แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 931 ความเย่อหยิ่งโง่ๆ ของซอมบี้โลลิ
“จมูกดีอะไรขนาดนี้…”
หลิงม่อเพิ่งจะขมวดคิ้ว ก็ได้ยินเสียงผีเสื้อพูดต่อว่า “ไม่ต้องมองแล้ว ฉันหมายถึงแกนั่นแหละ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีกลิ่นอายของซอมบี้อยู่รอบกายรุนแรงขนาดนั้น…”
“เชี่ย ได้กลิ่นจริงด้วยหรอวะ!”
แวบแรกหลิงม่อนึกถึงจำนวนเชื้อไวรัสอันน้อยนิดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา หรือไม่ก็สิ่งที่ราชินีแมงมุมทำกับร่างกายเขาไว้…แต่พอคิดดูดีๆ อีกครั้ง กลิ่นพวกนั้นก็ไม่น่าแรงจนแผ่ออกมานอกกายได้หรือเปล่า! เรื่องนี้หากเปรียบเทียบกับอวี๋ซือหรานก็จะรู้เอง…คิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็เงยหน้ามองอวี๋ซือหรานเงียบๆ
“อึก…” อวี๋ซือหรานหันมามองหน้าเขาอย่างรู้ทัน จากนั้นก็กลืนน้ำลายใส่หลิงม่ออย่างไม่รู้ตัว
“โชคดี” หลิงม่อถอนหายใจโล่งอก แล้วหันกลับมามองผีเสท้อ พลางลอบคิด “ดูเหมือนเรายังมีกลิ่นอายของมนุษย์เป็นหลักอยู่…ถ้าอย่างนั้นกลิ่นที่เขาพูดถึง…”
“อ้อ ใช่สิ…” ไม่นานหลิงม่อก็คิดออก “เมื่อเช้าเพื่อจะกระตุ้นตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า เราก็เลย…กับพวกเย่เลี่ยนนี่นา ไม่เสียแรงที่เป็นถึงซอมบี้ระดับสูง แค่กลิ่นอายบนริมฝีปากก็ยังติดมาได้นานถึงตอนนี้งั้นหรอ! จะว่าไปแล้ว ประสาทรับกลิ่นของหมอนี่มันอะไรกัน? อยู่ห่างกันขนาดนี้ แต่กลับได้กลิ่นที่จางขนาดนี้เชียวหรอ? ถ้าอย่างนั้น…แสดงว่าเขาไวต่อกลิ่นเชื้อไวรัสมากแล้วสินะ?”
พอเห็นหลิงม่อขมวดคิ้วก่อน จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากพร้อมสีหน้าครุ่นคิด แต่กลับไม่มีทีท่าตอบคำถามของตัวเอง สีหน้าของผีเสื้อก็บูดบึ้งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เธอมองอวี๋ซือหรานแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มหวาน บอกว่า “ดูเหมือนกลิ่นอายบนตัวแก ก็คือสาเหตุที่ทำให้แกอยู่กับพวกเธอได้ น่าสนใจ ไม่คิดเลยว่าจะเจอคนแบบเดียวกับฉันที่นี่ หึหึ ฉันสนใจในตัวพวกแกสองคนมาก ช่างเป็นเรื่องดีที่เหนือความคาดหมายจริงๆ…”
“ใครเหมือนแกไม่ทราบ!”
หลิงม่อตอกกลับทันควัน ขณะเดียวกันคนที่พูดขึ้นพร้อมกับเขาก็ยังมีอวี๋ซือหรานที่ห้อยตัวอยู่กลางอากาศด้วย
เพียงแต่หลังจากตระหนักได้ว่าทั้งสองพูดออกไปพร้อมกัน อวี๋ซือหรานก็แค่นเสียงขึ้นจมูกทันที จากนั้นก็หันหน้าไปอีกทาง
“เวลาอย่างนี้ควรสามัคคีกับฉันสิ! เหนื่อยจนหอบแดกแล้วยังจะทำเป็นหยิ่งดูถูกมนุษย์อยู่อีก…โง่โดยธรรมชาติของแท้จริงๆ!” หลิงม่อลอบด่าในใจ พลางค่อยๆ เดินไปทางผีเสื้อ “ฉันไม่รู้ว่าแกเข้าใจอะไรผิดไปบ้าง แต่ถ้าจะพูดเรื่องสนใจ ฉันก็สนใจแกมากเหมือนกัน จะว่าไปแล้ว การได้พบกับพวกแกก็ถือเป็นเรื่องดีที่เหนือความคาดหมายสำหรับฉันเหมือนกัน ดังนั้น” หลิงม่อดึงสองมือออกมาจากกระเป๋าเสื้อช้าๆ จากนั้นก็นวดขมับเบาๆ พร้อมหลับตาลง
เมื่อเขาลดมือลง และลืมตาอีกครั้ง เขาก็ดูเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง “พวกเราจึงเหมือนกัน”
