แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 902 ความบ้าคลั่งในวินาทีนั้น…
“นี่ฉันเอง”…นี่คือประโยคที่สองที่หญิงชุดขาวพูดหลังเธอปรากฏตัว ท่าทางก้มหน้า และท่าทางที่เธอพยายามยื่นมือไปลูบศพหญิงสาวศพนั้น ไม่ยากที่จะเข้าใจความหมายของคำพูดเธอ—ท่ามกลางสถานการณ์ที่ถูกจัดแต่งขึ้นเป็นพิเศษนี้ บทบาทที่ศพหญิงสาวกำลังแสงด คือการฉายเรื่องราวในอดีตของตัวเองซ้ำอีกครั้ง…
เพียงแต่…ภาพนี้กำลังบ่งบอกอะไรกันแน่?
หลิงม่อปรับลมหายใจให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว และพยายามบังคับให้ตัวเองใจเย็นลง เขาเหลือบมองศพเหล่านั้นด้วยหางตาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดปากพูดว่า “เธอก็คือซอมบี้ร่างแม่ที่เรียกตัวเองว่า ‘พี่สาว’ สินะ?”
แต่หญิงขุดขาวกลับไม่ทีท่าจะตอบเขา เธอยังคงยืนอยู่ในท่าเดิม ปากกูพึมพำราวกับกำลังคุยกับตัวเอง “นายไม่สงสัยเลยหรอ? รู้ไหม ความจริงแล้วระหว่างซอมบี้กับมนุษย์นั้นมีจุดที่คล้ายกันหลายจุดเลยนะ อย่างเช่น…ความขี้สงสัย มนุษย์เป็นสิ่งที่ขี้สงสัยมาก ซอมบี้ก็เหมือนกัน กระทั่งหากเทียบกับมนุษย์ ซอมบี้อาจขี้สงสัยยิ่งกว่าด้วยซ้ำ เพราะมนุษย์นั้นยังมีความหวาดกลัวกังวล รู้จักพิจารณาถึงอันตรายที่อาจเจอ แต่ซอมบี้ล่ะ? พวกมันไม่คิดเรื่องที่ยุ่งยากอย่างนั้นหรอก…แต่จะว่าไปมันก็ใช่แหละ แรกเริ่มเดิมทีซอมบี้ก็เป็นมนุษย์มาก่อนไม่ใช่หรอ? จะเหมือนกันก็ไม่แปลก…”
“…” หลิงม่อเงียบไปอีกครั้ง แต่ใจเขาไม่ได้สงบนิ่งอย่างที่แสดงออก
“นี่ อยู่ๆ เธอก็โผล่ออกมาเพื่อจะมาคุยเล่นไร้สาระกับฉันหรือไง? หรือเพราะไม่ได้อวดโรงละครเล็กๆ ของตัวเองกับคนอื่นมานานมากแล้ว ถึงได้รีบสาธยายโดยไม่ถามความเห็นกันเลยอย่างนี้! ถึงเสียงและการแต่งตัวของเธอจะดูปกติมาก…แต่แค่สถานการณ์ในห้องนี้มันก็ผิดปกติมากพอแล้ว…”
ขณะที่กำลังพร่ำบอกในใจ หลิงม่อกลับแอบหันไปมองหน้าต่างที่อยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน…เนื่องจากถูกผ้าม่านบังไว้ เขาเลยมองไม่เห็นข้างนอก แต่ระหว่างหญิงชุดขาวและหน้าต่างบานนั้น กลับมีตู้ตัวหนึ่งวางกั้นไว้… “แค่ตู้ตัวเดียว ถ้าหากเราอยู่ที่นี่ต่อไป เธอก็จะไม่ออกจากห้องนี้ ถ้าอย่างนั้นจะต้องหาโอกาสได้แน่ แต่ว่า…ก่อนหน้านี้เด็กโง่น่าจะเคยยิงปืนแล้วสินะ? ดวงตาที่เรามองเห็นผ่านมุมมองสายตาของเด็กโง่ จะใช้เธอหรือเปล่านะ…”
เขาหันไปมองพิจารณาซอมบี้สาวตัวนั้นอีกครั้ง แต่ผมของเธอกลับยาวเกินไป จนแทบจะบังใบหน้าด้านข้างของเธอจนมิด สิ่งที่หลิงม่อเห็น มีเพียงฝ่ามือซีดขาวคู่หนึ่งเท่านั้น ในอีกด้าน สัญชาตญาณที่มาจากฝั่งซอมบี้ก็กำลังเตือนเขา ว่าห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด…เห็นท่าทางเธอกำลังโศกเศร้าหดหูใจอย่างนั้น แต่ในฐานะซอมบี้ร่างแม่ตัวหนึ่ง เธอสามารถกลายร่างเป็นปีศาจบ้าคลั่งผู้กระหายเลือดได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว!
