แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 855 ตะปูที่ตอกลงในใจ
ระหว่างนั้น หลิงม่อได้ควบคุมหัวหน้าทีมคนนี้ให้เดินมาถึงชั้นสาม
หลังจากใช้กระดาษทิชชู่ห่อหนึ่งสลัดหยางเหมยออกไป เขาก็เร่งฝีเท้าเดินออกมาอย่างรวดเร็วกว่าเดิม
ดูจากผลลัพธ์ที่ได้ ครั้งหน้าถ้าเจอกับผู้หญิงคนนั้นอีก คงไม่ง่ายอย่างนี้อีกแล้ว…
จากการคาดเดาของเขา คนของฟอลคอนที่อยู่ในตึกนี้ไม่น่าจะมีมากเท่าไหร่ และพวกเขาก็แบ่งออกเป็นสองประเภท
ประเภทแรก คือคนที่มีพลังประหลาด และพลังคุกคามในระดับหนึ่งเหมือนกับหยางเหมย อีกประเภทคือคนอย่างหัวหน้าทีมคนนี้ ที่เรียกได้ว่าเป็น “ตัวรับกระสุน” ก็ว่าได้ อาศัยตัวรับกระสุนเป็นตัวอำพราง เพื่อตอกตะปูที่มีบทบาทที่แท้จริง นี่คืออุบายที่ฟอลคอนใช้อย่างเปิดเผย
เรื่องนี้แม้แต่เขายังดูออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฐานทัพที่ 2 ซึ่งตกอยู่ในวังวนนี้เลย
ถึงแม้พวกเขาจำต้องยอมรับวิธีการของฟอลคอนไปตามสถานการณ์ก่อน แต่ด้วยนิสัยของอวี่เหวินซวน เขาไม่มีทางยอมให้ตอกตะปูเข้ามาในถิ่นของตัวเองมากเกินไปแน่นอน
ดังนั้นตัวรับกระสุนที่นี่อาจจะมีมากหน่อย แต่ตะปูอย่างหยางเหมยกลับมีไม่มากนัก
พอวิเคราะห์อย่างนี้ หลิงม่อก็รู้สึกชื้นใจขึ้น
“ถึงแม้จะไม่รู้ว่ายัยโรคจิตสะกดรอยตามนั่นจะมองเห็นปัญหาจากจุดไหน แต่ก็มั่นใจได้ว่าเธอยังอยู่ในขั้นสงสัยและหยั่งเชิง ไม่น่าจะทำอะไรกับเรา…จะว่าไปแล้ววุ่นวายจริงๆ เลย เพิ่งจะเข้ามาก็ถูกเพ่งเล็งซะแล้ว ตามคาด บรรยากาศตึงเครียด ก่อนที่จะเกิดพายุลูกใหญ่…” หลิงม่อคิดอย่างว้าวุ่นใจ
เมื่อเป็นอย่างนี้ ความเป็นไปได้ที่หวังว่าฟอลคอนจะประมาท ก็คงลดลงไปด้วย…
“กลับกัน การที่พวกเขายังสามารถรักษาสมดุลไว้ได้อย่างนี้ ก็แสดงว่าสถานการณ์ยังคงเลวร้ายจนถึงขั้นที่สามารถตัดสินเป็นตายได้ตลอดเวลาสินะ…”
หลิงม่อเดินไปตามทางเดิน พลางลูบคลำร่างกายของ “ตัวเอง” ไปด้วย
เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองเป็นสายลับ แต่ตอนนี้ดูจากสถานการณ์แล้ว คงต้องเพิ่มความสามารถในการป้องกันตัวหน่อยถึงจะได้
ทว่าแผนรับมือที่แท้จริงของเขาไม่ใช่สิ่งนี้ แต่เป็นเจ้ามาสเตอร์บอลที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หมวกต่างหาก…
“แต่ถ้าไม่ใช้ได้ ก็ไม่ใช้ดีกว่า แหวกหญ้าให้งูตื่น อีกหน่อยถ้าต้องใช้อีกครั้ง ผลลัพธ์อาจไม่ดีเท่าเดิม…”
หัวหน้าทีมคนนี้ถึงแม้เป็นแค่ตัวรับกระสุน แต่กลับยังมีอาวุธเต็มรูปแบบเหมือนกัน
นอกจากบุหรี่หอมซองหนึ่งที่ถูกเขาใช้เป็นสิ่งของซื้อใจ บนตัวของเขายังมีกริชอีกหนึ่งเล่ม ปืนพกหนึ่งกระบอก รวมถึงซองกระสุนอีกอีกสองอัน
ผู้รอดชีวิตทั่วไปเวลาเห็นอาวุธปืน จะรู้สึกดีใจอย่างแน่นอน แต่หลิงม่อกลับนิ่งเงียบไปทันที
หลายวินาทีผ่านไป เขากำปืนกระบอกนั้นแน่น พลางคำรามในใจ “มีประโยชน์อะไรวะ!”
