แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 843 การสัมภาษณ์สุดพิเศษ
ในระหว่างที่หลิงม่อคุยกับอีกฝ่าย ทุกคนที่ล้อมรอบเขาต่างพากันจ้องเขาด้วยสายตาตกตะลึง ทว่าในฐานะคนมุง พวกเขาไม่อาจปะติดปะต่อเรื่องราวจากการตอบของหลิงม่อเพียงไม่กี่ครั้งได้ จางเฉิงฮุยที่ยืนอยู่ข้างหลังดูกระวนกระวายเป็นพิเศษ เขารู้ว่าเครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้เป็นของที่ฟอลคอนให้มา แต่กลับไม่คิดว่าหลิงม่อจะมีเส้นสายระดับนี้อยู่ในมือด้วย
“จบกันๆ คุยมาตั้งนานเขากลับไม่พูดถึงเรื่องแลกตัวประกันเลย…” ความตื่นเต้นระคนยินดีของจางเฉิงฮุยเริ่มจางหาย
เหล่าเจิ้งเองก็ทำหน้ายุ่งเหยิง ความรู้สึกที่เขามีต่อหลิงม่อในตอนนี้ค่อนข้างขัดแย้ง ด้านหนึ่งเขาเอาแต่หมกมุ่นคิดว่าเมื่อไหร่จะได้อัดเจ้าบ้านี่ซักยกนะ แต่ในอีกด้าน เขากลับอดใจรอให้หลิงม่อแสดงพลังและแผนสำรองที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าออกมาให้เห็นไม่ไหวแล้ว ทว่าเมื่อหลิงม่อเริ่มเผยเบาะแสออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เขากลับรู้สึกกระวนกระวายนั่งไม่ติดอีกเช่นกัน…
“วิธีที่ดีที่สุดก็คือฉวยโอกาสขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับหลิงม่อให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด เราได้แสดงน้ำใจไปแล้ว อย่างน้อยก็ไม่น่าจะมีปัญหากับการเชื่อมสัมพันธ์ในอนาคตแล้ว…แต่ถ้าเราช่วยพวกเขาได้ล่ะ? ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คงไม่ใช่แค่พันธมิตรธรรมดาแล้ว…ถึงแม้ว่าเป้าหมายสูงสุดของค่ายกลางของเราคือการมีชีวิตรอด แต่ยิ่งคนที่ต้องเลี้ยงดูมีมากขึ้น พวกเราก็ยิ่งต้องการทรัพยากรมากขึ้นตามไปด้วย…”
เหล่าเจิ้งครุ่นคิดด้วยสีหน้าสับสน “เดิมพันหรือไม่เดิมพัน?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลิงม่อวางสายแล้วเงยหน้าขึ้น สายตาเขาฉายแววสับสน เห็นชัดว่าเขารู้ข้อมูลจากอีกฝ่ายมาไม่น้อย
“ใครกัน?” ท่ามกลางความเงียบงัน มีเพียงซย่าน่าที่เอ่ยปากถามขึ้น
“ซูเชี่ยนโหรว” หลิงม่อตอบอย่างไม่คิดปิดบัง
“เธอเองหรอ…” สามสาวซอมบี้มองหน้ากัน อาศัยความสามารในการจำของพวกเธอ ภาพของซูเชี่ยนโหรวแทบจะผุดขึ้นมาในสมองทันทีที่พวกเธอได้ยินชื่อของเธอ ทว่านอกจากซย่าน่าที่ทำสีหน้าครุ่นคิด เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินก็ละความสนใจออกไปอย่างรวดเร็ว
“ผู้บัญชาการใหญ่…” จางเฉิงฮุยอึ้ง เขาถึงกับลืมนึกบ่นไปชั่วขณะ
“เป็นเธองั้นหรอ!” เหล่าเจิ้งตะลึง เขาร้องออกมาอย่างตกใจ “ตอนนั้นพวกเราเคยเจรจากับเธอ เรื่องการร่วมมือกัน!”
