แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 825 เริ่มภารกิจ
เมื่อเข็มนาฬิกาขี้ไปที่เลข 7 ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ขณะเดียวกัน ในกระเป๋าสัมภาระของหลิงม่อได้มีถุงเก็บ “ตุ่มเลือด” เพิ่มขึ้นมาหนึ่งถุง เยื่อหุ้มชั้นนอกนั่นแข็งแรงทนทานกว่าที่คิด นั่นทำให้งานเก็บ “ตุ่มเลือด” ของหลิงม่อเป็นไปด้วยดี หากมีของพวกนี้อยู่ ไม่แน่เหล่าหลันอาจวิจัยเพื่อหาทางช่วยให้หลิงม่อหลุดพ้นจากปัญหาน่าปวดหัวได้ และอาจทำให้หลิงม่อรู้จักแม่หม้ายสาวมากขึ้นด้วย
“เหล่าเจิ้ง ถนนเส้นนี้มอบให้เป็นหน้าที่นายปิดล้อมแล้วกัน มีมู่เฉินคอยช่วย น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็ให้พวกหลันหลันอยู่กับนายด้วย แล้วก็เจ้าขาตั้งแว่นดำนี่ ฝากนายด้วยอีกคน” หลิงม่อขยำซองอาหารในมือหลังจากที่กลืนธัญพืชอัดแท่งคำสุดท้ายลงไป จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วหันไปพูดกับเหล่าเจิ้ง ตอนนี้พวกเขาอยู่ในร้านค้าที่ค่อนข้างลับตาคนแห่งหนึ่ง หากมองออกไปทางประตูหลัง จะสามารถมองเห็นอาคารแห่งนั้นอยู่ไกลๆ ซึ่งเป้าหมายของหลิงม่อในครั้งนี้ ก็คือที่นั่น…
“จะให้พวกฉันถ่วงกำลังเสริมของฟอลคอนสินะ? เข้าใจแล้ว…” เหล่าเจิ้งยิ้มขมขื่น เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาทำได้เพียงยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีเท่านั้น
ด้านชายแว่นดำที่ถูกหลิงม่อเอ่ยถึงกำลังจ้องเขาด้วยรอยยิ้มเย็นชา เขาหวังว่าหลิงม่อจะไปแล้วไปลับ ส่วนชีวิตของตัวเขาเอง…ขอเพียงมีข้อมูลเหล่านั้นอยู่ ชีวิตเขาก็ยังมีค่า ถึงจะมีคนได้ข้อมูลพวกนั้นไปแล้ว แต่เขาคนนั้นก็ต้องอยากล้วงความลับจากปากเขาเพิ่มแน่นอน ในมุมมองของเขา เขาคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้แย่งชิงที่เกิดขึ้นโดยมีตัวเองเป็นกุญแจสำคัญ…
แต่พอเขาคิดอย่างนี้ จู่ๆ สายตาของหลิงม่อก็กวาดมองมาทางเขา ชายแว่นดำใจเต้น “ตึกตัก” รอยยิ้มมุมปากในตอนแรกเปลี่ยนเป็นกระตุกสั่นทันที ไม่รู้เพราะอะไร เขาเหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาดูแคลน กระทั่งถึงขั้นเยาะเย้ยจากดวงตาของหลิงม่อรางๆ…
“ไม่ใช่แค่กำลังเสริม แต่ต้องป้องกันไม่ให้ใครหนีออกมาได้ด้วย” ซย่าน่าพูดพร้อมกระพริบตาปริบๆ อย่างเจ้าเล่ห์
“…ยังไงก็ได้” เหล่าเจิ้งรับคำอย่างจนใจ “แต่ถนนสายนี้ไม่ใช่ทางเข้าออกเพียงหนึ่งเดียว แล้วทางอื่นๆ ล่ะจะทำยังไง? โลกมายาของฉันก็มีขีดจำกัดเรื่องระยะทางเหมือนกันนะ เรื่องนี้นายน่าจะรู้ ถ้าหากปล่อยให้พวกเขาหลุดออกมาจากทางอื่นได้…ฉันว่า ฉันไปกับพวกนายดีกว่า”
เขาหมายจะเดินออกมา แต่ก็ถูกเงาร่างสูงโปร่งยืนขวาง หลี่ย่าหลินกระดกคิ้วขึ้น เธอยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่ได้หรอก…”
“ทำไมล่ะ?” เหล่าเจิ้งไม่เข้าใจ จึงถามเธอ
“มันลำบากเกินไป” หลี่ย่าหลินตอบอย่างจริงจัง ที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง หากมีมนุษย์คนอื่นอยู่ด้วย ขอบเขตการเคลื่อนไหวของพวกเธอก็จะถูกจำกัด…
แต่เหล่าเจิ้งกลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ได้…ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน…”
“วางใจเถอะ ปัญหาพวกนั้นฉันมีแผนรับมือแล้ว พวกนายแค่ต้องผิดล้อมถนนสายนี้ไว้จนกว่าฉันจะทำภารกิจสำเร็จเท่านั้น ความจริงฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังเสริมของพวกเขาจะมาไหม มาเมื่อไหร่ หรือมากันกี่คน แต่มีโลกมายาของนายอยู่ ฉันเชื่อว่าพวกนายต้องขวางพวกนั้นได้อยู่แล้ว” หลิงม่อยื่นมือไปตบไหล่เหล่าเจิ้ง แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “สู้ๆ!”