เขาเงยหน้ามองทางเดินแคบๆ เส้นนี้…”ยิงปืนในที่แบบนี้ บางทีอาจเป็นการฆ่าตัวตายก็ได้…”
พรสวรรค์ด้านการยิงปืนคงเรียกได้ว่าเป็นข้อด้อยที่ไม่มีทางลบล้างได้ และความสามารถของหัวหน้าทีมคนนี้ นอกจากเรื่องการยิงปืน ก็คงจะมีแต่ร่างกายกำยำที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักนี่แล้ว
“เทียบกับซอมบี้ธรรมดาถือว่าด้อยกว่าหลายเท่า แต่ก็ยังพอตามการตอบสนองทางจิตของเราได้ทัน”
หลิงม่อเอากริชเล่มนั้นยัดใส่ในแขนเสื้อ ทำอย่างนี้แค่กระตุกแขนเบาๆ ก็สามารถเอากริชออกมาถือไว้ในมือได้แล้ว
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ หลิงม่อก็ค่อยๆ เดินแนบตัวกับผนังไปตามทางเดิน และเดินเลี้ยวไปพร้อมกับ “poker face” ของตัวเอง (poker face หมายถึง การไม่แสดงสีหน้าของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ความคิด)
“หยุดก่อน!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนยืนขวางอยู่ข้างหน้า
สองคนนี้สวมชุดเหมือนหัวหน้าทีม ขาดก็แต่อินทรธนูบนบ่า
แวบแรกที่เห็นพวกเขา หลิงม่อก็ได้ตัดสินทันที
ตัวรับกระสุนสองตัว…
“มีเรื่องอะไรหรอ?” หนึ่งในสองคนนั้นถามเสียงเย็นชา มือของเขาเท้าสะเอว แฝงความหมายตักเตือน
ถึงอย่างไรก็เป็นสมาชิกของฟอลคอน ท่าทีที่พวกเขาปฏิบัติต่อหลิงม่อจึงนุ่มนวลมาก ไม่ได้เอะอะยกปืนจ่อท่าเดียว
หลิงม่อเดินผ่านเขาแล้วมองไปข้างหลังแวบหนึ่ง เขาได้กลิ่นคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่จำนวนมาก ถึงได้มาเสี่ยงดวงเอาที่นี่
แต่ดูจากตอนนี้ การจะเข้าใกล้กลิ่นอายเหล่านั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซะแล้ว
หลิงม่อผิดหวังเล็กน้อย เขาครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “ฉันมีเรื่องจะรายงาน”
ใช่แล้ว ประโยคนี้แหละ!
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ประโยคนี้ก็ถือได้ว่าไร้ช่องโหว่ที่สุดแล้ว!
