แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 864 เรื่องที่นายเป็น XX ถูกเปิดเผยแล้ว!
แสงสว่างในห้องบันไดมืดมิดมาก ซ้ำยังมีประตูเหล็กกั้นไว้ระหว่างเฉลียงทางเดินอีก ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว มันกลับอยู่ใกล้ว่าห้องน้ำมาก ดังนั้นขณะที่เลขาฯ สาวเดินเลี้ยว ฉีเทียนอี้กลับเดินเข้าไปในห้องบันไดแล้ว และกำลังหันกลับมาจ้องแผ่นหลังของเลขาฯ สาวด้วยสีหน้าตึงเครียด
แต่เขาเพิ่งจะหันกลับไป เสียงพูดหนึ่งก็ดังขึ้นมาในหู “ปิดประตู”
“หื้ม?” ฉีเทียนอี้ชะงัก แล้วกวาดมองไปรอบกายอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “เป็นไปไม่ได้ ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในเขตกล้องวงจรปิดแล้วนี่ หมอนั่นมองเห็นได้ยังไงกันแน่? ถ้าหากเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต เราก็น่าจะสัมผัสได้สิ ถึงแม้จะเป็นพลังประเภทที่ถนัดอำพรางตัว ก็ไม่มีทางเล็ดลอดสัมผัสรู้ของฉันกับหล่อนไปพร้อมกันได้แน่นอน…”
คิดได้อย่างนี้ ฉีเทียนอี้ก็เงี่ยหูฟังเสียงรอบข้างทันที แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เขาต้องหงุดหงิด “ไม่มีเลย…ถ้าหากไม่ได้มองผ่านกล้องวงจรปิด ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้มากว่าหมอนั่นต้องอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ แต่เรากลับไม่ได้ยินเสียงหายใจของคนอื่นเลย”
ฉีเทียนอี้คว้าน้ำเหลว แต่เขาไม่รู้ว่าถ้าหากอีกฝ่ายถูกเขาจับได้สิถึงจะเป็นเรื่องแปลกจริงๆ…ตอนนี้สถานการณ์ของหัวหน้าทีมย่อยไม่ได้แตกต่างจากซอมบี้ที่กลายพันธุ์สมบูรณ์เลย กระทั่งยังแข็งแกร่งกว่าในบางด้านด้วยซ้ำ ในสถานการณ์ที่เขาจงใจอำพรางตัว ถึงแม้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตก็ไม่อาจสัมผัสถึงเขาได้ …พลังพิเศษของเจ้ามาสเตอร์บอล “เข้ามาเลยพลังจิต!” เองก็สามารถปกปิดการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ที่ใช้พลังจิตได้ โดยเฉพาะเมื่อร่างรับสัมผัสมีพลังจิตไม่มากนักอยู่แล้ว ผลลัพธ์ยิ่งน่าทึ่ง
และชื่อของพลังชนิดนี้ ก็เป็นชื่อที่หลิงม่อเพิ่งคิดขึ้นมาได้สดๆ ร้อนๆ…
ทว่าวิธีการ “สอดส่อง” ของหลิงม่อกลับไม่ได้ใช้พลังจิต แต่ใช้วิธีการที่ดั้งเดิมยิ่งกว่า : อาศัยประสาทรับกลิ่นของซอมบี้ ขอเพียงจดจำระยะห่างของทั้งสองฝั่งไว้ก่อนล่วงหน้า แล้วตัดสินใจโดยอาศัยประสาทรับกลิ่นประกอบด้วย ก็ไม่ยากที่ชี้ตำแหน่งที่อยู่ของสองคนนี้ได้แล้ว
อาจดูเหมือนยุ่งยาก แต่ตอนนี้มันกลับสามารถสร้างผลลัพธ์ที่อยู่ในความคาดหมายของหลิงม่อได้ : ตื่นกลัว
เพราะถึงอย่างไรเขาก็เคลื่อนไหวเพียงลำพัง แต่อีกฝ่ายกลับมีกันสองคน…ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กันซึ่งหน้า แต่ถึงจะแยกพวกเขาสองคนออกจากกัน ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะจัดการได้ง่ายๆ เรื่องเอาชนะได้หรือไม่นั้นเอาไว้ก่อน อันดับแรกต้องสร้างสถานการณ์ข่มขวัญอีกฝ่ายก่อน…
“นายต้องการอะไรกันแน่? ฉันทิ้งอาวุธแล้ว แยกตัวกับพรรคพวกแล้วด้วย ไม่ว่าจะระแวงขนาดไหน ตอนนี้ก็น่าจะวางใจได้แล้วหรือเปล่า!” ฉีเทียนอี้ครุ่นคิด สุดท้ายก็อดถามขึ้นไม่ได้
“นายเป็นถึงหัวหน้าทีมทีมทำลายล้างผู้เลื่องชื่อ ถึงพวกนายจะแยกตัวกันชั่วคราว มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันไว้ใจได้มากนักหรอก” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงราบเรียบทันที
“ก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน…” ฉีเทียนอี้คิดในใจ แต่ปากกลับพูดอย่างไม่พอใจ “ถึงนายจะบอกว่าตัวเองมีข้อมูลอยู่ในกำมือ แต่ในสถานการณ์ที่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวนายเลย ฉันไม่สามารถ…”
“ในมุมด้านหลังประตู ไปดูสิ” จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดแทรก
ฉีเทียนอี้ฮึดฮัด เขาไม่เคยต้องเจอกับเหตุการณ์ยุ่งยากอย่างนี้มานานมากแล้ว…แต่พอนึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับหลิงม่อ เขาจึงข่มกลั้นอารมณ์ไว้ และถอยหลังอย่างระมดระวังสองก้าว จากนั้นก็มองไปที่มุมด้านหลังประตู
“หื้ม? นี่มัน…”
เขาก้มลงหยิบวัตถุที่คล้ายการ์ด ID ขึ้นมา และสังเกตดูอย่างละเอียด
“บัตรประจำตัว!”
