แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 871 คำพ้องเสียงของคำว่า “ตะปู”
บนท้องถนนยามค่ำคืน—
ซอมบี้ที่เดินวนเวียนไปมาได้กลายเป็นภาพทิวทัศน์ที่คุ้นเคย ที่นี่เป็นเขตต้องห้ามสำหรับมนุษย์ เป็นสนามล่าที่โหดร้ายที่สุด…แต่กลับเป็นสวนสนุกสำหรับซอมบี้ชนชั้นสูง พวกมันหลงใหลในการวิวัฒนาการ และเป็นสิ่งทีชีวิตที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร
ทว่าใต้แสงจันทร์ในคืนนี้ ซอมบี้ตัวหนึ่งกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
ในช่วงที่ออกจากรังกบดานของราชินีแมงมุมมา รูปร่างของเธอได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย…แต่ปากของเธอกลับพึมพำอยู่ตลอด บางครั้งบางคราว ราวกับได้ยินเสียงเบาๆ เล็ดลอดออกมาว่า “หลิงม่อ…”
“พึมพำอยู่ได้! ไม่รู้หรอว่าพูดถึงคนอื่นลับหลังจะทำให้เขาจามน่ะ!” ร่างจริงของหลิงม่อสบถออกมาอย่างหงุดหงิดในที่สุด เดิมที่นึกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นเสียงระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลังอยู่! ถึงแม้จะหายไปบางช่วง แต่ผ่านพักหนึ่งมันก็จะดังขึ้นอีก
สถานการณ์อย่างนี้อาศัยแค่ข่มกลั้นด้วยตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆ…และนั่นก็ทำให้หลิงม่อนึกถึงคำพูดของราชินีแมงมุมในตอนนั้น “ซักวันนายต้องมาหาฉัน…”
ซย่าน่าหันมามองทันที พลางหัวเราะคิกคักบอกว่า “นั่นเป็นแค่คำพูดที่ไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์……”
“เงียบไปเลยยับเด็กเรียน! เด็กโง่ มานี่นา ขอเติมพลังหน่อย…”
“ไม่เอา…” เสียงปฏิเสธอ่อนๆ ของเย่เลี่ยนดังตามมาทันที
…ขณะที่ทางร่างจริงกำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่นั้น ฝั่งหุ่นซอมบี้ของหลิงม่อก็ไม่ได้อยู่ว่างเช่นกัน
เดี๋ยวนี้การทำหลายเรื่องในเวลาเดียวกันไม่ถือเป็นเรื่องยากสำหรับหลิงม่ออีกต่อไปแล้ว ยิ่งพลังจิตแข็งแกร่ง เขาก็ยิ่งทำหลายเรื่องได้พร้อมกันอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าการแบ่งสมาธิมาทำเรื่องอื่นนิดๆ หน่อยๆ อย่างนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยทีเดียว…
เสียงเคลื่อนไหวผิดปกติในป่ารกร้างนอกสนามบินถูกส่งผ่านสายสัมพันธ์ทางจิตไปยังหูของหุ่นซอมบี้ ทว่าเครื่องจักรสังหารที่เป็นเหมือนระเบิดตัวนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาต่อเสียงที่ได้ยิน ตอนนี้มันกำลังแนบใบหูชิดกับบานหน้าต่างบานหนึ่ง…เพื่อเงี่ยหูฟังเสียง
หนีออกมาจากห้องประชุมไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงอดทนรอโอกาส มองหาจังหวะที่ปลอดภัยแล้วรีบเผ่นออกมาก็พอ สิ่งที่ยากก็คือจะทำยังไงให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพวกนั้นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่…ปัญหานี้ หลิงม่อได้ทำการทดลองอย่างใจกล้าไปแล้วครั้งหนึ่ง
อันดับแรกเขาถอดชุดเครื่องแบบที่ยังถือว่าสะอาดชุดหนึ่งออกมาจากศพ สวมทับลงบนตัวหุ่นซอมบี้ และสวมหมวกด้วย จากนั้นเขาก็กลั้นใจเดินจ้ำอ้าวออกมาโดยไม่หายใจ…ทันทีที่เขาเดินออกมาก็ดึงดูดสายตาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนอื่นๆ ทันที เพราะพวกเขาตกใจกับขนาดตัวของเขา บวกกับสงสัยด้วย…
“นายเคยเห็นหมอนั่นหรือเปล่า?”
