แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 800 ลูกเตะอันตราย
บทที่ 800 ลูกเตะอันตราย
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอเห็นหวังหลิ่นพ่ายแพ้ เหอหงเยี่ยนก็แค่นเสียงอย่างได้ใจ
แต่เธอก็ไมได้แสดงออกมาชัดเจน และไม่ได้ฉวยโอกาสไล่ต้อน ปล่อยให้หวังหลิ่นมองเธอด้วยสายตาแค้นเคืองอยู่อย่างนั้น
ตอนนี้เป้าหมายความแค้นของเธอยังคงอยู่ที่หลิงม่อ แม้แต่ความไม่พอใจที่เกิดจากความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ กับหวังหลิ่น ก็ยังถูกเหมารวมว่าเป็นความผิดของหลิงม่อ
ยิ่งพวกเขาปกป้องหลิงม่อ สายตาของเหอหงเยี่ยนก็ยิ่งดูไม่พอใจมากขึ้น
สีหน้าเรียบเฉยอย่างนั้น คิดว่าตัวเองมีภูเขาให้พึ่งพิงงั้นสินะ?
“คิดว่าชนะฉันแล้วสินะ? ฉันจะรอดู ว่าจะพึ่งกันไปได้ซักกี่น้ำ…”
เหอหงเยี่ยนคิดในใจ พลางหันไปมองเหล่าเจิ้ง และอ้าปากถามโดยไม่เปิดโอกาสให้หลิงม่อพูด “เรื่องนี้ คนของค่ายกลางต้องยื่นมือเข้ามายุ่งด้วยหรอ?”
เหล่าเจิ้งยังไม่ทันตอบ เธอก็พูดต่อว่า “ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ถิ่นของพวกฉัน แต่เป็นฐานที่มั่นสำคัญในการผลิตหัวเชื้อของนิพพาน คนคนนี้เพิ่งจะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ได้ไม่นาน ไมรู้กฎระเบียบพื้นฐานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะพาผู้หญิงแปลกหน้ามาที่นี่อีก…พวกนายอาจจะยังไม่รู้ ข้างนอกนั่นยังมีพวกพ้องของเขาอยู่อีก พวกนั้นทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ตั้งใจล่อพวกฉันออกไป ถ้าฉันไม่รู้ตัวก่อน แล้วรีบย้อนกลับมา ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะทำอะไรบ้าง…”
“เขาร่วมมือกับคนนอก มีเจตนาร้าย ไม่ว่าจะโดยส่วนตัวหรือส่วนรวม ฉันต้องจับกุมเขาไว้ คุณเจิ้ง คุณคิดว่าอย่างไร?”
พูดมาถึงตรงนี้ เธอก็หรี่ตา และเผยรอยยิ้มมุมปากบางๆ ขณะเดียวกันเธอก็ส่งสายตาท้าทายไปทางหลิงม่อ
พอถูกตราหน้าว่าเป็น “หนอนบ่อนไส้” อย่างไรคนของค่ายกลางก็ต้องเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการถูกสงสัยไว้ก่อนอยู่แล้ว!
ถึงแม้พวกเขาจะรู้จักกันจริง แต่เวลาอย่างนี้พวกเขาก็ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจก่อนถึงจะถูก
และการวิเคราะห์นี้ของเธอ แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังคิดว่ามีเหตุผลมาก
คิดจะคัดค้าน…แล้วเขาจะคัดค้านจากตรงไหนกันล่ะ!
แต่ความจริง เหอหงเยี่ยนก็ยังสงสัยอยู่ว่ามีการ “ร่วมมือกับคนนอก” เกิดขึ้นจริงหรือไม่ และคนที่หลิงม่อร่วมมือด้วยนั้น คนที่อยู่ข้างนอกไม่ยอมแสดงตัว ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเขากลับดูอ่อนแอมาก มองเผินๆ ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลย
แต่ขอเพียงเธอโจมตีเจตนาไม่ดีของเขาอย่างไม่ลดละ สุดท้ายหลิงม่อพูดอะไรก็ไม่สามารถแก้ตัวได้อยู่ดี
หลักฐานเหล่านั้นที่เธอพูดถึง ฟังดูมีเหตุผลทั้งนั้น หากไม่ใช่คนที่เข้าใจเรื่องราวภายในอย่างดี ก็ไม่มีทางจับพิรุธอะไรได้แน่นอน พวกหวังหลิ่นสองคนคงไม่ต้องพูดถึง และหลิงม่อ สมาชิกที่เพิ่งเข้ามาใหม่ จะเข้าใจอะไรได้มากแค่ไหนกันเชียว?