“สู้…นายพูดขนาดนี้แล้ว ฉันจะแค่สู้ได้ยังไงล่ะ! ต้องทุ่มสุดชีวิตแล้วต่างหาก!” เหล่าเจิ้งบ่นอุบ
ทว่าถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างจากสายตาของหลิงม่อ ที่ผ่านเขาเห็นแต่แววตาที่รู้สึกเรียบเฉยต่อทุกสิ่ง แต่คราวนี้เขาเหมือนสัมผัสได้ถึงความหุนหันและกระตือรือร้นที่เพิ่มขึ้นมา…
“หรือสามวันนั้นที่เขาขังตัวเองไว้กับเหล่าแฟนสาวตลอด…จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย?”
ไม่รอให้เหล่าเจิ้งได้คิดอะไรมาก หลิงม่อพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วเดินไปนอกประตู “เริ่มกันเถอะ…”
………..
เมื่อยามราตรีมาเยือน ด้านในอาคารแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะยิ่งเงียบสงัดกว่าเดิม
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดนี้ ดวงตาคู่หนึ่งซึ่งกำลังกวาดมองไปนอกหน้าต่างอยู่ด้านหลังม่าน ไม่นานก็หายเข้าไปในความมืดอีกครั้ง แต่ในเสี้ยววินาทีที่ม่านถูกปล่อยลงไป เงาร่างของคนสี่คนกลับโผล่ออกมาจากมุมกำแพงมืดๆ แห่งหนึ่ง และวิ่งข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนอย่างรวดเร็ว เมื่อดวงตาคู่นั้นปรากฏที่หน้าต่างอีกครั้ง เงาร่างกลุ่มนั้นก็ได้เข้ามาใกล้ประตูเหล็กที่อยู่ชั้นล่างตึกนี้อย่างเงียบเชียบ
มันเป็นประตูนิรภัยที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา เมื่อมองลอดตาแมวบนประตูที่บิดเบี้ยวผิดรูปไป พวกเขาสามารถมองเห็นข้างในได้รางๆ มีบันไดทางขึ้นอยู่หนึ่งเส้น ตรงทางเลี้ยวดูเหมือนจะมีป้ายโฆษณาถูกแขวนไว้จำนวนมาก ข้างกำแพงยังมีกระถางดอกไม้วางไว้อีกสองกระถาง…
“ตอนนั้นไม่ได้สังเกตดูดีๆ พอมาดูตอนนี้ ในอาคารหลังนี้มีแต่ร้านขายของทั้งนั้นเลยสินะ? คลินิกความงาม…บริษัทประกันภัย…โครงสร้างซับซ้อนมาก” หลิงม่อคิดในใจ
ประตูบานนี้ถูกล็อกจากด้านใน หลิงม่อแผ่หนวดสัมผัสเข้าไปสำรวจดูเล็กน้อย แล้วพูดเสียงเบาว่า “เป็นกุญแจสายยูเบอร์ใหญ่สุด เปิดไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน…แถมบนกุญแจยังมีกระดิ่งติดอยู่เป็นพรวน น่าจะแกะออกยากมาก…” เขาเก็บหนวดสัมผัสกลับมา แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ระบบเตือนภัยแบบนี้แม้จะเป็นแบบง่ายๆ แต่กลับได้ผลมาก ถ้าหากเผลอเปิดประตูอย่างประมาท กระดิ่งจะต้องดังทันทีแน่นอน แต่ถึงจะรู้ว่ามีกระดิ่งอยู่ก่อนแล้ว ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะปลดล็อกกุญแจได้โดยไม่ส่งเสียงใดๆ…”
“เรื่องนี้ฉันจัดการเอง” หลี่ย่าหลินเลียริมฝีปาก แล้วพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น