หลิงม่อคนเมื่อกี้ยังให้ความรู้สึกเกียจคร้านไม่ใคร่จะใส่ใจ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นเหมือนผีเสื้อไปแล้ว ในดวงตาเขาสะท้อนแววตาแห่งความมั่นใจและแววตาแห่งการเข่นฆ่าอย่างรุนแรง เมื่อกี้หากมองตาเขา จะรู้สึกได้เพียงดวงตาเขาลึกล้ำและเปล่งประกายเท่านั้น แต่ตอนนี้หากมองอีกครั้ง ก็จะรู้สึกถึงสายตาอันคมปลาบทันที
แรงกดดันที่มองไม่เห็นสะท้อนออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเขา และจับจ้องไปยังร่างผีเสื้อเขม็ง แม้แต่ถังฮ่าวที่ไม่ใช่เป้าหมายของเขาก็ยังตัวสั่นงันงก และมองหลิงม่อด้วยสายตาสับสนวุ่นวาย “รู้สึกเหมือนบรรยากาศเปลี่ยนไปในพริบตาเลย…เหมือนจู่ๆ ฟ้าก็มืดอึมครึมทำให้รู้สึกกดดันแปลกๆ…ดูเหมือนตอนที่สู้กับฉัน หมอนั่นคงจะแค่ใช้ลูกไม้เจ้าเล่ห์ ไม่ได้ใช้ฝีมือของตัวเองจริงๆ…”
“จะว่าไปแล้ว ไม่ได้ใช้พลังเต็มที่มานานแล้วเหมือนกัน…” หลิงม่อปรับสภาวะร่างกายช้าๆ พลางพูดขึ้น
“จริงๆ หรอเนี่ย!” ถังฮ่าวที่ได้ยินยืนร้องไห้ไม่ออกอยู่ข้างหลัง
ทว่าพอคิดอีกที ตอนที่เขาสู้กับหลิงม่อ ข้อหนึ่งอีกฝ่ายมีหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้ค่อยช่วย ข้อสองเขาใช้ประโยชน์จากสถานที่…ดังนั้นในความคิดเขา สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของหลิงม่อไม่ใช่พลังของตัวเขาเอง แต่เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์การต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหมีแพนด้ากลายพันธุ์ต่างหาก
ถึงแม้ตอนนั้นหลิงม่อไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่พลังโจมตีไร้รูปของเขาไม่อาจทำอะไรถังฮ่าวได้!
ดังนั้นการต่อสู้กับผีเสื้อในครั้งนี้ ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าใครจะแพ้ชนะ…
“ถ้าหากมองผีเสื้อเป็นมนุษย์คนหนึ่งล่ะก็ จะต้องเสียเปรียบอย่างมากแน่ๆ…” ถังฮ่าวคิดในใจ “ถ้าเป็นอย่างนั้น ถึงแม้เขาจะร่วมมือกับเด็กผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะได้เปรียบอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้น ผีเสื้อก็เป็นถึงผู้มีพลังกลายพันธุ์ที่พบเจอได้น้อยมาก…”
เขาลอบหัวเราะเย็นชาเงียบๆ และรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันที
“ความสัมผันพันธ์ระหว่างฉันกับผีเสื้อถือว่าไม่เลว ตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะควบคุมตัวเองไม่ได้ จะไม่สนใจฉันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอเพียงเขากำจัดหมอนี่ได้ ฉันก็มีทางรอดแล้ว! ขอแค่ชนะ ไม่ว่าฉันจะบอกอะไรหมอนี่ไปบ้าง สุดท้ายก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วนี่นา…ถูกต้องแล้ว อย่างนี้แหละถูกแล้ว…ไปตายซะเถอะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
น่าเสียดายที่สีหน้าบิดเบี้ยวและชั่วร้ายนี้ของเขา กลับไม่มีใครมองเห็นเลยซักคน…
ผีเสื้อจ้องหลิงม่อที่กำลังค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ อยู่ๆ ก็ยกมือปิดปากหัวเราะ “ผู้มีพลังจิตเองหรอ…ดูเหมือนจะเป็นผู้มีพลังจิตที่ค่อนข้างพิเศษซะด้วยสินะ?” เขาเหลือบมองอวี๋ซือหรานเหมือนจงใจ จากนั้นก็บิดคอดัง “กร๊อบแกร๊บ” แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับแขนอีกข้างของตัวเองยกขึ้นข้างบนแรงๆ
“กร๊อบ!”