ก่อนที่จะหาโอกาสได้ หลิงม่อยังไม่อยากปะทะกับเธอ…อยากคุยก็คุยเลย ถ้าสามารถถ่วงเวลาไว้ได้ ย่อมเป็นผลดีต่อเขาอยู่แล้ว…
“นายเองก็สงสัยใช่ไหมล่ะ?” หญิงชุดขาวพูดเองตอบเอง จากนั้นก็หัวเราะหึหึหึขึ้นมา แวบแรกที่ได้ยินเสียงหัวเราะแปลกๆ นี้ หลิงม่อรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ช่างหัวเราะได้…คนปกติไม่มีทางเปล่งเสียงหัวเราะแบบนี้ออกมาได้แน่! เขายิ่งระแวดระวังกว่าเดิม ขณะเดียวกันหญิงชุดขาวก็หยุดหัวเราะ แล้วพูดต่อไป
“ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งๆ ที่ฉันลืมเรื่องราวมากมายไปแล้วแท้ๆ แต่กลับจำเรื่องพวกนี้ได้ขึ้นใจมาโดยตลอด…และเพื่อไม่ให้ลืม ฉันได้เก็บพวกเขาไว้ ตอนแรกแค่ไม่อยากให้พวกเขาเน่าเปื่อย จนเหลือแต่กระดูกขาวโพลน และทิ้งฉันไว้คนเดียว…แต่โดยที่ฉันไม่รู้ตัว ฉันเกิดมีพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นมา ฉันดึงดูดเพื่อนร่วมสายพันธุ์จำนวนมากมาที่นี่ ที่นี่ก็เลยคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่า…ไม่ว่าฉันจะทำยังไง ก็ไม่มีทางทำให้พวกนั้นเข้าใจคำพูดของฉันได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะบ่มเลี้ยงมายังไง หรือทำให้พวกเขาวิวัฒนาการอีกซักเท่าไหร่…”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็หัวเราะอีกครั้ง “แต่ว่า อย่างน้อยฉันก็ทำให้พวกเขากลายเป็นเหมือนกันแล้ว…เหมือนกับเมื่อก่อนไง ถ้ามีคนเหมือนตัวเอง ทำเรื่องเดียวกันกับตัวเอง เราก็จะรู้สึกต่างออกไป…”
“คำพูดแฝงความนัย…” หลิงม่อลอบคิด
ทว่าคำพูดของเธอที่ทำให้หลิงม่อตะลึง ยังคงเป็นประโยคที่บอกว่า “จำขึ้นใจมาโดยตลอด” คำว่า “มาโดยตลอด” ของเธอ คงไม่ได้นับตั้งแต่ตอนเริ่มกลายพันธุ์หรอกใช่ไหม…นอกจากนี้ เธอก็ยังอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ รวมถึงขั้นตอนการวิวัฒนาการของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เธอทำทั้งหมดเพื่อรักษากระดูกของศพ เพื่อตามหาเพื่อน จากนั้นก็เพื่อที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจตัวเอง ไม่ให้ตัวเองรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป…หากฟังผ่านๆ อาจเกิดความรู้อย่างนี้ขึ้นมาได้ —อื่ม ซาบซึ้งใจกว่าที่คิดแฮะ ยังไงเธอก็ยังเป็นแค่ซอมบี้ขี้เหงาตัวหนึ่งเท่านั้น…
“ซาบซึ้งกับผีอะไรล่ะ…นี่มันกำลังตามหาพวกพ้องชัดๆ! เรื่องที่เคยทำด้วยกันมาก่อนอะไรที่พูดถึงนั่น!เธอหมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโกดังใช่ไหมล่ะ!” หลิงม่อคิดในใจอย่างขนลุก แต่ปากกลับพูดออกมาอย่างระมัดระวังว่า “ฉันไม่ค่อยเข้าใจเลย เธอช่วยพูดละเอียดกว่านี้ได้ไหม”
สาเหตุที่เขาเลือกที่จะพูดอย่างนี้ เพราะคิดมาอย่างละเอียดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรความคิดของซอมบี้ก็มักจะตรงไปตรงมาและคาดเดาได้ง่ายกว่าเสมอ และนั่นก็หมายความว่าเธออาจเปลี่ยนอารมณ์กะทันหันเมื่อไหร่ก็ได้…เพราะถึงยังไงเป้าหมายจริงๆ ของเธอก็คือกินหลิงม่อ การพูดคุยเป็นเพียงความบันเทิงก่อนเริ่มมื้ออาหารเท่านั้น ดังนั้นการตั้งคำถามส่งเดช อาจทำให้ความบันเทิงนี้สิ้นสุดลง เป็นผลให้เธอต้องสั่นกระดิ่งนำอาหารขึ้นโต๊ะก่อนเวลาก็เป็นได้ แต่หากจะปล่อยให้เธอเล่าเรื่องเองอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ…เขาก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกันนี่นา!
