แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 799 เห็นฉันเป็นผักกาดขาวหรือไง!
บทที่ 799 เห็นฉันเป็นผักกาดขาวหรือไง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างเงียบไปหลายวินาที ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองก่อนเป็นคนแรก
พรึ่บ!
เธอยกปืนขึ้นเล็งหลิงม่อ ในขณะที่ขมวดคิ้วถามเหล่าเจิ้งกับหวังหลิ่น “เกิดอะไรขึ้น?”
ท่าทีของเธอ ทำให้เกิดบรรยากาศสุ่มเสี่ยงขึ้นมาทันที
เหล่าเจิ้งกระวนกระวาย! สถานการณ์แย่ลงอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ แต่เขากลับไม่รู้ว่าหลิงม่อคิดอะไรอยู่กันแน่ กระทั่งถูกปืนเล็งอยู่อย่างนี้ เขาก็ยังแค่ขมวดคิ้วเบาๆ และกลับไปมีสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว เหล่าเจิ้งเห็นอย่างนี้ก็ยิ่งสติแตก เขาไม่ถือสาอะไรเลยจริงๆ สินะ!
แต่ไม่นานเขาก็เลิกคิดเรื่องนี้ไป เพราะต้องเริ่มคิดหาทางแก้ไขปัญหาที่สำคัญกว่า : เรื่องนี้…จะจัดการอย่างไรดี?
ผู้หญิงคนนั้นไม่ถามว่าสองคนนี้เป็นใคร อ้าปากก็ถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งความหมายของเธอก็คือเป็นการตำหนิที่พวกเขาทำงานไม่รอบคอบทางอ้อม ส่วนที่เธอยกปืนขึ้นเล็ง ก็เป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนอย่างตรงไปตรงมา : สองคนนี้เป็นผู้บุกรุก ถ้าหากพวกนายไม่คิดจะลงมือ ฉันจะเป็นคนจัดการเอง
ตรงไปตรงมา และไม่ไว้หน้าเลยซักนิด!
แต่หากพูดกันตามความจริงแล้ว เธอก็มีเหตุผลที่ทำอย่างนั้น!
ยิ่งกว่านั้น สถานะสมาชิกของนิพพาน ก็ทำให้เหล่าเจิ้งรับมือกับปัญหานี้ได้ยากขึ้น
เขากับหวังหลิ่นมาขอความร่วมมือจากนิพพาน ไม่ได้มาสร้างความขัดแย้งกับพวกเขา
ถึงแม้ชายหญิงสองคนนี้จะเป็นแค่สมาชิกธรรมดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับพวกเขาก็ได้
ความจริงแล้วเป็นเพราะหวังหลิ่น พวกเขาถึงได้ทำตัวตามสบายกับสองคนนั้นมากพอแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถมองข้ามปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในสถานการณ์อย่างนี้ไปได้!
ผู้ชายคนนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ใช่คนที่ยอมเสียเปรียบอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้เธอยังพอโอนอ่อนตามได้บ้าง แต่ตอนนี้พอเจอต้นตอปัญหาแล้ว เธอไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน!
แต่ในขณะเดียวกัน หลิงม่อก็เป็นคนที่เขาไม่อาจขัดแย้งด้วยได้
เขาไม่ได้เป็นแค่พี่เขยของหวังหลิ่นอย่างเดียว แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการเจรจากับฟอลคอนที่ 2 อีกด้วย!
ไม่ว่าจะทางอารมณ์หรือเหตุผล เหล่าเจิ้งไม่สามารถหักหลังหลิงม่อได้ทั้งนั้น
ยุ่งเหยิงจริงๆ! เรื่องชักจะยุ่งกันไปใหญ่แล้ว!
เหล่าเจิ้งจิตใจว้าวุ่น นี่มันเป็นการสร้างปัญหาให้เขาชัดๆ!