“นายล่ะ?”
“เขาออกมาจากข้างในได้ยังไง?”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน นอกจากขนาดตัวที่ไม่เป็นที่คุ้นเคย ใบหน้ากลับเห็นไม่ชัดนัก…เพราะแสงสว่างน้อยเกินไป! เห็นแค่เค้าโครงรางๆ ก็ดีแค่ไหนแล้ว…
แต่ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปขอให้เขาถอดหมวกออก! คนที่สามารถเดินออกมาจากห้องประชุมได้ ล้วนเป็นคนที่สามารถฆ่าพวกเขาให้ตายได้เพียงฝ่ามือเดียว
ดังนั้น บรรยากาศจึงพลันดูประหลาดขึ้นมาทันที
ส่วนหลิงม่อ ถูกกลุ่มคนรุมจ้องเงียบๆ อย่างนี้ ใจเขาเต้นระส่ำระสายไม่เป็นจังหวะ
ทว่าคิดดูอีกที ร่างนี้เป็นแค่หุ่นซอมบี้ หากเกิดเรื่องจริงๆ เขาก็แค่สู้ให้สุดตัวไปเลยเท่านั้น พอคิดอย่างนี้เขาก็มีความมั่นใจขึ้นมาทันที จะปาขวดทั้งทีก็ต้องปาให้แตกไปเลย
พอมั่นใจ ความเร็วในการเดินก็เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็พูดทิ้งท้ายไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไสหัวออกไปไกลๆ การประชุมคืนนี้สำคัญมาก นอกจากพวกหัวหน้าทีม อย่าปล่อยให้คนอื่นเข้าไปเด็ดขาด”
“ถ้าอย่างนั้น…คุณ…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งจ้องมองหลิงม่อเดินผ่านตัวเองไป พลันทำใจดีสู้เสือถามขึ้น
ปรากฏว่าพอถามออกไปก็ถูกถลึงตาใส่ทันที “ฉันมีธุระ!”
“เชิญครับ…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบก้าวถอย พลางลอบด่าตัวเองในใจว่ารนหาที่แท้ๆ…
หลังจากที่หลิงม่อเดินจากไปอย่างไม่เร่งรีบนัก เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพวกนี้ก็ยังคงมึนงงอยู่…
“ใช้พลังพิเศษหรือเปล่า?” ในที่สุดก็มีคนหาเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นได้
“น่า…น่าจะอย่างนั้น ไปถามดูดีไหม…”
“ถามบ้าอะไรล่ะ แกอยากโดนด่าก็ไปเองเถอะ”
“ชิท ทำไมฉันต้องไปด้วย…”
หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ส่วนมากมักไม่มีใครอาสาทำ นี่คือหลักการใช้ชีวิตของคนในค่าย แต่สำหรับหลิงม่อที่ใช้ชีวิตโดยพึ่งพาตัวเอง เขาให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กน้อยมาก และเพราะตระหนักได้ถึงข้อนี้ หลิงม่อจึงเสี่ยงใช้วิธีนี้หนีออกมา
แต่วิธีการอย่างนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลอกคนพวกนี้ได้ แต่หากจะใช้กับคนที่อยู่ในห้องนี้หลังหน้าต่างบานนี้ ไม่มีทางสำเร็จแน่นอน…
ห้องเก็บเอกสาร…
ขณะที่หลิงม่อเดินเรื่อยๆ มาจนถึงตรงนี้ เขาก็สังเกตเห็นป้ายเหล็กที่แขวนไว้