พอจินตนาการภาพที่หลิงม่อกำลังลนลานและพยายามแก้ตัวอย่างไร้ความหมาย เหอหงเยี่ยนก็รู้สึกสะใจสุดๆ
“ตอนแรกก็กะว่าจะไม่อะไรกับนาย แต่ใครใช้ให้นายวิ่งเข้ามาหาปืนฉันเองล่ะ คิดซะว่านายโชคร้ายเอง ที่มาเจอฉัน”
เหล่าเจิ้งกำลังเหงื่อท่วมตัว ในใจลอบร้องว่า “ร้ายกาจ!” ผู้หญิงคนนี้พูดแค่ไม่กี่คำ ก็สามารถผลักคนของค่ายกลางอย่างพวกเขาสองคนออกไปได้ทันทีเลย
มีสมอง มีความสามารถ แล้วดันมีนิสัยที่ร้ายสุดๆ ซะด้วย…ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ใบหน้าที่ถูกแต่งเติมไปด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะนั่น มองไม่เห็นความงามแต่อย่างใด แต่รอยยิ้มของเธอกลับทำให้รู้สึกน่าขนลุกได้อย่างประหลาด
หลิงม่อกับเธอก็เหมือนไม่ได้รู้จักกันดี แต่ทำไมเหมือนมีความแค้นกันมานานอย่างนั้นล่ะ?
ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่คนที่จะยุ่งด้วยได้ง่ายๆ เลย…
“คือว่า…” เหล่าเจิ้งไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าควรตอบอย่างไร จึงทำได้เพียงพูดอย่างพยายามแก้สถานการณ์ว่า “ผมว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ถ้าอย่างไร ทุกคนใจเย็นๆ แล้วนั่งคุยกันก่อนดีไหม?”
หลังพูดจบ เขาก็ส่งสายตาไปให้หลิงม่อไม่หยุด
หลิงม่อกลายเป็นคนของนิพพานไปได้อย่างไร เขายังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย
แต่หลังจากได้ยินการวิเคราะห์จากเหอหงเยี่ยน เขาก็เริ่มคำนวณความเป็นไปได้ในใจแล้ว
ไม่แน่ว่า…เจ้าหลิงม่อคนนี้อาจเป็น “หนอนบ่อนไส้” จริงๆ ก็ได้!เพราะเขาเป็นคนที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฟอลคอน!
คนที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้สั่งการสูงสุดแห่งฟอลคอนที่ 2 กลับกลายมาเป็นสมาชิกของนิพพานได้ มันไม่สมเหตุสมผลกันเลยนี่…
“คราวนี้ยากแล้วสิ…”
เหล่าเจิ้งถึงขั้นคิดอยากจะวิ่งเอาหัวโขกกำแพงเลยทีเดียว เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว!
ได้ยินเหล่าเจิ้งพูดอย่างนั้น เหอหงเยี่ยนกลับขมวดคิ้ว
ขนาดนี้แล้วยังจะปกป้องกันอีก? หรือเจ้าหลิงม่อคนนี้เป็นคนรู้จักของพวกเขาจริงๆ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร เหล่าเจิ้งก็เริ่มแสดงท่าทีอ่อนข้อแล้ว แสดงว่าถึงจะรู้จัก แต่ก็มีขอบเขตงั้นสินะ…
หลิงม่อครุ่นคิด แล้วพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็คุยกันก่อนเถอะ”
“คุยกัน? ได้สิ แต่นายต้องให้ฉันมัดนายก่อน” เหอหงเยี่ยนบอก
“หื้ม?”