ทางนิพพานมีสมาชิกจำนวนมาก และผู้มีความสามารถพิเศษก็มีมากด้วยเช่นกัน จึงเป็นพละกำลังส่วนที่สำคัญมาก แต่ฟอลคอนที่ 2 มีความสามารถด้านการบินเหนือน่านฟ้า ซึ่งแค่จุดนี้ ก็ไม่อาจละทิ้งไปได้แล้ว…
“หลิงม่อเอ๋ยหลิงม่อ นายกำลังแกล้งฉันอยู่หรือไง…”
เหล่าเจิ้งถอนใจ ฝืนก้าวเดินออกไปข้างหน้า และยืนบังปากปืนของผู้หญิงคนนั้นเงียบๆ “คุณเหอ ความจริงนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…”
“เข้าใจผิด?”
ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะลดปืนลง ตรงกันข้าม เธอกลับเบนปากปืนออก และเล็งผ่านไหล่เหล่าเจิ้งไปที่หลิงม่อเหมือนเดิม “มีเรื่องเข้าใจผิดอย่างนี้ด้วยหรอ?”
“คือว่า…”
เหล่าเจิ้งพูดขึ้นอย่างอับจนหนทาง “ความจริงพวกเรารู้…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ผู้หญิงคนนั้นก็ทำหน้าอึ้งๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “นาย?”
“เจอกันอีกแล้วนะ” หลิงม่อยิ้มบาง แล้วพูดขึ้น
คราวนี้กลายเป็นเหล่าเจิ้งกับหวังหลิ่นที่แปลกใจ ทำไมสองคนนี้…ถึงได้รู้จักกัน?!
“ทั้งสองคน…” หวังหลิ่นเบิกตากว้าง แล้วมองหลิงม่อเชิงถาม
หลิงม่อพยักหน้า “เคยเจอกันไม่กี่วันก่อน เหมือนจะชื่อเหอ…เหอ…”
เขาพูดออกมาได้แค่แซ่ แล้วก็ชะงักไปเหมือนความจำสะดุด
ในหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ความขัดแย้งเล็กน้อยๆ และการเดิมพันที่ตกลงไว้กับผู้หญิงคนนี้ในตอนท้าย สำหรับหลิงม่อมันเป็นแค่เรื่องไม่สำคัญอะไรเลย
เมื่อกี้ตอนที่เขาได้ยินเสียงเธอแล้วจำได้ ก็เพราะเสียงแหลมๆ แสบแก้วหูที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ แต่เขาก็จำได้แค่ว่า “คนคนนี้เราเคยเจอ” และ “เธอเป็นคนของนิพพาน” เท่านั้น …
“เหอหงเยี่ยน!”
น้ำเสียงของหญิงสาวฟังดูโกรธขึ้ง
ความจริงเธอไม่รู้ชื่อของอีกฝ่ายเหมือนกัน แต่นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นสมาชิกใหม่นี่นา!ถึงแม้ท่าทางไม่รู้ผิดรู้ถูกของเขาจะทำให้เธอจำรูปร่างหน้าตาของเขาได้ แต่ก็ต้องยืนใกล้ๆ และมองดูดีๆ อย่างนี้ ถึงจะจำได้…
แต่อีกฝ่ายกลับลืมชื่อของเธอ และนั่นก็ทำให้เธอไม่พอใจ
หรืออย่างน้อย ถ้าจำไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่จำเป็นต้องแสดงออกมาด้วยวิธีอย่างนี้ด้วยหรอ!
เหอหงเยี่ยนเป็นคนนิสัยก้าวร้าวมาโดยตลอด และเธอก็ไม่เคยต้องอับอายอย่างนี้มาก่อน
ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าคนของค่ายกลางสองคนนั้นด้วยแล้ว!
เธอกระทั่งอดคิดอย่างโมโหไม่ได้ว่า หมอนี่อาจตั้งใจทำก็ได้…
คิดจะทำให้เธออับอายด้วยวิธีอย่างนี้งั้นหรอ?
