แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 860 ช่องโหว่
ก่อนที่จะไปจากที่นี่ หลิงม่อได้หยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าเสื้อหยางเหมยติดมือไปด้วย…
ระหว่างที่ซักถามเธอ เธอก็ได้ถามเรื่องที่หยางเหมยตามเขาอย่างไม่ลดละด้วย และคำตอบที่ได้ก็ทำให้เขาระแวงขึ้นมาทันที
กล้องวงจรปิด…เนื่องจากมันถูกซ่อนไว้ในเพดาน ดังนั้นผู้บุกรุกที่มาจากข้างนอกจึงยากจะค้นพบ แน่นอนว่าในห้องของหัวหน้าใหญ่ ไม่มีทางมีกล้องวงจรปิดอย่างนี้อยู่แล้ว
แต่หยางเหมยที่มีฐานะเป็นเลขาสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ได้ และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงที่มาที่ไปของหัวหน้าทีมย่อยอย่างเขาด้วย แม้แต่ทุกการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของเขาก็ด้วย ทว่าสิ่งที่กระตุ้นความสงสัยของเธอก่อนเหตุผลดังกล่าวทั้งหมด กลับเป็นช่องโหว่ที่แม้แต่หลิงม่อเองก็ยังไม่รู้ตัว
กลิ่นอาย…บนร่างกายเขา มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่
ภายนอกไม่มีบาดแผล เสื้อผ้าก็ไม่มีร่องรอยความเสียหาย แต่ถ้าหากพบเจออันตราย จะแสดงท่าทีใจเย็นขนาดนี้ได้ยังไง? จุดที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจนขนาดนี้ ย่อมกระตุ้นความสงสัยจากหยางเหมยได้อยู่แล้ว
ที่เหลือก็เหลือแต่ต้องยืนยันเท่านั้น…เดิมทีหลิงม่อคิดว่าแค่ต้องหลีกเลี่ยงการสนทนากับผู้หญิงคนนี้ ก็จะสามารถเลี่ยงการตรวจสอบจากเธอได้ แต่ความจริงในขณะที่ทั้งสองเผชิญหน้ากัน เธอก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เธอมั่นใจว่ามีกลิ่นคาวเลือดอยู่จริง บวกกับที่หลิงม่อพยายามหลบหน้าเธอ…เมื่อสิ่งผิดปกติเหล่านี้มารวมกัน มันยิ่งกระตุ้นให้หยางเหมยอยากตรวจสอบให้ชัดเจน
หลังจากตามหาสมาชิกทีมลาดตระเวนจนเจอด้วยการใช้เครื่องมือสื่อสาร เธอก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สนามบินทันที…
ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ หัวหน้าทีมย่อยปลีกตัวออกไปครั้งหนึ่ง…
“ในเมื่อในสนามบินไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าอย่างนั้น ปัญหาก็คงอยู่ที่ตัวหัวหน้าทีมย่อยคนนั้นแล้วล่ะ”
หลังจากมั่นใจจุดนี้ และตรวจสอบสถานที่ที่หลิงม่อไปจากกล้องวงจรปิด…เรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะจัดการง่ายดาย
สิ่งเดียวที่เธอคาดการณ์ผิดไปก็คือ หลิงม่อไม่ได้กังวลมากนัก และไม่คิดจะรับการหยั่งเชิงจากเธออย่างว่าง่ายด้วย…