เนื่องจากต้นทุนที่จำกัด บัตรประจำตัวประเภทนี้ไม่ได้แสดงตัวตนของเจ้าของไว้อย่างชัดเจน แต่กลับสามารถมั่นใจได้ว่าเป็นสมาชิกของฟอลคอนอย่างแน่นอน ความจริงของประเภทนี้หากจะทำเลียนแบบขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เครื่องปริ๊นและหมึกสีที่คล้ายกันนี้กลับไม่ได้หากันได้ง่ายๆ…สรุปก็คือ นี่เป็นบัตรประจำตัวของสมาชิกฟอลคอนที่ป้องกันการลอกเลียนแบบ และเป็นสิ่งที่คนที่มีคุณสมบัติเท่านั้นจึงจะสามารถครอบครองได้ และคนแบบนี้ ก็ไม่มีทางถูกกำจัดอย่างไม่รู้สาเหตุในค่ายแห่งนี้แน่นอน…
ทว่าฉีเที้ยนอี้กลับไม่ได้แปลกใจกับผลลัพธ์นี้ ตรงกันข้าม หลังจากยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายเบื้องต้นแล้ว เขากลับยิ่งไม่สบอารมณ์กว่าเดิม
“ในเมื่อเป็นคนของฟอลคอน ทำไมยังกล้าทำอย่างนี้กับฉันอีก! เดี๋ยวก่อน ถึงจะมีบัตรประจำตัว แต่ก็มั่นใจ 100% ไม่ได้…เอ๋ นี่มัน…”
ด้านหลังบัตรประจำตัวยังมีตัวหนังสือเขียนอยู่หนึ่งบรรทัด และยังเป็นตัวหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นด้วยมือ “ฉีเทียนอี้ เรื่องที่นายเป็นริดสีดวงทวารถูกเปิดเผยแล้ว!”
“ชิท!”
ฉีเทียนอี้สบถอย่างตกใจ สีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที
คนคนนี้ต้องรู้จักเขาดีแน่! ถึงแม้เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับพิเศษอะไร แต่เมื่อมีการปรับเปลี่ยนและโยกย้ายตำแหน่งหลายครั้ง ปัจจุบันคนในฐานทัพที่ 2 ที่รู้เรื่องนี้ แทบนับจำนวนด้วยนิ้วมือข้างเดียวได้เลยทีเดียว…แต่หลังจากที่เขาไตร่ตรองด้วยสีหน้าถมึงทึงหนึ่งรอบ ก็ยังนึกไม่ออกว่าใครที่น่าสงสัย…
“คนที่รู้เรื่องนี้…เป็นคนของฟอลคอน 100%แน่นอน…คนของฐานทัพที่ 2 ไม่น่าจะรู้เรื่องอย่างนี้” ฉีเทียนอี้ไม่สงสัยอีก เขาขยำบัตรประจำตัวด้วยมือข้างเดียว บอกว่า “ดูเหมือนนายจะลงทุนไปไม่น้อยนะ”
“หึหึ ไม่อย่างนั้นฉันคงทำถึงขั้นนี้ไม่ได้หรอก” หลิงม่อยอมรับตรงๆ
“นายเลือกวิธีนี้ แสดงว่านายไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนของฟอลคอนแล้ว…แต่จะเปลี่ยนไปอยู่ข้างเดียวกับฐานทัพที่ 2 ก็ไม่ได้…บอกมา ว่านายคิดจะทำอะไรกันแน่? ฉันต้องรู้จุดประสงค์ก่อน ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะเจรจาเรื่องนี้กับนายได้หรือไม่ นายน่าจะรู้ ว่าที่ฉันยอมทำตามที่นายสั่งก็แค่ต้องการให้นายใจเย็นลงเท่านั้น” ฉีเทียนอี้พูดออกมาอย่างไม่ลังเล
แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดคาดคือ คำพูดแฝงนัยขมขู่ของเขา กลับไม่มีผลใดๆ…อีกฝ่ายยังคงพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “เรื่องนี้บอกนายไม่ได้ แต่วางใจ ฉันแค่ต้องการของใช้จำเป็นเพิ่มเท่านั้นเอง”
“เชื่อก็โง่แล้ว!” ฉีเทียนอี้ลอบด่าในใจ แต่สุดท้ายก็ยอมปิดประตูอย่างสองจิตสองใจในที่สุด
เมื่อประตูเหล็กปิดลง ห้องบันไดก็กลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
“ตอนนี้ เดินไปทางดาดฟ้า” เสียงพูดดังออกมาจากลำโพงของเครื่องมือสื่อสารอีกครั้ง
“อย่าให้มันมากนักนะ!”