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด ก็คือหลอกล่อ…ต้องแสดงความสนอกสนใจ และห้ามจี้ถามจนเกินไป…
หญิงชุดขาวหยุดเล่าเรื่องทันที เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเริ่มพูดอีกครั้งท่ามกลางสายตาหวาดวิตกของหลิงม่อ “ถ้าอย่างนั้นเริ่มเล่าจากตรงนี้แล้วกัน…”
“อื่ม ขั้นตอนแรกสำเร็จ วิธีนี้ใช้ได้ผลจริงๆ ด้วย…” สิ่งที่หลิงม่อกำลังคิดอยู่ในตอนนี้ ย่อมต้องเป็นสรุปประสบการณ์การรับมือกับเหล่าแฟนสาวซอมบี้ของเขาอยู่แล้ว…
ในห้องอันเงียบงัน หญิงชุดขาวที่ยืนหันข้างให้เขากำลังลูบไล้ใบหน้าของศพผู้หญิงคนหนึ่ง และเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นประมาณหนึ่งปีที่แล้วอย่างแช่มช้า และเพราะเรื่องราวเหล่านั้น จึงทำให้มีเธอในวันนี้ รวมถึงบริษัทลอว์สันที่ตั้งตระหง่านอยู่ในที่แห่งนี้
“กรี๊ดดด!ขอร้องล่ะ! ปล่อยฉันไปเถอะ!ฉันไม่ได้ติดเชื้อ ฉันไม่ได้ติดเชื้อจริงๆ!”
“ฉันก็เหมือนกัน…ขอร้องล่ะนะ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกันไม่ใช่หรอ!”
ในโกดังที่มีแสงไฟสลัว พนักงานสองคนกำลังร้องไห้โวยวายและดิ้นรนขัดขืนอย่างแรง
และข้างๆ พวกเขา ก็มีพนักงานอีกหกเจ็ดคนยืนล้อมอยู่ คนพวกนั้นจับตัวพวกเขากดไว้กับพื้น จากนั้นก็ใช้เชือกที่มีอยู่ในโกดังมัดตัวไว้
คนอื่นๆ ยังคงนั่งอยู่ตรงมุมห้อง และมองดูพวกเขาโดยไม่กล้าพูดอะไร…
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!”
ระหว่างที่ถูกลากตัวไปทางบันได หนึ่งในสองคนนั้นพยายามคว้าราวบันไดเหล็กไว้สุดชีวิต และร้องขอความช่วยเหลือไปยังผู้หญิงสองคนที่อยู่ไม่ไกลอย่างบ้าคลั่ง ผู้หญิงสองคนนั้นกอดกันแน่น และหันหน้าหลบสายตาของพนักงานคนนั้น ขณะเดียวกันก็ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
“ฉันไม่ได้ติดเชื้อ! ฉันก็แค่เป็นไข้ ฉันก็แค่ไม่สบายเท่านั้นเอง! ทำไมพวกเธอไม่เชื่อฉัน ขอร้องล่ะเชื่อฉันเถอะนะ! ฉันไม่ได้เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดพวกนั้น ไม่ได้เป็นจริงๆ…กรี๊ดด! ไม่นะ…กรี๊ดด! พวกแกไม่ได้ตายดีแน่! ไม่ได้ตายดีแน่! แล้วก็พวกเธอ…ทำไมพวกเธอไม่ช่วยฉัน!”
พนักงานที่ตะโกนเสียงดังสุดชีวิตพลันกรีดร้องโหยหวน ชายสองคนเตะเท้าของเธออย่างแรง จากนั้นก็เริ่มกระชากตัวเธอและลากไปอีกครั้ง…
ชายคนหนึ่งในสองคนนั้นพลันหันไปมอง และตวาดใส่พนักงานที่พากันหลบสายตาเสียงดัง “พวกแกทำอะไรอยู่? เข้ามาช่วยกันสิวะ!”