สิ่งที่น่าโมโหที่สุด คือท่าทางของเขา!
สงบนิ่ง ยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้ม สายตาที่มองเธอนั้นเมินเฉยอย่างเห็นได้ชัด!
ปกติเวลาผู้ชายทั่วไปมองเธอ สิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตาหากไม่ใช่ความกลัว ก็เป็นสายตาโลมเลีย คนที่เคยมีเรื่องกับเธอ มักเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเธอ หรือแอบมองเธออยู่ไกลๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน อย่างน้อยเวลาคนอื่นเห็นเธอก็มักจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเสมอ แต่สายตาของเด็กหนุ่มคนนี้เวลามองเธอ กลับไม่ต่างอะไรจากมองผักกาดขาวเลยแม้แต่น้อย!
“บอกมา ทำไมนายมาอยู่ที่นี่?” เหอหงเยี่ยนคิดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเธอก็แฝงไปด้วยเพลิงโทสะ เธอหันปากปืนไปทางสวี่ซูหานเล็กน้อย แล้วถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”
ถามเสร็จ เธอก็แค่นเสียงเย็นชา “อย่าบอกนะว่านายออกมาทำภารกิจ ที่นี่เป็นถิ่นของทีมฉัน ถ้าหากนายไม่ได้จงใจตามหา ไม่มีทางที่จะมาถึงที่นี่ได้! อีกอย่าง ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ไม่มีผู้รอดชีวิตคนไหนออกมาข้างนอกในเวลาอย่างนี้ ยิ่งไม่มีทางวิ่งมาถึงที่นี่ได้!”
หลังพูดจบ เธอก็เบนปากปืนขึ้นเล็กน้อย เพื่อเล็งไปที่ศีรษะของหลิงม่อ “ถ้าเหตุผลนายไม่ดีพอ ฉันจะระเบิดหัวนายซะ!”
หลิงม่อโบกมือไปมา แล้วตอบว่า “เธอเป็นคนพูดออกมาทุกอย่างแล้ว ฉันจะพูดยังไงก็ฟังดูเหมือนเป็นข้อแก้ตัวอยู่ดี…”
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าไม่มีอะไรจะพูดงั้นสิ? ดี…” เหอหงเยี่ยนหัวเราะเย็นชา
“ลองฟังก่อนเถอะว่าเขาจะพูดยังไง…” จู่ๆ ชายคนนั้นก็พูดขึ้นอย่างลังเล
สายตาที่เขามองหลิงม่อ กลับไม่ได้แฝงไว้ด้วยความโกรธแค้นอะไร กลับเป็นเวลาที่พูดกับเหอหงเยี่ยน น้ำเสียงเขาเหมือนกำลังเกลี้ยกล่อมเล็กน้อย
เหอหงเยี่ยนขมวดคิ้ว พลางชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยหางตา แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรเขา
ชายหนุ่มพูดเสียงเบาขึ้นอีกว่า “ยังไงก็เป็นคนของนิพพานเหมือนกัน…”
ถึงแม้เสียงของเขาจะเบามาก แต่ในทางเดินที่เงียบกริบและสภาพแวดล้อมปิดอย่างนี้ ทุกคนกลับได้ยินเสียงพูดของเขาอย่างชัดเจน
เหล่าเจิ้งเบิกตาโพลง ส่วนหวังหลิ่นเองก็เงยหน้ามองหลิงม่อทันที
แต่พี่เขยของเธอก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย จนทำให้เธอเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
หวังหลิ่นมีคำถามอยากถามมากมาย แต่กลับได้ยินเหอหงเยี่ยนแค่นเสียงเย็นชาพูดว่า “เขา? เหอะ คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างหมอนั่น หลงคิดว่าตัวเองเป็นใครงั้นหรอ? ยังไงเดิมพันที่วางไว้กับพวกเราเขาก็ต้องแพ้อยู่แล้ว จะหิวตาย หรือถูกฉันฆ่าอยู่ที่นี่ ก็ตายเหมือนกันนั่นแหละ กล้ามาทำกร่างในถิ่นของฉัน ฉันไม่สนว่าหมอนั่นจะเป็นใคร! นายไม่ต้องมาช่วยเขาพูด!”