แต่การที่อีกฝ่ายยอมละทิ้งสถานะสมาชิกของฟอลคอนเพื่อขายข้อมูล กลับทำให้ฉีเทียนอี้หวั่นไหวไม่น้อย…“หมอนี่ระวังตัวขนาดนี้ แล้วยังซ่อนตัวมิดชิด ไม่แน่เขาอาจให้ข้อมูลที่น่าเหลือเชื่อกับเราได้จริงๆ…”
พอคิดอย่างนี้ ฉีเทียนอี้ก็ทำได้เพียงจำใจเดินบันไดขึ้นไปข้างบน ทว่าเสียงที่ดังก้องอยู่ในหูของเขาในเวลานี้ กลับเป็นเสียงพูดของเลขาฯ สาว “ไปเถอะ ไม่ต้องห่วง ฉันจะมองหาช่องโหว่ลงมือเอง”
“แต่ไม่รู้ว่าหล่อนจะมองหาช่องโหว่ยังไง…แต่ยังไงก็เถอะไอ้หนู ไม่ว่าแกจะเป็นใคร เกรงว่าครั้งนี้คงต้องคว้าน้ำเหลวซะแล้วล่ะ…ส่วนหลิงม่อ ครั้งนี้เป็นเพราะแกแส่หาเรื่องเอง รอก่อนเถอะ ฉันไปจัดการแกเอง!” ฉีเทียนอี้เดินขึ้นบันได พลางกัดฟันกรอดคิดในใจ “ฉันเคยบอกว่าห้องนั้นจะกลายเป็นของฉัน มันก็ต้องเป็นของฉัน!”
ขณะเดียวกัน นอกห้องน้ำ
เลขาฯ สาวเดินส่ายสะโพกไปถึงหน้าห้องน้ำหญิง แต่สายตากลับเหลือบมองไปทางห้องน้ำชาย
“รู้สึกเหมือน…ไม่น่าจะมีใครอยู่…แต่สัญชาตญาณโกหกเก่งเสมอ”
เธอพูดออกมาตรงๆ เหมือนไม่ได้กังวลว่าศัตรูอาจอยู่แถวๆนี้ แต่ถึงแม้ปากจะพูดอย่างนี้ เธอกลับไม่ได้บุ่มบ่ามเดินเข้าไป แต่รออยู่สองวินาทีก่อน แล้วค่อยผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ในห้องน้ำแห่งนี้สะอาดมาก ไม่มีกลิ่นแปลกใดๆ เพียงแต่แสงไฟที่สว่างจ้าเกินไปทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาปรับตัวไม่ทัน…ทว่า ในขณะที่เธอรู้สึกว่าแสงไฟสว่างจ้าจนแยงตาเกินไป ทันใดนั้น แสงไฟก็ดับ “พรึ่บ” ทันใด
“อ๊ะ!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงค่อยๆ หยัดยืนตัวตรงในความมืด แล้วหรี่ตามองรอบๆ “น่าเสียดาย กลับไม่ฉวยโอกาสลอบโจมตีฉัน…” เธอหันไปมองประตูบานนั้น “แค่ต้องการขังฉันไว้หรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้น คนคนนี้…”
เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด ม่านตาของหญิงสาวก็หดเล็กลงทันที ร่างกายของเธอกระด้างแข็งไปทั้งตัว วินาทีนี้ หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในหูมีแต่เสียงหัวใจเต้นของตัวเองดังซ้ำไปซ้ำมา…แม้แต่ลมหายใจก็ดูเหมือนจะสะดุดไปด้วย
มีคนกำลังจ้องเธออยู่…
เธอค่อยๆ หันหน้าไป แล้วสายตาก็ฉายแววตื่นตะลึง
ในกระจกมืดๆ บานนั้น เวลานี้กำลังสะท้อนเงาร่างของเธออย่างชัดเจน และด้านหลังของเธอ มีเงาร่างดำตะคุ่มหนึ่งยืนอยู่อีกหนึ่งเงา…
เสี้ยววินาทีที่เธอเบนหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือศีรษะพองโตของอีกฝ่าย…
แต่ในขณะที่เธอหันขวับไป เงาร่างนั้นกลับหายไปแล้ว ในห้องน้ำว่างเปล่าไร้เงาคน เหมือนมีแค่เธอคนเดียว
“คิดจะทำให้ฉันตกใจ? คิดว่าฉันจะกลัวหรือไง!”
เลขาสาวกวาดสายตามองข้างล่างอ่างล้างมือ และหันไปมองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทเหล่านั้น…
—————————————————————————–