แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที 725 นี่ไม่เหมือนที่ฉันคิดไว้เลย
มู่เฉินเผลอร้องเสียงดัง จนทำให้ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว
เขากระแอมแก้เก้อ แล้วรีบก้มหน้าทำท่าเหมือนกรอกแบบฟอร์มต่อ
หลังจากทุกคนละสายตาออกไป มู่เฉินจึงกระทุ้งศอกหลิงม่อเบาๆ พลางพูดเสียงเบาว่า “นายไม่ต้องเอาเปรียบกันโต้งๆ ขนาดนี้ก็ได้มั้ง…เอางี้ ฉันช่วยนายตั้งชื่อ…”
ระหว่างทางที่มา ทั้งสองได้ถกเถียงกันเรื่องตัวตนของหลิงม่อก่อนแล้ว
หากต้องการแฝงตัวอยู่ในนี้ก็ต้องสร้างตัวตนที่เหมาะสมขึ้นมา “หลิงม่อ” ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วใน 3 กองกำลังขนาดใหญ่ของเมือง X แล้ว จึงรับประกันไม่ได้ว่าคนของนิพพานสำนักงานใหญ่จะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขา
จากความคิดของมู่เฉิน วิธีที่ดีที่สุดคือให้หลิงม่อสวมรอยเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสาขาย่อยเมืองตงหมิงที่มีตัวตนอยู่แล้ว
แต่ความคิดเห็นนี้ กลับถูกหลิงม่อปฏิเสธเสียงแข็ง
ข้อมูลของสมาชิกสาขาย่อยจะมีสำเนาถูกเก็บไว้ที่นี่หรือไม่ มู่เฉินเองยังบอกไม่ได้เลย
นอกจากนั้น มู่เฉินก็ไม่ได้รู้จักสมาชิกผู้มีพลังจิตพวกนั้นมากนัก
หากสวมรอยไปส่งเดช ถึงแม้ความเป็นไปได้ที่จะถูกจับได้มีไม่มาก แต่หลิงม่อเห็นว่ามันยังคงเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไปอยู่ดี
คิดซ้ายคิดขวา สุดท้ายหลิงม่อก็เห็นว่าการคิดตัวตนใหม่ขึ้นมาเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด
หากคนที่นี่ไม่สอบถามก็แล้วไป แต่ถึงถามขึ้นมา เขาก็บอกได้ว่าตัวเองเพิ่งเข้าร่วมกับสาขาย่อยได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้รายงานเบื้องบน
สมาชิกของสาขาย่อยมีทั้งที่ตาย และหลบหนี คนของสำนักงานใหญ่ไม่มีทางสืบหาความจริงได้ในเวลาอันสั้น
ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่จะถูกจับได้ก็จะลดลงมาก
“นายรีบกรอกของนายไปเถอะ” หลิงม่อเอือม ก็แค่ชื่อชื่อหนึ่งเท่านั้น…เจ้าทึ่มนี่ยังติดใจไม่เลิกอีก
“ชิ…” มู่เฉินหน้าบูด
น่าเสียดายที่การต้องแสดงเป็นตัวหลัก ทำให้เขาไม่เพียงไม่สามารถปิดบังตัวเอง แต่ยังต้องพยายามขุดคุ้ยประวัติของตัวเองออกมาให้หมด เพื่อที่จะแลกความเชื่อใจจากสำนักงานใหญ่
แต่พอได้เอะอะโวยวายบ้าง มู่เฉินก็รู้สึกจิตใจสงบลงหน่อยแล้ว
เอาแต่ตื่นตูมเกินเหตุไปตลอด ช้าเร็วต้องถูกคนจับพิรุธได้แน่ๆ…
ข้อที่เขียนไว้ว่า “ความสามารถพิเศษ” หลิงม่อกรอกคำว่า “พลังจิตสำรวจ” ลงไปอย่างไม่ลังเล
ความสามารถนี้เป็นเหมือนสินค้าข้างถนน (สินค้าคุณภาพธรรมดา แต่ขายดี) ในหมู่ผู้มีพลังจิต ถึงแม้จะไม่ได้ถนัดด้านนี้โดยตรง แต่ก็ใช้เป็นกันมากบ้างน้อยบ้าง
หลิงม่อเป็นคนกลุ่มหลัง แต่เพราะเขามีพลังจิตที่แข็งแกร่งพอ ดังนั้นก็ยังพอฝืนสวมบทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ได้
ชายวัยกลางคนเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อย พอเห็นที่หลิงม่อกรอกสีหน้าของเขาก็แปลกไปเล็กน้อย
เมื่อกี้เห็นหลิงม่อรับคำท้าจากเหอหงเยี่ยนอย่างง่ายดายอย่างนั้น เขายังนึกว่าเด็กหนุ่มมีความมั่นใจมาก…ไม่คิดเลยว่าความสามารถพิเศษของเขาคือสิ่งนี้
ส่วนผู้ชายอีกคนดูก็รู้ว่าเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายแน่ๆ มือหยาบกร้านขนาดนั้น ไม่มีทางเป็นผู้มีพลังจิตไปได้
ส่วนผู้มีพลังธาตุนั้นมีน้อยมาก ชายวัยกลางคนจึงไม่คิดถึงด้านนั้นเลยแม้แต่น้อย
ไม่คิดว่าเจ้าหนุ่มนี่จะกล้าขนาดนั้นทั้งที่พลังของทีมมีเท่านี้ อย่างนี้จะไม่เรียกว่าโง่ได้หรือ…
แต่มีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้ จะมีใครที่เป็นคนโง่จริงๆ บ้าง?
