แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 819 นายมันมนุษย์หน้าโง่!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จนกระทั่งเมื่อเสียงที่ดังมาจากโซน B เริ่มเบาลง สวี่ซูหานจึงคลายมือออก
แต่ก่อนหน้านั้น หลิงม่อเล่าเรื่องต่างๆ ให้เธอฟังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอยู่ตลอด เขาเล่าเรื่องของเย่เลี่ยนไปจนถึงเรื่องของหลี่ย่าหลิน ระหว่างนั้นก็มีพูดถึงหวังหลิ่นบ้าง พูดถึงกองกำลัง F บ้าง พูดถึงแม้กระทั่งคนมากมายที่เขาเคยเจอ รวมถึงเรื่องราวที่เขาเคยผ่านมาในหนึ่งปีนี้
หลายคนที่ถูกเล่าถึง หลิงม่อจำชื่อและรูปร่างหน้าตาของพวกเขาไม่ได้แล้ว แต่รายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น เขากลับจำได้ขึ้นใจ พอได้หวนกลับไปนึกถึงเรื่องเหล่านั้นอีกครั้ง เหมือนกับว่าเขาไม่ได้กำลังเล่าให้สวี่ซูหานฟังเพียงคนเดียว แต่กลับกำลังเล่าให้ตัวเองฟังด้วย
“จะว่าไปแล้ว มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก…ก่อนเกิดภัยพิบัติ ฉันใช้ชีวิตมานานกว่ายี่สิบปี แต่ประสบการณ์ทั้งหมดในตอนนั้นกลับเทียบกับหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้เลย ฟังจากน้ำเสียงของนาย นายก็คงรู้สึกอย่างนี้เหมือนกันใช่ไหม? ฉันว่า อาจเป็นเพราะพวกเรามีชีวิตอยู่ภายใต้อันตราย เราถึงได้รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันช่างเป็นสิ่งที่มีค่าเหลือเกิน อย่างน้อยพอผ่านไปหนึ่งวัน ฉันก็จะบอกกับตัวเองเสมอว่า “ฉันยังมีชีวิตอยู่”…ทำได้ถึงขั้นนี้ น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่…” สวี่ซูหานเงยหน้ามองหลิงม่อ แล้วพูดขึ้น
เธอค่อยๆ ก้าวถอยไปสองก้าว จากนั้นก็กระพริบตาปริบๆ กลิ่นอายกระหายเลือดในดวงตาสีแดงของเธอลดลงไปหลายส่วน แล้วรอยยิ้มบางๆ ก็เข้ามาแทนที่ “หลังจากกลายเป็นซอมบี้ ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตให้มีความหมายได้ยังไง ถึงขนาดรู้สึกว่าจู่ๆ เป้าหมายในชีวิตก็หายวับไปเลย แต่พอได้ฟังเรื่องที่นายเล่า ฉันรู้สึกว่าซอมบี้เองก็มีเป้าหมายในชีวิตได้เหมือนกัน…ฉันหมายถึง นายทำให้ฉันรู้ว่าซอมบี้เองก็กลายเป็นคนสำคัญ และเป็นความงดงามสำหรับคนอื่นได้เหมือนกัน ไม่ใช่พอพูดถึงซอมบี้ ก็มีแต่คนทำท่าแยกเขี้ยวแยกฟัน และกระโจนเข้าไปฆ่าพวกเขาทิ้งทันที”
“ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ ขอบคุณที่นายทำให้ฉันยังมีชีวิตอยู่ และขอบคุณที่ทำให้ฉันค้นพบเป้าหมายของตัวเอง” สวี่ซูหานพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งขึ้น “ฉันจะจดจำนายตลอดไป ซักวันฉันจะทำให้คนอื่นมองซอมบี้เหมือนที่นายมองให้ได้ ซักวันพวกเขาจะต้องรู้ว่าซอมบี้เองก็เหมือนกับมนุษย์ที่มีนิสัยแตกต่างกัน และไม่ได้เหมือนกันหมดทุกตัว นายคอยดูแล้วกัน…”
หลังพูดจบ สวี่ซูหานก็หมุนกายเดินไปทางบันไดทันที “งั้น…ฝันดีนะ”
หลิงม่อยืนจ้องแผ่นหลังของเธออยู่ที่เดิมๆ จู่ๆ ก็อ้าปากเรียก “เดี๋ยวก่อน…”
เท้าของสวี่ซูหานชะงัก จากนั้นเธอก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง “ฉันตัดสินใจแล้ว นายอย่า…”
“ดึงหน้ากากขึ้นก่อนสิ เดี๋ยวคนอื่นก็ตกใจกันพอดี” หลิงม่อเตือนด้วยความหวังดี
พอเขาพูดจบ สวี่ซูหานก็ตัวแข็งทื่อ สองวินาทีผ่านไป เธอเร่งฝีเท้าวิ่งลงบันไดไปโดยไม่หันกลับมาอีก
เมื่อเงาร่างของเธอหายไป เสียงตะโกนด่าด้วยความโมโหก็ดังขึ้น “มนุษย์หน้าโง่!”
