แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 935 สถานที่ที่ฟังก็รู้แล้วว่าเจริญรุ่งเรือง
“คือ…ฉัน…”
ถังฮ่าวเหงื่อท่วมตัว เขาตระหนกจนพูดติดอ่างไปชั่วขณะ
เมื่อกี้ เขายังมีผีเสื้อเป็นความหวังอยู่ แต่ตอนนี้…
โดยเฉพาะเมื่อหลิงม่อจบการต่อสู้ด้วยวิธีที่อาจดูเหมือนง่ายดาย แต่ก็น่าขนลุกในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ ซึ่งนั่นทำให้ถังฮ่าวรู้สึกตื่นตะลึงมาก
“อึก…” ถังฮ่าวกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว สายตาที่มองหลิงม่อเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ความอาฆาตแค้น ลังเล ที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขาก่อนหน้านี้ พลันมลายหายไปและกลายเป็นหวาดกลัวแทน
“ทั้งหมดนี้ น่าจะใช้เวลาแค่สองนาทีเท่านั้นสินะ…” ถังฮ่าวมองศพที่อยู่บนพื้น กล้ามเนื้อใบหน้าพลันกระตุกยิกๆ…ความจริงแล้ว แผลถูกยิงบนตัวผีเสื้อไม่ได้มีมากนัก อย่างมากก็มีแค่รอยถลอกเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น…หากคิดในมุมหนึ่ง การที่เขายืนลั่นไกได้อย่างใจเย็น แม้มีฝีมือยิงปืนที่แย่ขนาดนี้ก็ถือเป็นเรื่องน่ากลัวเหมือนกัน แต่ที่น่าตกใจที่สุด กลับเป็นพลังที่แท้จริงของหลิงม่อที่เขาแสดงออกมาในเสี้ยววินาทีสั้นๆ นั้น…
เหมือนอย่างที่หลิงม่อพูดไว้ ยิงปืน เป็นแค่การเบี่ยงเบนความสนใจที่ผีเสื้อมีต่อการไหลเวียนของอากาศในตอนนั้นเท่านั้น…เมื่อหลิงม่อสัมผัสได้ว่าเขากระโดดขึ้นกลางอากาศ ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาสัมผัสรู้ได้นั้นคืออะไร
ผีเสื้อ…ชื่อของเขา พลังพิเศษของเขา ได้บอกใบ้เกี่ยวกับสิ่งนี้ไว้ แต่การจะตระหนักได้ถึงเรื่องพวกนี้ในระหว่างต่อสู้ได้นั้น กลับต้องมีประสบการณ์การต่อสู้และความสามารถในการตอบสนองอันรวดเร็ว
“ความสามารถในการตัดสินใจยังไม่ต้องพูดถึง ประเด็นสำคัญคือความเร็วในการตอบสนองทางจิตของคนคนนี้…ถ้าหากเขาไม่ได้โจมตีผีเสื้อตามจังหวะการลั่นไกปืนทุกครั้ง ผีเสื้อจะไม่มีโอกาสโต้กลับเลยได้ยังไงกัน! นอกจากนี้ ความจริงศักยภาพร่างกายของเขาไม่เลวเลยซักนิด! ถ้าไม่อย่างนั้น เขาไม่มีทางควบคุมจังความถี่ในการใช้พลังพิเศษกับการลั่นไกปืนได้พร้อมกันถึงขนาดนี้แน่นอน…ตัวเขาเองก็คงจะรู้ดี เมื่อกี้หากเขาเผยช่องโหว่แม้แต่น้อยนิด อาจถูกผีเสื้อฉวยโอกาสเอาไว้ได้ อาจไม่ถึงขั้นพลิกจากแพ้เป็นชนะ แต่อย่างน้อยก็น่าจะหนีรอดไปได้…สาเหตุที่ผีเสื้อเจ็บใจ ก็คงเป็นเพราะเรื่องนี้สินะ…
ถังฮ่าวจ้องหลิงม่อด้วยหน้าซีดเผือด แต่กลับไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าซีดๆ ของหลิงม่อเพราะตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“แบ๊…” เสี่ยวป๋ายกลับสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว มันยืนรอหลิงม่อเดินเข้ามาอยู่ที่เดิมอย่างซื่อสัตย์ จากนั้นก็ยื่นศีรษะออกไปอย่างไม่รีรอ แล้ววางมันลงบนไหล่หลิงม่อเบาๆ
หลิงม่อยกมือขึ้นเกาคางมันสองสามที จากนั้นก็หันไปมองถังฮ่าว “แผนการของพวกแกคืออะไร? อีกอย่าง ภารกิจของคนอื่นๆ มีอะไรบ้าง?”