“ช่างเป็นผู้หญิงที่รอบคอบจริงๆ ถ้าอย่างนั้น ตอนที่เราหนีออกมาจากห้องน้ำก่อนหน้านี้ก็ถูกเห็นแล้วน่ะสิ…แต่หยางเหมยยังไม่ได้บอกคนอื่นเรื่องพฤติกรรมแปลกๆ ของเรา ถ้าเป็นอย่างนี้ การที่เธอสะกดรอยตามเรากลับจะกลายเป็นเรื่องซุบซิบได้…ช่างเถอะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีคนสงสัยเพิ่มชั่วคราวล่ะ แต่สิ่งที่ควรสนใจในตอนนี้ คืออีกคนที่เธอพูดถึง…”
หัวหน้าทีมของทีมทำลายลาง หนึ่งในคนสนิทของผู้บัญชาการหวัง ขณะเดียวกันคนคนนี้อาจเป็นตัวการใหญ่ของตะปูกลุ่มนี้ก็เป็นได้…
ถึงแม้จะถูกเรียกว่าเป็นหัวหน้าในนาม แต่ในความจริง คนคนนี้เป็นเหมือนผู้คุ้มกันของผู้บัญชาการหวังมากกว่า และบทบาทของเขาในที่แห่งนี้ ก็คือเป็นดวงตาคอยสอดส่องแทนผู้บัญชาการหวังนั่นเอง สมาชิกที่ประจำการอยู่ในฐานทัพที่ 2 ถูกสับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง มีแค่หัวหน้าทีมคนนี้คนเดียวที่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้นจนจบ หากวัดกันที่คุณสมบัติและประสบการณ์ เขาถือได้ว่าเป็นคนเก่าแก่แล้ว…เป็นบุคลากรระดับอาวุโสของที่นี่
“ถ้าหากโชคดี ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นตะปูตัวที่แฝงตัวได้แนบเนียนที่สุดตัวนั้นก็ได้…”
การประชุมที่จะถูกจัดขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า เจ้าคนที่ชื่อฉีเทียนอี้คนนี้ก็จะเข้าร่วมด้วย และสำหรับหลิงม่อ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาส
“การเข้าไปในห้องประชุมโดยตรงนั้นยากเกินไป แล้วก็เสี่ยงเกินไปด้วย วิธีที่ดีที่สุดคือ…ขัดขวางเขาระหว่างทาง!”
ในฐานะหัวหน้าทีมทำลายล้าง ที่พักของฉีเทียนอี้ย่อมมีคนคุ้มกันแน่นหนา
แต่ในระหว่างทางที่เขาออกจากที่พักไปยังห้องประชุม คนติดตามต้องมีไม่เยอะแน่นอน
“จะให้ดีที่สุดคือเขามาคนเดียว ถึงจะมีคนติดตามมาด้วย ก็ไม่น่าเกินสองคน ถ้าหากจัดการเขาก่อนการประชุมเริ่มขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้น ไม่แน่อาจสามารถจัดการสมาชิกฟอลคอนทั้งหมดได้ในคราวเดียวผ่านการประชุมครั้งนี้!ถึงตอนนั้นแม้ว่าฉีเทียนอี้จะไม่ใช่ตะปูตัวที่ฝังรากลึกที่สุด เขาก็ต้องรู้อยู่ดีว่าเป็นใคร!”
ขณะที่เดินไปทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนนั้น หลิงม่อก็ลอบใช้ความคิดไปด้วย “ร่วมมือกับฟอลคอนลอบซุ่มโจมตีฉัน ไม่ว่าแกจะเป็นใคร ก็ต้องชดใช้เรื่องนี้!”
“เลขาหยางกับหัวหน้าทีมยังมีเรื่องต้องคุยกัน อย่าให้ใครไปรบกวน” พอถูกสายตาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองมา หลิงม่อก็พูดขึ้น
ใบหน้าแข็งทื่อไร้อารมณ์นี้ของเขาทำให้คนฟังเชื่อได้ง่ายๆ หลังจากที่ทั้งสองมองตากัน ก็ไม่ได้ถามอะไรมากความอีก แค่เพียงต่างคนต่างพยักหน้า
“แค่นี้ก็โอเคแล้ว ถึงจะมีคนมาหาพวกเขาสองคน ก็ไม่มีทางได้เข้าใกล้ง่ายๆ ถ่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงได้สำเร็จ!”