หากโชคดี เขาก็จะถูกนำตัวไปพบกับผู้บังคับบัญชาการของหัวหน้าทีมคนนี้
ถึงแม้เขาจะโชคไม่ดี มาหาผิดที่ อย่างมากก็แค่ถูกไล่ตะเพิดออกไปเท่านั้น
“น้ำหน้าอย่างนายคิดจะรายงานข้ามขั้น? รีบกลับไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่เกรงใจแล้วนะ…” อะไรประมาณนี้เป็นต้น
ไม่แน่ว่าจากบทสนทนาระหว่างอีกฝ่าย เขาอาจได้ยินข่าวคราวที่เกี่ยวกับเบื้องบนด้วยก็ได้!
“หยางเหมยเป็นระดับเลขา เราสู้ไม่ได้…แต่เราเป็นถึงระดับหัวหน้าทีมใหญ่จะสู้พวกนี้ไม่ได้เชียวหรอ!” หลิงม่อลอบคิดในใจ
เป็นไปตามคาด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นก็คลายมือที่กระชับปืนแน่นออกเบาๆ
ชายคนที่พูดก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงไม่น้อย เขาเดินไปยืนข้างๆ แล้วบอกว่า “ไปสิ แต่จำเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตูมั่วซั่ว” พูดไป สายตาเขาก็เหลือบไปทางประตูห้องห้องหนึ่ง
หลิงม่อสังเกตการกระทำของสองคนนี้ไม่อย่างละสายตา จึงรีบมองไปตามสายตาของเขาทันที
ห้องนั้นเองหรอ!
ถึงจะไม่ใช่ เขาก็ยังมีวิธีรับมือรออยู่แล้ว…
สรุปว่า ตอนนี้เขาเข้าไปได้แล้ว!
หลิงม่อลิงโลด หลังจากหันไปพยักหน้าให้สองคนนั้น เขาก็เดินลึกเข้าไปในทางเดินเส้นนั้นอย่างเคร่งขรึม
“เดี๋ยวก่อน!”
เวลานี้ จู่ๆ เสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนก็ดังมาจากข้างหลัง
หลิงม่อชะงัก แล้วค่อยๆ หันหน้ากลับไป ถามด้วยสีหน้าที่ยังคงเป็นปกติ “มีเรื่องอะไรอีกงั้นหรอ?”
ชายคนนั้นโบกมือ “ครั้งหน้าอย่ามาดึกอย่างนี้อีก ต้องรักษากฎระเบียบ”
ที่แท้ก็เรื่องนี้! หลิงม่อเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกสองคนนี้ต้องขวางทางเขา…
สิ่งที่พวกเขาต้องการจะพูดจริงๆ ก็คือ : คนอื่นเขาเลิกงานกันหมดแล้ว นายยังจะมาทำอะไรในเวลานี้อีก!
ทว่า “สีหน้า” จริงจังรวมถึงบทพูดสารพัดประโยชน์ของเขา กลับสามารถทำให้เขาไขว่คว้าโอกาสในการเข้าพบมาได้สำเร็จ…
สองคนนี้ช่างเป็นคนดี!
หลิงม่อมองพวกเขาด้วยสายตาซาบซึ้ง แล้วเดินไปทางประตูห้องบานนั้นต่อ
ระหว่างทางเขาเดินผ่านห้องสองห้อง และได้กลิ่นของมนุษย์ประมาณสามคน…
“หนึ่งห้องอยู่กันอย่างมากก็สองคน ถ้าอย่างนั้น…”
หลิงม่อลอบคำนวณเงียบๆ แล้วก็ได้ผลสรุปว่า “ประมาณสิบคน…จำนวนคนเท่านี้ คงจะมากสุดเท่าที่อวี่เหวินซวนจะยอมได้แล้วสินะ”
“ที่นี่…มีแค่คนเดียว!”
หลิงม่อยืนอยู่หน้าประตู สูดหายใจเบาๆ พลางขยับปากที่แข็งทื่อเล็กน้อย
คนเดียวก็ดีน่ะสิ…
“ก๊อกๆ!”