“ฉัน…” พอได้ยินคำถามของหลิงม่อ ถังฮ่าวก็อดตัวสั่นไม่ได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่หวาดกลัวสุดขีด เขากลับยังคงกัดฟันตอบออกมาในที่สุด “ฉันรู้ว่าถ้าไม่พูดตอนนี้ แกจะต้องฆ่าฉันแน่ๆ…แต่ถ้าหากแผนการล้มเหลว ฉันจะต้องทรมานยิ่งกว่าตายในซักวัน…”
“อ่อ งั้นหรอ…” หลิงม่อมองเขาแวบหนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็ถอนหายใจอย่างจนใจ “ช่วยไม่ได้นะ ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องเปลืองแรงซักหน่อยแล้วล่ะ”
“ฉันเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ถึงแกจะทำอะไรฉันอีก…” เดิมถังฮ่าวยังคิดอยากใช้ไม้แข็ง แต่ในวินาทีถัดมาเขากลับตกใจเมื่อเห็นหลิงม่อยื่นมืออกมา แล้วกดมาที่ศีรษะตัวเองตรงๆ
เขาไม่รู้ว่าหลิงม่อยื่นมือออกมาทำไม แต่สายตาที่เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ไปอย่างรวดเร็วของหลิงม่อ กลับสร้างความทรงจำดำมืดไว้ในส่วนลึกของจิตใจเขาได้เป็นอย่างดี!
“อ๊ากกก! เดี๋ยวก่อน! ฉันจะบอกแล้ว บอกแล้ว!” ถังฮ่าวตะโกนลั่น
เมื่อหลิงม่อลดมือลงช้าๆ แผ่นหลังของถังฮ่าวก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อมากมาย
ในเสี้ยววินาทีเมื่อกี้ เขามองเห็นสัญญาณเตือนที่อยู่ในสายตาของหลิงม่ออย่างชัดเจน : ฉันสามารถทำให้แกตายทั้งเป็นได้เดี๋ยวนี้เลย…
น่ากลัวเกินไปแล้ว! ใครจะไปรู้ว่าหมอนี่สามารถทำอะไรได้อีกบ้าง! เดิมทีถังฮ่าวมีนิสัยขี้ขลาดอยู่แล้ว ในวินาทีนั้นเขาตกใจจนเกือบช็อกเลยทีเดียว…
ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ สาเหตุที่หลิงม่อฆ่าผีเสื้อทิ้งอย่างไม่ลังเลซักนิด และเลือกเก็บเขาไว้ เพราะหลิงม่อมองเห็นความขี้ขลาดของเขา…ก็ใครใช้ให้หมอนี่คายความลับออกมาหมดเวลาที่ตกใจกลัวจนควบคุมตัวเองไม่ได้กันล่ะ…
นอกจากนี้ ระดับความอันตรายของผีเสื้อก็สูงเกินไปหน่อย หลิงม่อที่เดิมคิดอยากสืบค้นความทรงจำของเขา ก็ได้ล้มเลิกความตั้งใจหลังจากที่มองเห็นดวงตาอาฆาตแค้นของผีเสื้อ ขณะเดียวกันเมื่อผีเสื้อเห็นว่าเขาไม่ยอมแตะต้องร่างกายตัวเอง ก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด…
เสียดายก็แต่ ผีเสื้อในนาทีนั้นไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว ดังนั้นคำพูดก่อนตายของเขา จึงมีความนับแฝงไว้อย่างลึกซึ้ง…
“แกไม่เหมือนคนที่อยู่ในกลุ่มคณะพวกนั้นเลย…” ถังฮ่าวพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
“อย่างนั้นหรอ?” หลิงม่อเก็บปืนเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืน “แล้วฉันตอนไหนว่าฉันอยู่?”
