนไผ่ แล้วก็กลิ้งไปกลิ้งมาเท่านั้น มันเคยมีเกียรติ์อะไรที่ไหนกัน!”
“นี่ อย่ามาทำลายภาพพจน์ของสัตว์ประจำชาตินะ!”
………..
“เธอมั่นใจหรอว่าเราถูกแผนล่อเสือออกจากภูเขาหลอกน่ะ?” บนบันได เงาร่างของคนสองคนกำลังวิ่งพุ่งขึ้นข้างบนด้วยความเร็วสูง ขณะเดียวกัน เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้น
หญิงสาวคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไม่ว่าคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ นั่นจะเป็นใคร เป้าหมายของมันก็คือล่อพวกเราออกไปให้ไกลจากที่นี่เท่านั้น แม้แต่ตอนที่ฉันจงใจเผยช่องโหว่ให้เห็น คนคนนั้นก็ยังไม่ยอมเผยตัวออกมา นั่นยังชัดเจนไม่พออีกหรอ?”
“ฉันก็แค่ถาม…” ชายหนุ่มถอนหายใจ
“ต้องเป็นเจ้าคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วหนีไปคนนั้นแน่ๆ ส่วนเหตุผลที่หลอกพวกเราให้ออกไป ความจริงก็ไม่ได้เดายากเลย จากที่ฉันดู สองคนนั้นไม่มีปัญหาจัดการผู้บุกรุก อีกฝ่ายก็เลยฉวยโอกาสหลบหนีไป!สถานที่แห่งนี้กว่าพวกเราจะสร้างขึ้นมาได้ต้องลงทุนไปตั้งเท่าไหร่ หากถูกเปิดเผย อีกหน่อยจะทำภารกิจก็คงกลายเป็นเรื่องยาก!”
สำหรับชายหนุ่ม เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็รู้สึกว่าคำพูดของเธอฟังดูมีเหตุผล จึงทำได้เพียงหยักหน้าเห็นด้วย และไม่ออกความเห็นอะไรอีก
“เหอะ! สำหรับพวกนั้น ที่นี่จะถูกเปิดเผยหรือไม่พวกนั้นก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ดูท่าทางสบายๆ ของพวกนั้นสิ…แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าห้ามพวกเรายื่นมือเข้าไปยุ่งอีก! แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ฉันจะดูซิว่าพวกนั้นจะห้ามฉันยังไงอีก!” หญิงสาวพูดอย่างเกรี้ยวกราด
ไม่นาน ทั้งสองก็วิ่งมาถึงชั้นสี่ แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้พวกเขาอึ้งค้างไปชั่วขณะ
“โลกมายาล่ะ?” ชายหนุ่มมองบันไดอย่างตกตะลึง
แต่หญิงสาวกลับได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วกัดฟันกรอดบอกว่า “เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ด้วย! เราไปกันเถอะ!”
ตึก ตึก ตึก…
ได้ยินเสียงเดินขึ้นบันไดดังมา หวังหลิ่นขมวดคิ้ว และทำสีหน้ารำคาญสุดๆ ส่วนหลิงม่อกลับยืนล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วมองไปทางบันไดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เหล่าเจิ้งมองหน้าหลิงม่ออย่างกระอักกระอ่วน และลองพูดขึ้นว่า “คือว่า…สองคนที่กำลังขึ้นมาเป็นสมาชิกของนิพพาน ถ้าหากพวกเขาเห็นพวกนาย…”
พูดตรงๆ ก็คือ ความจริงหลิงม่อกับสวี่ซูหานถือเป็นผู้รุกราน!
แต่ในจุดที่เขายืนอยู่ การจะพูดอะไรทำนองนี้ออกไปกลับเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจมาก…
ดังนั้นเหล่าเจิ้งจึงทำได้เพียงใช้สายตาทำนองว่า “ฉันรู้ว่านายเข้าใจ” ไปให้หลิงม่อ และได้แต่หวังว่าเขาจะตอบสนองอะไรกลับมาบ้าง…
“วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือพวกนายไปซ่อนตัวก่อน พอฉันรับหน้าสองคนนั้นเสร็จแล้วค่อยคิดหาวิธีส่งพวกนายออกไป หลังจากนั้นพวกเราก็ค่อยทำเป็นว่าบังเอิญเจอกันระหว่างทาง หรือพวกนายจะรอพวกฉันอยู่ที่ไหนซักที่ก่อนก็ได้ เลือกเอาทางไหนก็ได้ที่ทุกคนสบายใจ…” เหล่าเจิ้งคิดในใจ
“อ้อ…” ในที่สุดหลิงม่อก็รับคำ เขาครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือ”
“ชิท!”
เหล่าเจิ้งแทบจะหลุดปากสบถออกมา เขาเกือบล้มหน้าทิ่มพื้นเลยทีเดียว
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่านายถือสาหรือไม่ถือสานะโว้ย!
อีกอย่างนายสรุปคำตอบออกมาอย่างนั้นได้ยังไง นายไปเข้าใจผิดตรงจุดไหนกันแน่!
“คือว่า…พี่น้องครับ…” เหล่าเจิ้งทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่ออีก แต่ฟังจากเสียงฝีเท้า สองคนนั้นได้เดินขึ้นมาถึงชั้นห้าแล้ว
เขายังคงอ้าปากค้างอยู่ ในขณะที่เงาร่างของสองคนนั้นพุ่งพรวดขึ้นมาจากบันไดแล้ว และกำลังยืนอึ้งจ้องพวกเขาทั้งสี่คนอยู่บนทางเดิน …
—————————————————————————–