เมื่อเสียงเคาะประตูดัง เสียงเหนื่อยล้าหนึ่งก็ดังสวนมาจากในห้องทันที “เข้ามา…”
หลิงม่อยื่นมือไปจับกลอนประตู ประกายสีแดงวาบวับผ่านดวงตาชั่วขณะ…
…………
“เชี่ย!”
ท่ามกลางป่าร้าง ร่างจริงของหลิงม่อพลันยกมือทาบอก
สายตาเขาราวกับพร่ามัวไปชั่วขณะ ขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นเร็วขึ้นมาก
เหมือนมีมือข้างหนึ่งกำลังบีบเค้นหัวใจเขาเบาๆ…
ถึงแม้หัวใจกำลังเต้นอย่างรุนแรง แต่กลับรู้สึกหนักหน่วงไปพร้อมกัน
และท่ามกลางความตื่นตะลึง หลิงม่อราวกับได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องในหู เป็นเสียงหัวเราะของเด็กสาวคนหนึ่ง
เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็น กระหายเลือด แค่ได้ยินเสียง ก็เหมือนเห็นศพแขนหักขาขาดมากมาย รวมถึงเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วทิศแล้ว…
“คิกคิก”
เสียงนี้มาอย่างกะทันหัน แต่กลับชัดเจนไร้ที่เปรียบ…
หลิงม่อค่อยๆ ลืมตา จากนั้นก็หอบหายใจแรงๆ สองที
ราชินีแมงมุม…
“แต่เราข่มกลั้นมาได้ตั้งนานแล้ว ทำไมตอนนี้จู่ๆ ถึงได้…”
ความรู้สึกกระวนกระวายพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ หลิงม่อมองเงาต้นหญ้ามากมายที่อยู่รอบกาย พลันเบิกตากว้าง
“ฉันรู้แล้ว!”
เสี่ยวป๋ายเลิกเปลือกตาดำๆ ขึ้นมองหลิงม่ออย่างเกียจคร้านแวบหนึ่ง แล้วร้อง “แบ๊…”
อวี๋ซือหรานยังคงเถียงกับเฮยซือที่อยู่ในสมองตัวเองอย่างไม่มีใครยอมใคร กระทั่งยืนหันกลับไปทางโน้นทีหันกลับมาทางนี้ทีเพื่อทะเลาะกับ “ตัวเอง” ไม่หยุด…แต่อยู่ๆ เธอก็หยุด แล้วหันมามองหลิงม่ออย่างสงสัย
ในพุ่มหญ้าที่ห่างออกไปไม่ไกล สามสาวเย่เลี่ยนที่กำลังจ้องมองไปยังสนามบินต่างก็ตะลึงไปพร้อมกัน
พวกเธอสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นเย่เลี่ยนก็ยกมือขึ้นลูบหัวใจตัวเองอย่างสับสน
ถึงแม้จะเป็นสัมผัสเลือนราง แต่…
“ร่างกายพี่หลิง คงไม่ใช่ว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปหรอกนะ” อยู่ๆ ซย่าน่าก็พึมพำขึ้นมา
ถึงแม้หวังหลิ่นจะไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร แต่ขณะที่เหลือบเห็นสีหน้าของซย่าน่าจากหางตา เธอก็รู้สึกใจเต้นแรงทันที
“มีเรื่องอะไร…เกิดขึ้นงั้นหรอ?”
หวังหลิ่นหันกลับไป ทอดสายตามองไปยังที่ไกลๆ ข้างหลังเธอ
ทุ่งหญ้าร้างที่กว้างจนไม่มีที่สิ้นสุดบดบังการมองเห็นของเธอ แต่เธอสัมผัสได้รางๆ ว่าหลิงม่ออยู่ที่ไหนซักที่ ในทุ่งหญ้านี้…
—————————————————————————–