“จะว่าไปเรื่องที่ให้พวกเราไปติดต่อฟอลคอนที่ 2 ด้วยตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่เธอเสนอขึ้นมาเองนี่? อีกอบ่าง ดูจากท่าทีของเธอ เธอน่าจะให้สิทธิ์อิสระกว้างขวางกับฟอลคอนที่ 2 ไม่น้อย…” หวังหลิ่นพูดต่อ
ทุกคนต่างพากันทึ่ง แล้วก็หันไปมองหลิงม่อด้วยสายตาที่แตกต่างกัน
พอถูกหลิงม่อกวาดตามองผ่าย จางเฉิงฮุยพลันก้มหน้าก้มตา ส่วนเหล่าเจิ้งกลับกระแอมแห้ง
“ค่ายกลางคงมีอะไรอยู่ในกำมือไม่น้อย แต่ในสองคนนี้กลับเป็นเหล่าเจิ้งที่รู้ดีที่สุด ไม่ใช่หวังหลิ่น…น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะเหมาะสมที่จะสอบถามพวกเขา และเกรงว่าเขาเองก็กำลังรอดูผลลัพธ์สุดท้ายอยู่เหมือนกัน เพื่อที่จะได้ตัดสินว่าจะเชื่อมสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านี้กับเราหรือไม่…”
หลิงม่อครุ่นคิด พลางทำลายเครื่องมือสื่อสาร แล้วบอกว่า “ถึงแม้มีการช่วยเหลือจากเธอบางส่วน แต่สถานการณ์ลำบากที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้กลับไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยความช่วยเหลือนี้ ตรงกันข้าม พวกเรายังต้องเร่งความเร็วไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด…” เขาใช้ปลายเท่าเขี่ยเศษซากเครื่องมือสื่อสารกองนั้น แล้วก็เจอกล่องพลาสติกเล็กๆ หนึ่งกล่อง “ความน่ากลัวของเจ้าสิ่งนี้ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ติดต่อฉันได้เร็วขนาดนี้…น้ำเสียงฟังดูเหมือนถามหยั่งเชิง แต่หากไม่มีความมั่นใจในระดับหนึ่ง เธอจะกล้าวู่วามติดต่อมาได้ยังไง…”
สำหรับผู้หญิงอย่างซูเชี่ยนโหรว ความจริงหลิงม่อรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เธอสามารถไต่เต้าขึ้นไปนั่งตำแหน่งสูงในฟอลคอน สติปัญญาย่อมไม่ธรรมดา อีกอย่างในสถานการณ์อย่างนี้ เธอกลับยังสามารถรั้งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เอาไว้ได้ แค่จุดนี้ก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงยอดเยี่ยมของเธอแล้ว
“เกรงว่าสำหรับเธอ คงไม่ได้เดิมพันเบี้ยต่อรองสำคัญไว้กับเราสินะ? ซึ่งนี่ต่างกับเจ้าบ้าอวี่เหวินซวนโดยสิ้นเชิง…ไม่รู้ว่าเจ้าเฟิ้งจื่อนั่นจะเป็นยังไงบ้าง…
เสี้ยววินาทีที่หันกายกลับไป สายตาของหลิงม่อฉายแววเยือกเย็นอย่างไม่รู้ตัว “ลอบสังเกตการณ์ฟอลคอนที่ 2 ทำร้ายฉัน…ในเมื่อพวกนายมั่นใจขนาดนี้ ก็ตามมาลองดีดูสิ…”
…………
“ยังคงเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบเหมือนอย่างเคย…”
ในตึกสูงแห่งหนึ่ง ณ เมือง A ซูเชี่ยนโหรวยืนอยู่บนดาดฟ้า เธอพึมพำขณะทอดสายตามองออกไปยังที่ไกลๆ
ด้านหลังเธอ มีเด็กสาวสวมแว่นคนหนึ่งยืนอยู่ เด็กสาวคนนี้มีกล่องที่คล้ายกล้องอุปกรณ์เครื่องมือห้อยอยู่ข้างหน้า ในกล่องนั้นมีโน๊ตบุ๊คอยู่ตรงกลางหนึ่งเครื่อง ส่วนพื้นที่สองด้านเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือขนาดเล็กมากมาย ขณะเดียวกับที่หลิงม่อทำลายเครื่องมือสื่อสาร เด็กสาวก็ตะโกนออกมาอย่างตะลึง “อ๊ะ! จุดแสดงสัญญาณหายไปแล้ว!”