พอเห็นหลิงม่อทำหน้าผิดคาด เหอหงเยี่ยนก็แค่นเสียงเย็นชา บอกว่า “หรือนายกลัว? ถ้านายไม่ได้ทำอะไรจริง ก็ต้องแสดงความบริสุทธิ์ในเวลาอย่างนี้สิ”
“ไม่จำเป็นต้องมัดก็ได้มั้ง…” เหล่าเจิ้งพูดขึ้น
ทว่าสายตาของเหอหงเยี่ยนกลับคมปลาบขึ้นกว่าเดิม “จำเป็นสิ ใครจะรู้ว่าเขาซ่อนแผนอะไรไว้ในใจอีกหรือเปล่า?”
“ต้องมัดให้ได้สินะ?” หลิงม่อถามอย่างลำบากใจเล็กน้อย
เหอหงเยี่ยนเบะปากเล็กน้อย แล้วบอกว่า “แน่นอน” เธอหันไปมองสวี่ซูหาน แล้วบอกว่า “เธอก็เหมือนกัน”
“เธอกล้า…” หวังหลิ่นหมายจะบันดาลโทสะ แต่กลับถูกหลิงม่อห้ามไว้ “ช่างเถอะ อยู่เฉยๆ ก่อน”
เขาเดินตรงเข้าไปหาเหอหงเยี่ยน แล้วบอกว่า “งั้นเธอก็มัดเลย”
ในมือหลิงม่อมีมีดพกแค่เล่มเดียว แต่เขาโยนมันทิ้งไปอีกทางแล้ว กลับเป็นเหอหงเยี่ยนที่ยังคงยกปืนขึ้นเล็ง กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่า
พอเห็นหลิงม่อเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงรีบมองหาเชือก ส่วนเหอหงเยี่ยนก็จ้องหลิงม่อด้วยสายตาเยาะเย้ย
ไม่นาน ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็เหลือไม่ถึงหนึ่งเมตร ในตอนนี้เอง ความชั่วร้ายแล่นผ่านสายตาของเหอหงเยี่ยน เธอยกเท้าเตะเข้ามาทางหลิงม่อ และพูดด้วยเสียงที่เบามาก เบาจนแทบจะเหมือนกระซิบอยู่ข้างหูเขา “กล้าให้ยัยเด็กนั่นออกหน้ารับแทนนาย คิดจะใช้พวกมากว่าข่มฉัน…ถ้านายหลบ ฉันจะระเบิดหัวนายซะ!”
เห็นชัดว่าเหอหงเยี่ยนเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ลูกเตะของเธอโจมตีอย่างกะทันหัน และเต็มไปด้วยพละกำลัง
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือเป้าหมายในการโจมตีในครั้งนี้คือเป้ากางเกงของหลิงม่อ
ถ้าหากโดนลูกเตะนี้เข้าไป ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต เพื่อระบายความโกรธ ผู้หญิงคนนี้กลับลงมือรุนแรงถึงขั้นนี้
ทว่าความจริงแล้ว เธอไม่ได้ทำไปเพื่อระบายความโกรธอย่างเดียว แต่เป็นเพราะท่าทีของเหล่าเจิ้งทำให้เธอรู้สึกถึงอันตราย ถ้าหากระหว่างพวกเขามีอะไรกันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเธอฉวยโอกาสกำจัดหลิงม่อตั้งแต่แรกดีกว่า อย่างไรสองคนนี้ก็เป็นแค่ตัวแทนของค่ายกลาง ไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของนิพพาน ตอนนี้เธอมีเหตุผลมากพอ ถึงจะลงมือไปก็ไม่ต้องถูกลงโทษ ตรงกันข้าม ยังสามารถกำจัดหลิงม่อที่เป็นเหมือนภัยแฝงไปได้อีก
ถึงอย่างไรก็มีความแค้นต่อกันแล้ว เหอหงเยี่ยนไม่คิดว่าความแค้นนี้จะคลายลงได้ และเธอก็ไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นด้วย
เทียบกับการฝากความหวังไว้ที่คนอื่น เธอเลือกที่จะเชื่อตัวเองดีกว่า
เธอกระทั่งมีความคิดที่บ้าคลั่งผุดขึ้นมาในสมองด้วยซ้ำ
ถ้าเรื่องมันบานปลาย เธอก็แค่ฆ่าคนพวกนี้ให้หมดซะ!