พริบตาเดียว บนชั้นนี้ก็เหลือหลิงม่อยืนอยู่เพียงคนเดียว เขายืนจ้องบันไดมืดๆ อยู่อย่างนั้น แต่ไม่นานก็เผยรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา พร้อมกับหันหน้าออกไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืน “มีเป้าหมายก็ดีแล้ว ดีกว่าใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ…แต่เป้าหมายของผู้ประกาศข่าวสวี่ ไม่ได้ง่ายไปกว่าของฉันเลยนะ…”
………..
สามวันต่อมา ท้องฟ้าเหนือคลังน้ำมันถูกปกคลุมด้วยเสียง “พั่บๆๆ” และสิ่งที่มาเยือนพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหวนี้ ก็คือเฮลิคอปเตอร์สองลำที่กำลังลงจอดช้าๆ
“มาแล้ว!”
เหล่าเจิ้งกับหวังหลิ่นและคนอื่นๆ มองหน้ากันแล้วยิ้ม พวกเขาต่างมองเห็นความคาดหวังในแววตาของอีกฝ่าย การต้องอาศัยอยู่ในสถานที่ที่เงียบจนแม้แต่นกก็ยังไม่ย่างกรายผ่านแบบนี้สามวัน นอกจากหลิงม่อและเหล่าแฟนสาวที่ยังพอจะหาความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ได้บ้าง คนอื่นๆ ล้วนใกล้จะหมดความอดทนแล้ว
โดยเฉพาะเหล่าเจิ้ง เขามักสังหรณ์ใจว่าตัวเองกำลังถูกหลอกอยู่ตลอด ดังนั้นสำหรับเขาหนึ่งวันจึงยาวนานเหมือนหนึ่งปี ตอนนี้พอเห็นเฮลิคอปเตอร์ที่ถูกส่งมาจากฟอลคอนที่ 2 เขาจึงคลายใจทันที
“ขอแค่ไปถึงฟอลคอนที่ 2 ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา…พาหลิงม่อกลับไป เซ็นสัญญาร่วมมือกัน จากนั้นก็ค่อยไปฟอลคอนที่ 1 เท่านี้ภารกิจของเราก็สำเร็จแล้ว! ต่อไปเราก็ไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว ไม่ต้องมาเจอเจ้าหลิงม่อจอมหลอกลวงนี่อีก! ฮ่าๆๆๆๆ…”
อีกคนที่รู้สึกเนื้อเต้นเช่นเดียวกันก็คือชายแว่นดำ สามวันมานี้เขาได้เขียนข้อมูลทั้งหมดให้หลิงม่อแล้ว เหลือก็แต่รอดูอีกฝ่ายกระโดดลงไปในหลุมฝังศพด้วยตัวเองเท่านั้น เขาถึงขั้นตั้งตารอสิ่งนี้มากกว่าอิสระของตัวเองด้วยซ้ำ กระทั่งคิดว่าจะหาวิธีอยู่ที่นี่ต่อไป เพื่อรอดูหลิงม่อตายอย่างน่าอนาถดีหรือไม่…
“เฮลิคอปเตอร์ลำที่แล้วเป็นพวกของมัน ครั้งนี้ก็ต้องเป็นพวกของมันเหมือนกัน…ไม่คิดเลยว่ามันจะมีปัญญาหาเฮลิคอปเตอร์ทีเดียวถึงสองลำ ดูท่ามันคงจะวางแผนมานานแล้วจริงๆ…หึหึ ก็ไม่แปลก มีข้อมูลพวกนี้ของฉันอยู่ มันย่อมสามารถเกลี้ยกล่อมคนพวกนั้นให้ทรยศอยู่แล้ว แต่น่าเสียดาย หมอนั่นคิดว่าฟอลคอนถูกหลอกใช้ แต่กลับไม่ได้คิดว่าตัวเองก็กำลังถูกฉันหลอกใช้เหมือนกัน ช่างโง่อะไรอย่างนี้…”
ชายแว่นดำเพิ่งจะคิดอย่างย่ามใจ แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บที่ขา และล้มตึงลงไปทันที
“ยืนขวางทางหาอะไรวะ!” มู่เฉินตะโกนด่าเสียงดัง แต่สายตากลับฉายแววสงสัย “เราไม่ได้ออกแรงมากนี่นา ทำไมเตะทีเดียวหมอนี่ถึงกับล้มลงไป…”
“ท่านไหนคือพี่หลิง?”
มีชายสองคนกระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ หนึ่งในนั้นกวาดตามองกลุ่มคน พลางตะโกนถามเสียงดัง
เสียงสายลมพัดผ่านดัง “หวีดหวิว” หลิงม่อยืนมองพวกเขาเงียบๆ โดยไม่รีบร้อนพูดอะไรออกไป
สองคนนี้น่าจะอายุราว 27 – 28 ปี คนที่ตะโกนถามมีสีผิวค่อนข้างขาว ดวงตาเรียวยาวอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ส่วนอีกหนึ่งคนรูปร่างหน้าตาค่อนข้างธรรมดา มีเพียงรอยแผลเป็นตรงมุมปากที่สะดุดตา เพราะมันทำให้เขาดูดุดันขึ้นหลายส่วน
ชายผิวขาวตะโกนถามอีกครั้ง แล้วไม่นานเขาก็สังเกตเห็นขายแว่นดำที่กำลังเหลือบมองหลิงม่อ เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เดินมาทางหลิงม่อ และยื่นมือออกมา “สวัสดีครับ พี่หลิง ผมเป็นสมาชิกภายใต้ความดูแลของหัวหน้าโทมัส ชื่อหลัวหมิง ส่วนคนนี้เป็นเพื่อนร่วมทีมของผม เขาชื่อจางสี่” เขายกมือชี้ไปทางชายเจ้าของใบหน้ารอยแผลเป็น ในขณะเดียวกัน อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาทำท่าแสดงเคารพตรงหน้าหลิงม่อ
“ผมชื่อจางสี่ครับ” คนคนนี้ดูเหมือนเป็นคนไม่ชอบพูดนัก ยามพูดถึงได้ฟังดูแห้งเหือดไม่รื่นหู ขัดแย้งกับชื่อของเขาอย่างเห็นได้ชัด
“พี่หลิง รีบไปขึ้นเครื่องเร็วเข้าเถอะ พวกเราออกมาได้ไม่นาน เดี๋ยวพอขึ้นเครื่องแล้ว ผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังอีกที” หลัวหมิงเร่งเร้าทันที
“อืม…” หลิงม่อจ้องมองเขาด้วยสายตาแฝงความนัย แล้วจู่ๆ ก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หลัวหมิงยังคงมีท่าทางรีบร้อน เหมือนมองไม่เห็นการกระทำของเขา
หลิงม่อฉายแววตาครุ่นคิด เขาค่อยๆ ล้วงเครื่องมือสื่อสารออกมาจากประเป๋า “ไม่ต้องรีบร้อน ผมขอติดต่ออวี่เหวินซวนก่อน”
“ไม่ได้!” หลัวหมิงรีบตะโกนห้าม เขามองหน้าหลิงม่อด้วยสีหน้าอึกอัก แล้วพูดเสียงเบา ราวกับมองไม่เห็นสีหน้าไม่พอใจของหลิงม่อ “มีคนคอยดักฟังอยู่…”
“ในเมื่อยังมีคนดักฟังอยู่ ก็แสดงว่าต้องมีคนคอยสังเกตการณ์อยู่ แล้วพวกเราจะเข้าไปยังไง?” หลิงม่อหรี่ตาถาม
หลัวหมิงยังคงพูดเสียงเบาต่อไปว่า “เพราะมีวิธีแล้ว พวกเราถึงได้มารับทุกท่าน วางใจเถอะ หัวหน้าโทมัสบอกว่า พวกเขารับมือสถานการณ์นี้ได้แล้ว เพียงแต่ต้องขอความร่วมมือจากพี่หลิงเล็กน้อยเท่านั้น พี่หลิง รีบไปเถอะ ถ้ายังไม่ไปเกรงว่าจะไม่ทันแล้วจริงๆ”
“ทำไมมากันสองลำ? อย่างนี้ก็ยิ่งเป็นเป้าสายตาไม่ใช่หรือ?” หลิงม่อถามอีกครั้ง
“ตรงกันข้ามเลยต่างหาก นี่เป็นวิธีที่ผมบอกว่าจะทำให้ทุกท่านเข้าไปได้ไง และมีบางอย่าง ที่ผมต้องบอกกับพี่หลิงเป็นการส่วนตัว” หลัวหมิงพูดอย่างเร่งรีบ
“คำถามสุดท้าย…ทำไมครั้งนี้ถึงได้ส่งพวกคุณมา?”