พูดไป เธอก็รีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเคาะแป้นพิมพ์รัวเร็วอย่างชำนาญ
“ช่างเถอะหลี่เว่ย” ซูเชี่ยนโหรวยกมือเสยผม แล้วแค่นหัวเราะขมขื่น “เขาคงรู้ตัวแล้วล่ะ หรือจะบอกว่า ด้วยนิสัยรอบคอบของเขายังไงก็ต้องรู้ตัวอยู่ดี…”
“น่าเสียดายจัง ทั้งที่อุตส่าห์ส่งซิกให้เขาเก็บมันไว้แล้วแท้ๆ…” หลี่เว่ยถอนหายใจ บอกว่า “ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรกับเขานี่…”
“ไม่ได้เกี่ยวกับมีผลเสียหรือไม่มีหรอกนะ คนบางคนไม่ชอบถูกบงการ ถึงจะเป็นการควบคุมทางอ้อมก็ไม่ชอบ ความหวังดีอย่างนี้ คนอย่างเขาไม่มีทางยอมรับไว้หรอก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ราคาที่ฉันเสนอไปก็แสดงออกถึงความจริงใจมากพอแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่หวั่นไหวกับมัน แต่สถานการณ์ในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นเหลือแล้ว…” ซูเชี่ยนโหรวพึมพำว่า “เพียงแต่ฉันเองก็จะลงทุนมือเปล่าไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถวางเดิมพันไว้กับเขาง่ายๆ ดังนั้นทีมทำลายล้างทีมนั้น ก็ว่าเป็นการสัมภาษณ์งานของนายแล้วกัน…ถ้าหากผ่านการสัมภาษณ์ ฉันจะมอบข้อมูลที่มีค่าให้นายเป็นของแถมด้วย…”
ระหว่างที่พูด ข้อมือของเธอกระตุกเบาๆ ทันใดนั้นการ์ดใบหนึ่งพลันปรากฏอยู่ระหว่างนิ้วมือเธอ
ด้านหนึ่งของการ์ดใบนี้เป็นรูปภาพที่ถูกพิมพ์ติดไว้ อีกด้านมีอักษรอยู่มากมาย เพียงแต่ใต้แสงสว่างอันน้อยนิด อักษรเหล่านั้นจึงดูเลือนรางไม่ชัดเจน…
“ถ้าเป็นนายล่ะก็ จะต้องสนใจสิ่งนี้มากแน่นอน…”
…………
ณ ป่ารกทึบใกล้กับตำบลขนาดเล็กที่ถูกทิ้งร้าง
วัชพืชที่สูงเท่าคนได้ปกคลุมพื้นที่ที่เคยเป็นผืนนาจนสิ้น แม้แต่ถนนหนทางที่เคยมีก็ถูกปิดคลุมจนมิด มีซากอาคารบ้านเรือนผุพังโผล่ขึ้นมาให้เห็นบ้างเป็นส่วนน้อย ทว่าวัชพืชนานาชนิดที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วได้เลื้อยขึ้นจนเต็มไปผนังบ้าน หญ้ารกสีเขียวเข้มเสียดแทงขึ้นมาตามช่องตามรู เมื่อลมพัดผ่านเสียง “หวีดหวิว” ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ไม่คิดเลยว่าในสถานที่อย่างนี้ก็ยังสามารถเดินอย่างไร้เสียงอย่างนั้นได้…” เหล่าเจิ้งมองไปข้างหน้าอย่างนึกกลัว เด็กในระหว่างเดินทางเด็กสาวสามคนนั้นกำลังแหวกหญ้าเปิดทางอย่างง่ายดาย เพื่อให้ทุกคนเดินตามหลังมาได้อย่างปลอดภัย ไม่โดนหญ้าบาด ความสามารถเช่นนี้หากแสดงออกมาในตอนกลางวัน เขาจะไม่ตะลึงถึงขนาดนี้…แต่ตอนนี้มันเป็นกลางคืนไง!