แขนซ้ายที่เดิมบิดเบี้ยวเล็กน้อยพลันกลับมาอยู่ในสภาพเดิม เขาบริหารแขนขาทั้งสี่ข้างเบาๆ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นรื่นเริงขึ้นทีละน้อย ขณะเดียวกัน หลิงม่อได้หยุดยืนในจุดที่ห่างออกไปเกือบสี่สิบเมตร หากมองเข้าไปจากมุมที่เขายืนอยู่ จะมองเห็นด้านข้างของผีเสื้อพอดี ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดหรืออะไร เขารู้สึกเหมือนผมข้างนี้ของเขาเหมือนจะยาวขึ้นเล็กน้อย สายตาก็ต่างจากดวงตาอีกข้างเล็กน้อย…
หรือพูดให้ชัดๆ ก็คือ เหมือนสภาวะแยกร่างของเขากำลังรุนแรงกว่าเดิม…ด้านซ้ายเป็นผีเสื้อ ด้านขวาเป็นพี่ฉี เมื่อมารวมตัวกัน ก็กลายเป็นสองพี่น้องชายหญิง…
“ดูเหมือนแกอยากจะสู้กับฉันซักตั้งสินะ…พอดีเลย ฉันก็รู้สึกว่าร่างกายฉันกำลังตื่นเต้นจนแทบควบคุมไม่ได้แล้วเหมือนกัน” พูดไป ผีเสื้อก็ฉีกเสื้อผ้าครึ่งหนึ่งบนตัวทิ้ง
เมื่อเศษเสื้อผ้าร่วงลงบนพื้น สีแดงโลหิตสะดุดตาก็เผยสู้สายตาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
ผีเสื้อสีแดงโลหิตนับไม่ถ้วนแผ่กระจายไปบนร่างกายเขา โดยเฉพาะตรงบาดแผลเหวอะหวะนั้น ยิ่งมีผีเสื้อจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ และสีของพวกมันก็แดงกว่าส่วนอื่นๆ ด้วย…มองแวบแรก ราวกับผีเสื้อเหล่านั้นบินออกมาจากบาดแผลของเขาอย่างไรอย่างนั้น
หลิงม่อเห็นแล้วรู้สึกหนังศีรษะชาไปทันที แม้แต่อวี๋ซือหรานก็ชะงักไปด้วยครู่หนึ่ง ทั้งสองสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความตื่นตะลึงจากสายตาอีกคน
“ไม่สามารถ…” อวี๋ซือหรานเพิ่งจะเปิดปากพูด ก็เห็นหลิงม่อโบกมือมาทางตัวเอง
“ไม่ต้องฝืนแล้ว ฉันจัดการเองแล้วกัน” หลิงม่อบอก
ผ่านไปหนึ่งวินาทีอวี๋ซือหรานเพิ่งจะได้สติ เธอเบิกตากว้างแล้วบอกว่า “ไม่ได้นะ ถึงแม้เขาจะเป็นมนุษย์ แต่ก็ยุ่งยากมากๆ! จะว่าไงดีล่ะ…อืม…เหมือนพอสู้ด้วยแล้วก็จะรู้วึกว่ารับมือยากมากๆ เลยอะไรอย่างนั้นน่ะ…” เธอเม้มปาก แล้วอธิบายอย่างยากลำบาก
“ทีเวลาขายเพื่อนน่ะคล่องเชียวนะ…”
หลิงม่อถอนหายใจ ทันใดนั้น สายตาเขาพลันจดจ่อขึ้นมาทันที “ฉันจัดการเอง เธอกลับไปที่อาคารสองชั้นนั่นเถอะ ฉันคิดว่า เธอน่าจะมีวิธีเรียกสวี่ซูหานออกมานะ? ถ้าหากที่นั่นเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอก็คอยช่วยอยู่เงียบๆ ด้วยแล้วกัน” เขาครุ่นคิด แล้วพูดเสริมอีกครั้ง “อย่าใช้เรี่ยวแรงเกินขีดจำกัดมากไปล่ะ”
ก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้อธิบายอะไรให้พวกเย่ไคฟังก็วิ่งออกมาก่อนแล้ว ถึงแม้พวกอวี่เหวินซวนจะเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว แต่หลิงม่อก็ยังคิดว่าเตรียมตัวไว้ให้มากกว่านี้จะดีกว่า…ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด การที่อวี๋ซือหรานและเฮยซือไปที่นั่นในตอนนี้ จะช่วยพวกเขาได้มากทีเดียว…
ไม่เพียงเท่านี้ เขาติดต่อเย่เลี่ยนไปทันที และพูดขึ้นในใจว่า “เด็กโง่ ต้องวานให้เธอคอยจับตาดูข้างบนแล้วล่ะ”
“อื้ม…” เย่เลี่ยนพยักหน้า
บนดาดฟ้า ซอมบี้สาวตัวนี้พลันหันปากปืนไปยังถนนที่อยู่เบื้องล่าง
เหล่าซอมบี้รวมตัวเบียดเสียดกันอยู่บนถนน มองลงไปจากข้างบน พวกมันเหมือนหมาป่าผู้หิวโหยที่กำลังรอการปรากฏตัวของเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น…ขณะเดียวกันบริษัทลอว์สันที่อยู่อีกฝั่งของถนนยังคงเงียบเชียบไร้เสียง เสมือนสุสานปูนขนาดใหญ่อันเงียบงันและวังเวง เพียงแต่บนตึกสูงหลังนั้น ผ้าม่านที่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงเลือดถูกสายลมพัดออกมานอกหน้าต่างพังๆ เป็นครั้งคราว ทำให้ตึกใหญ่หลังนั้นดูน่ากลัวขึ้นหลายเท่า…
“ต่อไป ก็ได้เวลาที่เราจะมาเล่นสนุกกันหน่อยแล้วล่ะ” หลิงม่อมองไปทางผีเสื้อ แล้วพูดขึ้น
—————————————————————————–