จางสี่ที่ยืนอยู่อีกด้านเริ่มเผยสีหน้าพิรุธ แต่หลัวหมิงกลับตอบด้วยน้ำเสียงปนรำคาญ “ถ้าหากส่งเจสันออกมาอีก ก็จะทำให้ถูกสงสัยได้น่ะสิ หัวหน้าโทมัสคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าพวกเราสองคนเหมาะสมที่สุด เพราะพวกเราสองคนต่างไม่เคยเจอพี่หลิงมาก่อน คนของฟอลคอนที่ 1 จึงไม่มีทางสงสัยพวกเรา…แต่ถึงพวกเราเพิ่งจะมาติดตามหัวหน้าเมื่อไม่นานมานี้ พวกเราก็เป็นคนที่ไว้วางใจได้! ผมไม่อยากยุ่งเรื่องระหว่างฟอลคอนที่ 1 และฟอลคอนที่ 2ผมมีหน้าที่แค่ทำตามคำสั่งของหัวหน้าเท่านั้น ผมรู้ ว่าพี่หลิงกำลังสงสัย แต่ได้โปรดวางใจ ผมจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้พี่หลิงฟังเอง ตอนนี้ ขึ้นเครื่องก่อนเถอะ…”
เขาเบี่ยงตัวเปิดทาง และผายมือไปทางเฮลิคอปเตอร์เล็กน้อย เป็นสัญญาณว่า “เชิญ”
หลิงม่อครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็ก้าวเท้าเดินไป พวกเย่เลี่ยนเองก็รีบตามไป แล้วยังมีสวี่ซูหานและมู่เฉินที่เดินตามไปพร้อมกัน…
หลัวหมิงหันไปทางเหล่าเจิ้งกับคนที่เหลือ แล้วบอกว่า “ท่านที่เหลือเชิญขึ้นเครื่องนี้”
ชายแว่นดำมองแผ่นหลังหลิงม่อด้วยสายตาชั่วร้าย จู่ๆ เขาก็รู้สึกแปลกๆ แต่ไม่มีใครได้ยินบทสนทนาระหว่างหลัวหมิงและหลิงม่อ ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดครู่เดียว เขาก็เดินไปทางเฮลิคอปเตอร์อีกลำอย่างจำใจ
“บางทีเขาอาจไม่ได้ทรยศ แต่แค่ร่วมมือกัน…หมอนี่แสดงท่าทีเคารพขนาดนี้ เพราะหลิงม่อมีฉันและข้อมูลพวกนี้อยู่ในกำมือสินะ…ตอนนี้คิดจะแยกฉันไปนั่งเฮลิคอปเตอร์อีกลำ หรือว่าหลิงม่อทำข้อตกลงกับอีกฝ่ายแล้ว? หึ ไม่สนล่ะ ไม่ว่าพวกมันจะวางแผนไว้ยังไง สุดท้ายพวกมันก็จะเดินเข้ามาติดกับดักที่ฉันวางไว้อยู่ดี นี่แหละที่เขาเรียกกันว่าแผนการเปิดเผยในตำนาน…” (阳谋แปลว่าแผนการเปิดเผย เป็นกลยุทธ์ที่เหนือกว่า 阴谋 ซึ่งแปลว่าแผนการลับ)
เมื่อประตูเครื่องปิดลง เฮลิคอปเตอร์สองลำก็ลอยห่างจากพื้น และทะยานขึ้นสู่กลางอากาศทันที
หลัวหมิงและจางสี่นั่งอยู่ข้างประตูเครื่อง ในมือถือปืนไว้ หลัวหมิงหันมาส่งยิ้มให้หลิงม่อเป็นระยะ พร้อมกับพยักหน้าให้บางครั้ง แต่ผ่านไม่นาน หน้าผากของเขาก็เริ่มเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อชื้นๆ สายตาก็เริ่มเผยพิรุธ
ถูกสายตาเฉียบคมของหลิงม่อจ้องอยู่ตลอด แถมยังในระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้ หลัวหมิงรู้สึกเหมือนใกล้จะอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
ในขณะที่เขาเริ่มนั่งไม่ติด ในที่สุดหลิงม่อก็อ้าปากถาม “พูดสิ โทมัสให้คุณมาบอกอะไรกับผม?”
“ความจริงเรื่องที่ผมควรพูด ผมได้พูดก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมดแล้ว สิ่งที่หัวหน้าโทมัสต้องการบอก คือขอให้พี่หลิงให้ความร่วมมือกับพวกเรา ส่วนเรื่องอื่น รอให้พวกเราไปถึงก่อน หัวหน้าโทมัสย่อมต้องมาบอกพี่หลิงด้วยตัวเองอยู่แล้ว” หลัวหมิงฉีกยิ้ม แล้วบอกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ…”
—————————————————————————–