หลังจากเดินออกจากทางเดินเส้นนี้ หลิงม่อยังคงเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
“ทางเดินทุกเส้นมีกล้องวงจรปิด แถมยังมีเยอะจนแม้แต่หยางเหมยก็ยังจำได้ไม่หมด…แต่นอกจากในห้อง ก็ยังมีอีกที่หนึ่งที่ไม่มีกล้องวงจรผิดแน่ๆ…แต่น่าเสียดายที่ในสถานการณ์ที่มีกล้องวงจรปิดอยู่ ไม่สามารถบุ่มบ่ามเข้าไปหาพวกอวี่เหวินซวนได้…”
พอเหลือบเห็นข้างหน้าทีป้ายห้องน้ำโผล่ขึ้นมา หลิงม่อรีบยกมือทำท่ากุมท้องทันที จากนั้นก็เร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ปัง!”
ประตูห้องน้ำถูกปิดลง หลิงม่อกำหมัดแน่นทันที
แผ่นหลังของเขาคดงอ กล้ามเนื้อที่เกร็งไว้ตลอดเวลาเริ่มดิ้นขลุกขลักอีกครั้ง
กล้ามเนื้อที่เดิมเห็นไม่ค่อยชัดเริ่มปูดโปนขึ้นมาเป็นมัดๆ เสียงเบาๆ ดังออกมาจากข้างในอย่างต่อเนื่องราวกับกำลังระเบิดอยู่
“ซวยแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปต้องกลายเป็นอาโนลด์ครึ่งตัวแน่ๆ! รูปร่างเปลี่ยนไปขนาดนี้คนโง่ที่ไหนก็ดูออกว่าผิดปกติ!เข้าออกห้องน้ำรอบเดียวก็กลายเป็นหนุ่มนักเพาะกล้ามไปในพริบตา จะหาข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้นได้ยังไงกันล่ะเนี่ย!”
“เอาเป็นว่า ต้องแก้ไขสถานการณ์ที่อยู่ๆ ก็กล้ามโตขึ้นมาเหมือนกินผักขมเข้าไปก่อน…”
เวลานี้ แมงกะพรุนสีแดงตัวหนึ่งได้ปรากฏตัวบนหัวเขาอีกครั้ง…
ขณะเดียวกับที่หุ่นซอมบี้ของหลิงม่อกำลังกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางป่ารกร้าง เงาคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังฐานทัพที่ 2 อย่างเงียบเชียบ
การติดตั้งอุปกรณ์ของคนกลุ่มนี้ดูเพียบพร้อมกว่าพวกของชายสวมแว่นมาก และถือว่าอยู่ในระดับไล่เลี่ยกับทีมทำลายล้างที่ถูกกำจัดไปแล้ว
สิ่งที่สำคัญกว่าคือ คนกลุ่มนี้ล้วนดูไม่ธรรมดา พวกเขาดูเหมือนสัตว์ร้ายที่ซุ่มอยู่ในความมืด และกำลังเคลื่อนไหวไปตามทุ่งหญ้าร้างทีละนิดๆ
“ตรงนี้!”
ทันใดนั้น ทหารที่กำลังหมอบคลานไปกับพื้นแหวกกอหญ้าเบื้องหน้าออก จากนั้นก็เก็บขวดน้ำแร่เปล่าขวดหนึ่งขึ้นมาจากพื้น
เขายกขวดน้ำขึ้นดม บอกว่า “น่าจะในสามถึงห้าวันที่ผ่านมา”
เมื่อเขาโบกมือส่งสัญญาณไปข้างหลัง อีกหลายคนก็เริ่มกระจายตัวค้นหาโดยยึดที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางทันที
“เดินตามร่องรอยที่พวกหลิงม่อทิ้งไว้ ตามหาตำแหน่งที่พวกมันอยู่ได้ไม่ยาก อย่างน้อยหากดูจากข้อมูลที่มีในปัจจุบัน พวกนั้นยังไม่ได้เข้าไปในฐานทัพที่ 2…จำไว้ ครั้งนี้ยึดการค้นหาเป็นหลัก หากไม่จำเป็นห้ามเผชิญหน้าโดยตรงเด็ดขาด! จะให้ดีที่สุดคือไล่ต้อนพวกนั้น…”
แต่ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ เสียงแค่นหัวเราะอย่างไม่พอใจก็ดังออกมาจากพุ่มหญ้า ไม่นาน พุ่มหญ้าก็สั่นสะเทือน…
“หมายเลข 19 หายตัวไปแล้ว!”