เธอจ้องประตูบานนี้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แหย่นิ้วมือเข้าไปในตาแมว เธอใช้ปลายนิ้วเกี่ยวขอบแล้วยกนิ้วขึ้นข้างบนเบาๆ ทำให้ตาแมวเริ่มค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เนื่องจากเธอควบคุมพละกำลังได้อย่างมั่นคง ระหว่างนี้ จึงไม่มีเสียงของบานประตูและกระดิ่งดังขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อตาแมวขยายกว้างขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง จู่ๆ หลี่ย่าหลินก็เขย่งปลายเท้า แล้วสอดแขนข้างหนึ่งเข้าไปข้างใน ในระหว่างที่เธอทำอย่างนี้ ร่างกายของเธอกลับยังคงรักษาระยะห่างจากประตูไว้เหมือนเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเสียงดังหากสัมผัสถูกประตู ร่างกายทุกส่วนของเธออ่อนมาก แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่หลิงม่อได้เห็นเธอใช้ข้อได้เปรียบจากส่วนแขน
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นทำอย่างนี้ คงไม่สามารถยืนเขย่งปลายเท้าเพื่อรับน้ำหนักทั้งตัวได้อย่างมั่นคง หรือไม่ก็ ไม่สามารถยื่นแขนทั้งข้างเข้าไปข้างในได้โดยรักษาระยะห่างจากประตูไว้ คนทั่วไปเมื่อต้องยืนอยู่ในท่านี้ มากสุดก็คงทำได้เพียงยื่นแขนท่อนปลายเข้าไปข้างในเท่านั้น แต่หลี่ย่าหลินกลับสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดเรื่องความยืดหยุ่นของกระดูกไปได้
ทว่าแค่สอดแขนเข้าไปข้างในได้ยังไม่เท่าไหร่ เพราะขั้นตอนต่อไป เธอจะต้องคิดหาทางเปิดประตูให้ได้…
ม่านหน้าต่างผืนเดิมถูกแหวกเปิดอีกครั้ง แต่ตำแหน่งของประตูนิรภัยนั้นอยู่ด้านล่างเปลือกตาของคนลอบสังเกตการณ์พอดี ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็น…
“อ๊ะ คลำเจอแล้ว” หลายวินาทีต่อมา จู่ๆ หลี่ย่าหลินก็ยิ้มบาง เมื่อเสียง “แกร๊ก” ดังขึ้น กุญแจสายยูที่หลิงม่อบอกว่าเปิดยากหนักหนาก็ถูกเธอใช้นิ้วมือบิดจนหัก และจนกระทั่งเธอค่อยๆ ดึงแขนกลับออกมาพร้อมกุญแจที่อยู่ในมือ กระดิ่งพรวนนั้นก็ยังไม่ดังเลยซักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น เธอใช้เวลาทำทั้งหมดนี้ไปเพียงสิบกว่าวินาทีเท่านั้น…
“ง่ายจะตายไป” หลี่ย่าหลินวางกุญแจลงบนพื้นเบาๆ แล้วยืดอกพูดอย่างภูมิใจ
“เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคือขัดขวางมนุษย์ต่างหากล่ะ…” หลิงม่อลูบหัวเธอเบาๆ จากนั้นก็ยื่นมือไปเปิดประตู…
“พี่หม่า พี่ว่า…พวกมันจะมาไหม? นี่ก็ผ่านไปทั้งบ่ายแล้ว…ฉันว่า พวกเราไปตามหาพวกมันดีกว่า ดีกว่ารอความตายอยู่ที่นี่” ในบริษัทประกันภัยชั้น 2 ชายถือปืนคนหนึ่งพูดขึ้น ขณะที่พูด เขายังหาวหวอดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ สีหน้าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“หัวหน้าทีมบอกว่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลวเด็ดขาด แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ใครจะไปทนไหว? ฉันว่าไอ้หลิงม่อนั่นก็แค่มีไหวพริบดีหน่อยเท่านั้นเอง ความจริงก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก…จำเป็นต้องระมัดระวังถึงขนาดนี้ด้วยหรอ? หัวหน้าก็เหมือนกัน ไม่น่าเอาแต่พูดมากกับมันตั้งแต่แรก ทำเป็นบอกว่าต้องจับเป็น…จัดการให้เจ็บปางตายแล้วค่อยจับทีหลังก็มีค่าเท่ากันไม่ใช่หรอ?” ชายคนเดิมบ่น แล้วยังหันไปถาม “พี่หม่า พี่ว่าใช่ไหมล่ะ?”