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพบตำแหน่งที่อยู่ พวกเขาไม่สามารถใช้ไฟฉายไม่ได้ บวกกับอยู่ในพุ่มหญ้าสูง ทุกคนจึงแทบจะสูญเสียการรับรู้ทิศทางไปอย่างสิ้นเชิง กระทั่งแม้แต่ความสามารถในการมองเห็นก็ยังถดถอยตามไปด้วย มีเพียงเด็กสาวสามคนนั้นที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย และหลิงม่อเองก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรด้วยเหมือนกัน…
“พวกเขาจะตามเข้ามาจริงหรอ?” จู่ๆ หลันหลันก็ถามเสียงเบา
ตั้งแต่ที่เข้ามาในนี้ เธอก็ตกอยู่ในความเงียบอย่างไม่รู้ตัว นั่นก็ไม่แปลก การต้องเดินแหวกหญ้าในสถานที่อย่างนี้ ง่ายต่อการทำให้คนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ขณะเดียวกันก็มีบรรยากาศอันตรายแผ่ปกคลุมโดยรอบ ทำให้รู้สึกกดดันในใจเงียบๆ
“ใช่” หลิงม่อพยักหน้าอย่างมั่นใจ
เรื่องนี้ แค่ฟังจากที่ไคลี่พูดก็รู้แล้ว…
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราจะเดินทางอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้หรือเปล่า? สถานการณ์ในฟอลคอนที่ 2 ก็ยังไม่ชัดเจน จะเข้าไปเลยก็คงไม่ได้ อีกอย่างจะเจออะไรระหว่างทางหรือเปล่าก็ยังรับประกันไม่ได้…” เหล่าเจิ้งพูดอย่างกังวล “บอกตรงๆ นะ ฉันรู้สึกเหมือนแถวๆ นี้มีบางอย่างกำลังจ้องฉันอยู่ตลอดเลย…”
“หา! อยู่ไหนๆ!” อยู่ๆ จางเฉิงฮุยก็กระโดดโหยง แล้วหันไปมองรอบตัว
ซย่าน่าหันกลับไปมองเหล่าหลันกับจางเฉิงฮุยแวบหนึ่ง จากนั้นก็จับคางพูดเสียงเรียบ “ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ…สองคนนี้มีเรี่ยวแรงน้อย ทนไม่ไหวแน่นอน…ไม่ ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน ถ้าหากเดินทางในป่ารกทึบไปตลอด คนอื่นๆ นอกจากพวกฉันสามคนล้วนยากที่จะอดทนได้…พี่หลิงต้องกระจายพลังจิตอีก นั่นทำให้พี่ต้องแบกรับภาระมากเกินไป…”
“ดังนั้น ที่นี่ก็เลยจะกลายเป็นสนามรบอีกแห่งไงล่ะ” หลิงม่อบอก
“อะไรนะ?” หวังหลิ่นหันหน้ามาถาม
หลิงม่อยิ้มบาง บอกว่า “สถานที่อย่างนี้ พวกเราจะเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่า…บางครั้งจำนวนคนมากกว่าก็กลายเป็นภาระอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน”
—————————————————————————–