โอ้โห อวดดีแท้! หวังหลิ่นเริ่มเดือดขึ้นมาบ้างแล้ว
เวลาเธออยู่ต่อหน้าหลิงม่อ เธอยังไม่กล้าแม้แต่จะแค่นเสียงดังๆ แต่ยัยผู้หญิงน่าตายคนนี้กลับกล้าต่อว่าเขาฉอดๆ!
แล้วหล่อนล่ะ? หล่อนเป็นใครใหญ่โตมาจากไหนไม่ทราบ?
ทนไม่ไหวแล้ว!
พอคุณหนูใหญ่หวังหลิ่นโกรธ เธอก็ลืมความกังวลของเหล่างเจิ้งไปจนสิ้น “เธอบอกว่าเธอจะฆ่าใครนะ?”
“หืม?” เหอหงเยี่ยนกำลังพูดวางท่าใหญ่โต แต่กลับคิดไม่ถึงเด็กสาวคนนี้จะพูดแทรกขึ้น
เธอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “นี่เป็นเรื่องภายในของพวกฉัน” ความหมายของเธอก็คือไม่ต้องมายุ่งเรื่องของคนอื่นนั่นเอง…
“โอ๊ะโอ ดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้นะ? ว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวของฉันเหมือนกัน!” หวังหลิ่นเชิดคางขึ้น แล้วมองเหอหงเยี่ยนตาขวาง พร้อมกับพูดเสียงที่ไม่หนักหรือเบาเกินไป
ด้านการกวนประสาทคนอื่น หวังหลิ่นถือได้ว่าอยู่ในระดับมาสเตอร์เลยก็ว่าได้ น้ำเสียงและท่าทีของเธอ แสดงออกถึงความเอาแต่ใจของคุณหนูใหญ่อย่างเธอได้อย่างดี ถึงแม้ไม่ได้พูดออกมา แต่ทุกการกระทำของเธอล้วนแสดงท่าทีให้เห็นอย่างชัดเจน “ฉันไม่ชอบขี้หน้าเธอ”
เหอหงเยี่ยนรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างรุนแรง สายตาของหลิงม่อก็ทำให้เธอเกลียดชังมากพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ายัยเด็กนี่จะน่าชังยิ่งกว่า!
เรื่องในครอบครัว? ระหว่างพวกเขาจะมีเรื่องอะไรได้!
คงอยากจะประจบพวกเขา ทำเป็นว่าจะปกป้องสองคนนั้นล่ะสิ!
หรือไม่อย่างนั้น ก็คงคิดว่าตัวเองเก่งมาก คิดว่ามีปัญญาแทรกแซงเรื่องของนิพพาน…
“อ้อ? ดูเหมือนพวกเธอจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากันนะเนี่ย”
ยิ่งคิด เหอหงเยี่ยนก็ยิ่งเดือดดาล เธอมองกลับไปกลับมาระหว่างหวังหลิ่นกับหลิงม่อ แล้วจู่ๆ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงแดกดัน “เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่นาที ก็นับญาติกันซะแล้ว โลกช่างแคบอะไรอย่างนี้…”
เธอไม่ได้พูดออกมาชัดๆ แต่สายตากลับแฝงความนัยอะไรบางอย่างไว้…
ถึงแม้หวังหลิ่นจะประกาศตัวเป็นศัตรูชัดเจน แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังเป็นเด็กสาว หลังจากถูกเสียดสี เธอก็เข้าใจความหมายที่เหอหงเยี่ยนต้องการจะสื่อ แล้วพวงแก้มของเธอก็ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที
“นี่เธอ!”
—————————————————————————–