ตัวแทนค่ายกลางไปไม่ถึงนิพพาน แล้วนิพพานจะส่งคนออกมาตรวจสอบอย่างนั้นหรือ?
ส่วนค่ายกลาง อยู่ไกลกันขนาดนั้น เธอย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา เธอก็ยิ่งห้ามใจลงมือไม่ไหว
ในมือมีปืน ยิ่งเมื่อกำจัดหลิงม่อไปแล้ว เธอก็จะกลายเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดทันที!
ได้ยินเพียงเสียง “วูบ” ดังขึ้น ทุกคนกลับไม่มีใครตั้งตัวทัน
ส่วนหลิงม่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ กลับยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“โครม!”
เมื่อเสียงดังขึ้น สีหน้าของเหอหงเยี่ยนพลันเปลี่ยนไปทันที
เธอโจมตีไปแล้ว แต่เท้าของเธอกลับพุ่งออกไปได้ครึ่งทาง!
ไม่น่าล่ะอีกฝ่ายถึงได้มีท่าทีนิ่งอย่างนั้น ที่แท้ก็มีการเตรียมการไว้แล้ว!
ไม่รอให้เธอมีปฏิกิริยาตอบสนอง จู่ๆ ข้อมือก็รู้สึกเจ็บแปลบ อาวุธปืนหลุดออกจากมือ และหล่นลงในมือหลิงม่อ “กึก”
เขายกปืนขึ้นจ่อหน้าผากเหอหงเยี่ยน แล้วพูดอย่างเอือมๆ ว่า “ตอนแรกฉันก็กะว่าจะแก้ปัญหาอย่างสันติสุขหน่อย แต่เธอโหดเหี้ยมเกินไปจริงๆ”
พริบตาเดียว ตำแหน่งของทั้งสองถูกสลับกันอย่างรวดเร็ว เหอหงเยี่ยนยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คนคนนี้มีความสามารถพิเศษอะไรกันแน่? มีพลังอย่างนี้อยู่ แล้วทำไมเมื่อกี้ถึงได้ยืนหลบอยู่หลังคนของค่ายกลางล่ะ?
ตอนนั้นเอง ที่ทุกคนเพิ่งได้สติ ชายหนุ่มหมายจะขยับตัว แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกตาลายไปชั่วขณะ ไม่นานร่างกายของเขาก็ถูกผลักติดกำแพงข้างหลัง
คนที่ลงมือคือสวี่ซูหานนั่นเอง เธอยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น โดยที่ใช้มือข้างหนึ่งบีบลำคอชายหนุ่มไว้
“นายอย่าขยับ…” สวี่ซูหานพูดอย่างตื่นๆ เล็กน้อย
เป็นครั้งแรกที่เธอโจมตีมนุษย์ ถึงแม้ไม่มีเลือด แต่เธอก็ยังตกใจมาก
ชายหนุ่มร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัว ได้ยินเธอพูดก็กระพริบตาปริบๆ แล้วตอบเสียงแหบๆ ว่า “ไม่…ไม่ขยับแล้ว…”
ผู้หญิงคนนี้เร็วมาก บวกกับจู่ๆ เหอหงเยี่ยนก็ถูกควบคุมตัวอย่างน่าประหลาด เขาจึงไม่คิดจะต่อต้านอีก
หวังหลิ่นกลับรีบวิ่งเข้ามา แล้วเห็นขาข้างนั้นของเหอหงเยี่ยนค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
เธอโกรธมาก หมายจะเดินเข้าไปลงมือ แต่กลับถูกหลิงม่อห้ามไว้ก่อน
“นี่นี่ เธออย่าเพิ่งลงมือ ฉันยังมีเรื่องสำคัญต้องทำก่อน”
—————————————————————————–