“……”
ไม่เคยบอกจริงด้วย!
“แต่ถ้าไม่ใช่สมาชิกในกลุ่มคณะ พวกแกจะมีปืนได้ยังไง? อีกอย่างกลุ่มคณะที่มีอาวุธปืนอย่างนี้ ก็ต้องเป็นกลุ่มใหญ่อย่างแน่นอน…” ไม่รู้ว่าตอนนี้ถังฮ่าวกำลังคิดอะไรอยู่ เขาถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกมาตรงๆ พลางลอบสังเกตหลิงม่ออย่างเหงื่อตก
“แกเคยเห็นค่าย…กลุ่มคณะ?” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วถามกลับ ส่วนเรื่องของตัวเขาเอง เขาย่อมไม่คิดจะเล่าให้ฟังอยู่แล้ว
ถังฮ่าวกลับส่ายหัว “ไม่ถือว่าเคยเห็นหรอก…แค่เคยได้ยินผีเสื้อเล่าถึง”
“เขาเล่า?”
“ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกแล้วไม่ใช่หรอ ว่าฉันมาจากที่อื่น? ความจริงตอนนั้นนอกจากฉันแล้ว ยังมีคนที่ถูกพามาที่นี่อีกเกือบห้าสิบกว่าคน แต่ตอนนี้ตายไปเกือบหมดแล้ว ต่อมาเขาก็มักจะออกไปพาคนกลับมา บางครั้งก็ออกไปไกลมาก…ถึงพวกฉันจะแปลงร่างได้ แต่กลับไม่ได้แปลงร่างได้นานเท่าผีเสื้อ พวกฉันก็เลยไม่สามารถเดินผ่านถนนมากมายขนาดนั้นได้ ดังนั้นเรื่องนี้ เขาเลยจำเป็นต้องลงมือเอง…”
พูดถึงตรงนี้ อยู่ถังฮ่าวก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน บอกว่า “มีครั้งหนึ่ง เขาน่าจะออกไปที่ไหนซักแห่งหนึ่ง แล้วเจอผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งเข้าที่นั่น…พวกเขามีกฎระเบียบกว่าพวกฉันมาก เรียกตัวเองว่าทีมอะไรซักอย่าง…ฉันได้ยินผีเสื้อบอกว่าเพราะที่นั่นเป็นย่านที่พักอาศัยเล็กๆ ก็เลยมีผู้รอดชีวิตอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายที่คนกลุ่มนั้นเจรจาด้วยไม่ง่ายเลย ผีเสื้อจึงกลับมาเล่าให้ฟังเพียงครั้งเดียว และไม่ได้ไปที่นั่นอีกเลย”
“ที่นั่นคือที่ไหน?” หลิงม่อพลันสนใจ นอกจากกองกำลัง F เขายังไม่เคยเห็นค่ายผู้รอดชีวิตค่ายอื่นในเมือง X เลย
นอกจากนี้ สิ่งที่ถังฮ่าวเล่าทำให้เขานึกเชื่อมโยงไปถึงสถานที่ที่เป็นเป้าหมายถัดไปของตัวเอง…
“ย่านกวังหมิง” ถังฮ่าวบอก (กวังหมิง แปลว่า แสงสว่าง)
“แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกว่าเจริญรุ่งเรืองมากแล้ว…” หลิงม่อพูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด
แต่ถังฮ่าวกลับคิดอย่างไม่สบอารมณ์! “สมัยนี้ยังมีที่ไหนที่เจริญรุ่งเรืองอยู่อีก! แต่ในเมื่อหมอนี่สนใจเรื่องพวกนี้ งั้นฉันเล่าให้ฟังเยอะๆ หน่อย ไม่แน่ว่าอาจหาวิธีอะไรได้…”
“เรื่องแผนการล่ะ?” หลิงม่อกลับหยุดครุ่นคิดกะทันหัน แล้วหันมาถาม
“เชี่ย!ปล่อยให้ฉันถ่วงเวลาซักนิดก็ไม่ได้หรอวะ!” ถังฮ่าวอยากวิ่งเอาหัวโขกกำแพงขึ้นมาชั่ววูบ…
—————————————————————————–