ข้อมูลมหาศาลที่กองทัพอากาศเก่าเหลือทิ้งไว้ กอปรกับการจัดระเบียบของฟอลคอน ทำให้เกิดห้องเก็บเอกสารที่เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติมากมายห้องนี้ขึ้น สาเหตุที่กองทัพอากาศเก่ากำราบค่ายผู้รออดชีวิตโดยรอบได้อย่างอยู่หมัด ก็เพราะอาศัยข้อมูลเป็นเบี้ยต่อรองที่เหนือกว่านั่นเอง ในสถานการณ์ที่ขาดวิธีการติดต่อสื่อสารขณะที่ขอบเขตการเคลื่อนไหวของมนุษย์ถูกจำกัดอย่างนี้ พูดได้ว่าข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่การจะได้ข้อมูลมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นหากมองจากมุมมองกลยุทธ์การต่อสู้ ห้องเก็บเอกสารเป็นแผนกที่สำคัญที่สุด…และคนที่ดูแลที่นี่ ก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“คิดไม่ถึง พวกเขาตอกตะปูไว้ที่นี่นี่เอง…” หลิงม่อลอบคิดในใจ
หลังจากแอบฟังและแยกแยะกลิ่นอายอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รู้แล้วว่าข้างงในห้องมีคนอยู่กี่คน
สามคน…และหนึ่งในนั้นก็คือตะปูตัวนั้น
อีกฝ่ายแฝงตัวอยู่ที่นี่มาได้นานขนาดนี้ ซ้ำยังมีตำแหน่งที่สำคัญเพียงนี้ คาดว่าน่าจะเป็นคนที่ระมัดระวังรอบคอบมากคนหนึ่ง…
“ใจเย็นๆ…เรื่องในห้องประชุมและบนดาดฟ้าคงปกปิดไว้ได้ไม่นานมาก ทันทีที่เรื่องมาถึงที่นี่ คนคนนี้ต้องรีบรายงานผู้บัญชาการหวังแน่นอน…แต่เพราะเหตุนี้ จะมีข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด” ในใจคิดอย่างนี้ แต่หลิงม่อกลับหันไปมองทางประตูแล้ว
ประตูนิรภัย…หากอาศัยพละกำลังหุ่นซอมบี้จะพังเข้าไปไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งสำคัญคือ…
“จิ๊บ!”
เมื่อเจ้ามาสเตอร์บอลกระโดดออกไป สายตาของหลิงม่อก็แปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น
เจ้ามาสเตอร์บอลที่กระโดดออกไป เกาะประตูไว้แน่น หนวดสัมผัสทางจิตที่แผ่ออกมาจากตัวมันเสียดแทงเข้าไปในรูกลอนประตูอย่างเงียบเชียบ
“ครั้งนี้ไม่ต้องเปิดประตูห้องก็ได้…
ถึงแม้พลังจิตที่ดูดกลืนมายังไม่ย่อยสลายสมบูรณ์ แต่หลังจากการวิวัฒนาการครั้งหนึ่ง หนวดสัมผัสของหลิงม่อก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้น
รูปร่างเปลี่ยน!
เมื่อก่อนแค่สร้างหนวดสัมผัสที่มีขนาดปกติ หนาบางเท่ากัน และมีความอ่อนแข็งที่เหมาะสมเส้นหนึ่งขึ้นมา ก็สิ้นเปลืองพลังจิตมากแล้ว แต่เมื่อมีพลังจิตอันแข็งแกร่งคอยเป็นพลังหนุน หลิงม่อสามารถเปลี่ยนแปลงหนวดสัมผัสได้ในขอบเขตเล็กๆ นี่ยังเป็นผลจากการที่ฝึกฝนไม่พอด้วยซ้ำ เพราะหลิงม่อคิดว่า เขาน่าจะเปลี่ยนแปลงได้มากกว่านี้…หรือพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหากเมื่อตัวเลขบ่งบอกพลังจิตของเขาเป็นเลข 5 ตอนนี้มันก็ใกล้เลข 6 เต็มทีแล้ว และจุดเริ่มต้นของเขาก็อาจเป็น 0.5 หรืออาจต่ำกว่านั้นก็เป็นได้…
และสิ่งที่เขาเลือกฝึกฝนเป็นสิ่งแรกก็คือ—ปลดล็อกกุญแจ
พอคิดได้อย่างนี้ หลิงม่อก็อดรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้…ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองต้องพัฒนาทักษะการปลดล็อกประตูด้วย!