“เฮ้ย! หมายเลข 21 ก็หายไปเหมือนกัน!”
“หมายเลข 7 ก็…”
“หมายเลข 11 ล่ะ? เมื่อกี้เขายังอยู่ข้างหลังฉันอยู่เลย!”
คนที่เหลือต่างพากันถอยเข้ามารวมตัวกันอย่างตื่นตระหนก พร้อมยกปืนขึ้นเล็งไปยังรอบทิศ
ท่ามกลางพุ่มหญ้ารก ราวกับมีปากปีศาจอ้ารอพวกเขาอยู่ ในขณะที่พวกเขาไม่รู้ตัว ปีศาจตัวนี้กำลังกลืนกินพวกเขาไปทีละนิดๆ…
“สวบ!”
ทันใดนั้นประกายของมีคมสองเส้นพลันวาดผ่าน เมื่อกะโหลกศีรษะหนึ่งลอยขึ้น และประกายสองเส้นนี้กระทบกันท่ามกลางหยาดเลือดโปรยปราย พวกมันก็พุ่งไปยังอีกสองเป้าหมายถัดไป
“ลอบโจมตี!”
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะตะโกนออกมา ทันใดนั้นเสียงที่ฟังดูเหมือนขลาดกลัวเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ข้างหูเขา
“ระเบิด”
“อึกอึก…” เมื่อสายตาพร่าเลือน ปากปืนของชายคนนี้ก็เอียงไปมาเอียงมา ยิงเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจนร่างพรุนเป็นกระชอน…
“เกิดอะไรขึ้น?! พลังพิเศษเหล่านี้…ไม่ใช่พลังพิเศษที่พวกหลิงม่อมี!”
ทหารที่เป็นผู้นำทีมรีบหมอบลงกับพื้น พลางกระชับปืนด้วยมือข้างหนึ่ง มองไปรอบกายอย่างตื่นตระหนก
“อยากรู้หรอ?”
อยู่ๆ เสียงผู้หญิงก็ดังขึ้นบนหัวเขา พอทหารนายนั้นเงยหน้า หญิงสาวที่สวมชุดรัดรูป แถมยังดูมีเสน่ห์แบบเถื่อนๆ คนหนึ่งก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ปืนในมือของเธอเล็งมาที่พวกเขา “น่าเสียดายที่คำตอบไม่ใช่สิ่งที่พวกนายควรรู้…”
“พวกเธอเป็น…”
ทหารนายนั้นเพิ่งจะเบิกตากว้าง ปืนของผู้หญิงคนนี้ก็ลั่นไกกระสุนออกไปแล้ว
เสียง ตึงตึงตึง แผ่ปกคลุ่มไปทั่วบริเวณ ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายแววตาโหดเหี้ยมคนหนึ่งเดินหิ้วศพที่เต็มไปด้วยบาดแผลเข้ามา เขายืนล้วงกระเป๋าด้วยมือข้างเดียวอยู่ข้างศพมากมาย
เขาโยนศพในมือลงพื้น จากนั้นก็ดึงมีดสั้นสองเล่มนั้นที่ปักอยู่บนร่างศพกลับมา
“แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
ผู้หญิงคนนั้นยังคงถือปืนที่มีเขม่าควันลอยออกมาอยู่ แล้วพยักหน้าบอกว่า “การจัดการทีมช่วยเหลือ…แค่เฝ้าตอรอกระต่ายก็ทำสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ว่าเรื่องอย่างนี้ ได้ผลแค่ครั้งเดียว…”
“แค่ครั้งเดียวก็พอแล้วมั้ง” เสียงพูดของใครอีกคนดังมาจากข้างหลัง
คนคนนั้นเองก็หิ้วศพไว้ในมือ ทว่าสีหน้ากลับดูเหมือนหงุดหงิดสุดๆ “ร้ายดียังไงฉันก็เป็นครูฝึกนะ แต่ทำไมกลับต้องมาทำเรื่องแบบนี้อยู่เรื่อย…”
—————————————————————————–