เงาร่างที่ยืนพิงกำแพงอยู่ในมุมมืดเคลื่อนไหวเล็กน้อย แล้วเสียงพูดปนรำคาญก็ดังขึ้น “นายคิดว่าอีกฝ่ายอ่อนแออย่างนั้นจริงๆ หรอ? วันนี้หากไม่ใช่ว่าเขาต้องการถอยทัพโดยไม่ได้รับความเสียหาย นายอาจจะไม่มีโอกาสมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ คนคนนี้ไม่ได้โอ้อวดฝีมือให้เห็นโดยไม่จำเป็น เรายิ่งต้องระวังให้มากกว่าเดิม”
พี่หม่าที่ชายคนนั้นขานเรียกนั่งยองๆ อยู่ห่างจากเขาไม่ถึง 5 เมตร แต่สายตาของเขากลับจดจ้องไปที่ประตูอยู่ตลอดเวลา ปืนที่อยู่ในมือก็ไม่เคยถูกลดลงเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงตอนที่ตอบคำถาม ที่เขาขมวดคิ้วหันกลับไปมองชายคนนั้น
“นั่นเป็นเพราะมันโชคดีต่างหาก ถ้าหากไม่ใช่ว่ามันหนีไปได้เร็ว ระเบิดที่ถูกติดตั้งไว้บนดาดฟ้าอาจได้ใช้งานแล้วก็ได้…” ชายคนนั้นยังคงพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ฉันว่าพี่เองก็คงจะฟังข่าวลือมามากเกินไปเหมือนกัน ข่าวลือพวกนั้นจริงหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้…เอาเป็นว่า ฉันโจวเหล่าปาเชื่อแค่ปืนที่อยู่ในมือกระบอกนี้เท่านั้น เป็นผู้มีความสามารถพิเศษแล้วยังไง? จะสู้มือปืนขั้นเทพอย่างฉันได้หรอ…”
พูดไป เขาก็หัวเราะเย็นชาพร้อมกับส่ายหน้าไปมา จากนั้นก็เหลือบมองไปทางประตูใหญ่อย่างไม่ได้ใส่ใจ
แต่ในเสี้ยววินาทีที่มองเห็นประตูใหญ่ ม่านตาของเขาก็หดตัวทันที พร้อมกับไอเย็นที่แผ่ซ่านจากปลายเท้ากระจายไปทั่วร่าง
ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปชั่วขณะ หน้าผากเต็มไปด้วยชั้นเหงื่อบางๆ ที่ผุดพรายขึ้นมา แต่พี่หม่ากลับยังคงพูดต่อโดยไม่รู้ตัวว่า “ก็อาจจะใช่นะ…แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาสงบนิ่งมาก มันไม่ใช่ท่าทีที่แสร้งทำได้ เทียบกับพวกชอบทำอะไรหุนหันพลันแล่น ฉันกลับ…” พี่หม่าชะงักไปเล็กน้อย แล้วถามอย่างสงสัย “นายเป็นอะไรไป?”
หากมองจากมุมที่เขาอยู่ ชายคนนั้นกำลังนั่งพิงโต๊ะตัวหนึ่ง ร่างกายเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ แล้วเอาแต่จ้องไปข้างหน้า ปากของเขาอ้าออกเล็กน้อย เหมือนต้องการจะเปล่งเสียงออกมา…แต่ในขณะที่เขาอ้าปากเพื่อจะร้องตะโกน เขากลับนิ่งค้างไปราวกับถูกสะกด
“ฉึก” ศีรษะของชายคนนั้นบิดเอียง แล้วเขาก็ล้มลงไปโดยที่หันหน้ามาทางพี่หม่าพอดี สีหน้าของเขาดูหวาดกลัว ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง แล้วไม่นาน รูแผลก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงกลางกว่างคิ้วของเขา…
พี่หม่าหัวใจกระตุกวูบ เขารีบยกปืนขึ้น แต่ในขณะที่เขากำลังจะตอบโต้ เงาร่างดำเงาหนึ่งก็โฉบผ่าน ทำให้การมองเห็นของเขาถูกบดบัง…วินาทีต่อมา ประกายอาวุธแหลมคมจ่อมาที่ตาซ้ายของเขา ปลายดาบอยู่ห่างจากลูกตาเขาไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรด้วยซ้ำ…
“ฉัน…” พี่หม่าตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แม้กระทั่งเสียงพูดก็สั่นไปด้วย เขาไม่รู้ว่าก่อนตายผู้ชายคนนั้นเห็นอะไร แต่ความกลัวในใจของเขาในตอนนี้กลับไม่ได้น้อยไปกว่าชายคนนั้นเลย เขาไม่กล้าขยับกลอกลูกตาไปทางอื่น ไม่กล้าแม้แต่กระพริบตา แต่ก็พอรับรู้ได้รางๆ ว่าผู้ลงมือเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง และเงาร่างอื่นๆ ก็กำลังหยุดยืนอยู่ข้างศพของชายคนนั้น
“พวกเขาเข้ามาได้ยังไง…นอกจากสัญญาณเตือนภัยที่ติดตั้งไว้บนประตู ในบันไดก็ยังมีกับดักอยู่อีกตั้งหลายที่นี่นา…”
—————————————————————————–