“ใช่ เรื่องที่นี่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันหมดแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ ทำไมหัวหดกันหมดอย่างนี้! ทุกคนก็ได้ยินเขาบอกแล้ว ถึงพวกแกไม่ลงมือ ก็ไม่มีทางเปลี่ยนอะไรได้อยู่แล้ว!” ชายอีกคนตวาด
โกดังพลันเงียบกริบ นอกจากพนักงานสองคนนั้นที่ถูกตัดสินว่าติดเชื้อแล้ว ก็ไม่มีเสียงพูดจากคนอื่นเลย
ชายคนแรกที่พูดขึ้นเตะราวบันไดเหล็กอย่างแรง เสียงดัง “เกร้ง” ทำเอาทุกคนต่างสะดุ้งตกใจอย่างไม่ทันตั้งตัว ผู้หญิงสองคนนั้นพลันกอดกันร้องไห้ตัวกลม
“ถ้าจะทำก็ทำด้วยกัน! ถ้าไม่อย่างนั้นถ้าทีมช่วยเหลือมาถึง จะรู้ได้ยังไงว่าพวกแกจะไม่โยนความผิดทั้งหมดมาให้พวกฉัน? อย่ามาพูดว่าจะช่วยกันรักษาความลับ ฉันไม่เชื่อโว้ย! สภาพของพวกมันใกล้จะกลายพันธุ์อยู่แล้ว พวกแกไม่มีใครอยากตายหรอกใช่ไหม? เทียบกับพวกมันสองคน ชีวิตของพวกเราทุกคนสำคัญกว่าไม่ใช่หรือไง?” ชายคนแรกตะโกนเสียงดัง
“หานเทา แกพูดหมาๆ แกไม่มีทางตายดี…โอ๊ยย!”
พนักงานคนนั้นเพิ่งจะเปิดปากด่า แต่กลับถูกกระทืบเท้าอย่างแรงอีกครั้ง
“ถ้าไม่ลงมือตอนนี้ แล้วรอให้พวกมันกลายพันธุ์ ทุกคนที่อยู่ในนี้ ไม่มีใครได้ตายดีแน่นอน!” ชายคนแรกตะโกนขึ้นอีกครั้ง
ผู้ชายหลายคนต่างหันมาสบตากัน จากนั้นก็กัดฟันลุกขึ้นยืน ขณะเดียวกัน พนักงานคนนั้นกลิ้งตกลงมาจากบันได และพนักงานอีกคนที่ถูกมัดติดกับบันไดก็เริ่มร้องไห้เสียงดังขึ้นมา…
เสียงกรีดร้อง…เสียงร่ำไห้…เสียงเหล่านั้นราวกับเป็นเชือกฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนพวกนี้สติหลุด แทบจะในวินาทีถัดมา มีคนตะโกนเสียงดังและวิ่งพุ่งเข้าไป…หยดเลือดที่กระเด็นไปทั่วทิศได้ย้อมบันไดให้กลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของผู้หญิงสองคนนั้นเองก็มีเลือดกระเด็นไปติดไม่น้อย…ทุกคนต่างก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน ทั้งบ้าคลั่ง และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว…
“ฉันคือหนึ่งในผู้หญิงสองคนนั้น…ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป ความจริงฉันไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของมนุษย์พวกนั้นนัก แต่ฉันยังจำความคิดของตัวเองในตอนนั้นได้…ฉันกลัวมาก แล้วก็สงสัยว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า กังวลว่ามนุษย์คนนั้นติดเชื้อจริงๆ หรือเปล่า แต่ความคิดพวกนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ฉันบอกกับตัวเองไม่หยุดว่าเขาติดเชื้อแล้วจริงๆ เพื่อคนส่วนใหญ่เราต้องยอมทิ้งเขาไป ความคิดแบบนี้คือความคิดที่ถูกต้องแล้ว คนอื่นๆ ก็ต้องคิดอย่างนี้แน่นอน…ก็เหมือนกับที่ทุกคนเชื่อว่าจะต้องมีทีมช่วยเหลือมาแน่ๆ เพราะทันทีที่เสียความเชื่อมั่นไป ก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะอยู่ต่อยังไงแล้ว คิดๆ ดูแล้ว มนุษย์นี่ก็ซับซ้อนจริงๆ เลยนะ…” หญิงชุดขาวชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น
หลิงม่อได้ยินก็เครียด สำหรับซอมบี้ การแข่งขันและต่อสู้กันเองระหว่างเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เป็นเพียงหนทางสู่วิวัฒนาการเท่านั้น แต่พอได้ยินซอมบี้ตัวหนึ่งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์กลุ่มหนึ่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย กลับทำให้เขารู้สึกเศร้าสลดและจนใจ ทว่าพอฟังมาถึงตรงนี้ หลิงม่อก็เข้าใจคำว่า “ทำด้วยกัน” อย่างแท้จริงแล้ว และสาเหตุที่หญิงชุดขาวยังคงจดจำมันได้เป็นอย่างดี กระทั่งส่งผลกระทบต่อรูปแบบพฤติกรรมของตัวเองมาจนถึงตอนนี้ เกรงว่าคงจะเป็นเพราะความทรงจำอันฝังใจในตอนนั้นเอง…
“แต่ว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น…”
—————————————————————————–