หลังจากที่แทงเข้าไปในรูกุญแจ หนวดสัมผัสพลางพองตัวขึ้นทันที และเปลี่ยนรูปร่างไปตามรูกุญแจราวกับยางพิมพ์แบบ
อาจดูเหมือนเป็นขั้นตอนที่ง่าย แต่ความจริงมันเป็นบททดสอบจินตนาการและสมาธิสุดโหดสำหรับคนคนหนึ่งเลยทีเดียว
คนที่ไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษด้านพลังจิตยากจะจินตนาการได้ว่าคนคนหนึ่งจะเพ่งสมาธิต่อสู้กับอากาศธาตุ และสร้างกุญแจดอกหนึ่งขึ้นมาอย่างถูกต้องทุกรายละเอียดจากจิตนาการของตัวเองได้อย่างไร…และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แค่คิดก็จะทำได้ เพราะมันยังมีอุปสรรคอีกมากมาย…
หากเทียบกับผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย สายพลังจิตเป็นความสามารถพิเศษที่ซับซ้อนกว่าอย่างเห็นได้ชัด…แน่นอนว่าวัดจากสถานการณ์ในปัจจุบัน
และหลิงม่อเองก็ค่อยๆ ตระหนักได้ถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งจากความรู้สึกที่อึดอัดเหมือนกำลังกลั้นฉี่…!ว่าพลังพิเศษประเภทนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นมาให้คนโรคจิตมากกว่า!คนปกติที่ไหนจะมีความคิดกว้างไกลและจินตนาการล้ำเลิศขนาดนี้กัน!
หลังจากที่รู้สึกมึนศีรษะอยู่สิบกว่าวินาที ในที่สุดหลิงม่อก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหว
“แกร๊กๆๆ…”
ประตูห้งอค่อยๆ ถูกเปิดออก การแผ่ปกคลุมของเจ้ามาสเตอร์บอลทำให้เสียงถูกดูดกลืนหายไปหมด บวกกับวิธีการเปิดประตูอันเงียบเชียบของหลิงม่อ ทำให้แทบไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆ เล็ดลอดออกมาเลย
การเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและเชื่องช้าพอทำให้เสียงบานประจูเสียดสีเบาถึงขีดสุด เสี้ยววินาทีที่ประตูแง้มเปิดเป็นช่อง หลิงม่อก็กระโจนเข้าไปอย่างไม่ชักช้า…
“แกร๊ก” ประตูถูกปิดลง และรูกุญแจก็ถูกหลิงม่อพังตั้งแต่วินาทีแรกทันที
เพียงแต่ในเสี้ยววินาทีที่หักเลี้ยว หลิงม่อที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมกำแพงก็ชะงักค้างไปทันที
หญิงสาวรูปร่างอรชรคนหนึ่งกำลังยืนอยู่อีกด้านของทางเดิน ประเด็นสำคัญคือ…เธอกำลังกำชายกระโปรงของตัวเอง และดึงลงช้าๆ…
เสี้ยววินาทีที่หลิงม่อปรากฎตัว สิ่งที่เขาเห็นพอดีก็คือ…
“เป็นจีสตริงจริงๆ ด้วย…” (กางเกงในจีสตริง คนจีนเรียกว่า กางเกงในรูปตัว T หรือ 丁字 ติงจื้อ ซึ่งออกเสียงคล้ายคำว่า 钉子 ติงจื่อ ตะปู)
—————————————————————————–