ยิ่งไปกว่านั้น หลิงม่อก็ดูเป็นคนที่ใจเย็นมาก ทำไมเขาถึงสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ได้…
ชายวัยกลางคนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีปัญหา แต่ก็บอกไม่ถูกว่าปัญหานั้นอยู่ตรงไหน
“อาจเป็นเพราะเขาเขียนกำกวมเกินไปล่ะมั้ง…” เขาเค้นหาเหตุผลให้ตัวเอง
สถานที่อย่างนี้เป็นที่ที่หากยิ่งมีความสามารถพิเศษที่แข็งแกร่ง ก็ยิ่งเป็นที่สะดุดตาได้ง่าย สมาชิกบางคนก็จงใจเขียนให้ความหมายกำกวมเพื่อเลี่ยงศัตรู ซึ่งการกระทำอย่างนั้นถือว่าอยู่ในขอบเขตอนุญาตของนิพพานสำนักงานใหญ่
หลิงม่อไม่ได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของชายวัยกลางคน เขาเขียนต่อจนเสร็จ จากนั้นก็พลิกไปหน้าถัดไป
“ที่แท้ด้านหลังก็เป็นบันทึกระดับผลงาน…สมุดเล่มนี้ ความจริงแล้วคือเอกสารที่รวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลไว้ครบถ้วนนี่เอง”
ยิ่งรู้จักมากเท่าไหร่ หลิงม่อก็ยิ่งรู้สึกว่านิพพานสำนักงานใหญ่แห่งนี้ช่างไม่ธรรมดา
ไม่ว่าจะเป็นขนาด จำนวนผู้มีความสามารถพิเศษ ระบบปกครอง และรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ นิพพานสำนักงานใหญ่ล้วนทำได้ค่อนข้างดี
กระทั่งสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างนี้ ซึ่งหลิงม่อคิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อนิพพานสำนักงานใหญ่
ผู้มีความสามารถพิเศษคือใคร? คือผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือกว่าคนทั่วไปในปัจจุบันไงล่ะ
ถึงแม้จะสู้ยอดมนุษย์ในผลงานแฟนตาซีไม่ได้ แต่ก็มีพลังพิเศษที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่า
แต่บุคลิกของคนเหล่านี้กลับไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาเลย พวกเขาล้วนมีนิสัยใจคอที่เป็นของตัวเอง
ที่ผู้มีความสามารถพิเศษเข้าร่วมกับนิพพาน ก็เพื่อต้องการทรัพยากรและสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตที่ดีกว่าเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีสำนึกรักในตัวองค์กรของนิพพานมากเท่าใดนัก
ดังนั้นทิศทางการปกครองที่นิพพานสำนักงานใหญ่เลือกใช้ คือการทำให้ผู้มีความสามารถพิเศษเหล่านี้ทำงานตามกฎเกณฑ์ และจงใจปล่อยให้เกิดการแข่งขันกันเองระหว่างพวกเขา เพื่อตัดความเป็นไปได้ที่ผู้มีความสามารถพิเศษอาจรวมกลุ่มกันจำนวนมาก ซึ่งการที่สามารถนำระดับผลงานมาเดิมพันกันได้ ก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นปัญหาดังกล่าว
ถึงแม้จะมีคนบางส่วนยินยอมทำตามกฎอย่างว่าง่าย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนชอบหาเรื่องอย่างเหอหงเยี่ยนรวมอยู่ด้วย
ทว่าถึงอย่างไรก็ยังมีข้อจำกัดอยู่มากมายเพราะสภาพแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ดังนั้นสาขาย่อยจึงดูผ่อนคลายและหย่อนยานกว่ามาก เพราะกฎเกณฑ์มากมายแผ่ไปไม่ถึง
“คนที่สามารถสร้างนิพพานสำนักงานใหญ่ขึ้นมาได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเราเท่าไหร่ เรื่องสำคัญคือสมาชิกกลุ่มวิจัยที่ทิ้งสมุดโน้ตเล่มนั้นไว้ หากวิเคราะห์ไม่ผิด เขาต้องเป็นบุคคลสำคัญในกลุ่มวิจัยแน่ๆ และเขาจะต้องมีบันทึกผลการวิจัยรวมถึงทฤษฎีความรู้อยู่ในมือมากมายแน่นอน…”
การแฝงตัวเข้ามาในครั้งนี้ หลิงม่อไม่ได้พกสมุดโน้ตเล่มนั้นมาด้วย ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่สามารถสับเปลี่ยนมุมมองสายตาได้ จะเอามาหรือไม่เอามาก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก
ถึงแม้นิพพานสำนักงานใหญ่จะตั้งอยู่ใจกลางของมหาลัยแพทย์ แต่ระยะห่างในเส้นตรงจากที่นี่ไปถึงบ้านเรือนหลังนั้นยังไม่เกิน 3000 เมตร ซึ่งถือเป็นระยะทางที่พอดีสำหรับหลิงม่อ
หลังจากที่ทั้งสองกรอกแบบฟอร์มเสร็จกลับไม่ได้ส่งให้จุดลงทะเบียนทันที แต่กลับต้องเดินตามชายวัยกลางคนขึ้นไปชั้นบนก่อน
ด้านบน พวกเขาเจอเหล่าสมาชิกของนิพพานอีกหลายคน แต่คนเหล่านั้นนอกจากหันมามองเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้เข้ามาหาเรื่องแต่อย่างใด
“ในหนึ่งวันมีคนออกไปทำภารกิจมากขนาดนี้เชียว?” มู่เฉินอดถามไม่ได้
ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็สวมบทคนที่จะเข้าร่วมสำนักงานใหญ่ ถ้าหากไม่สนใจอะไรเลย ก็คงจะดูปลอมมากเกินไป…
ดังนั้นพอได้ยินมู่เฉินตั้งคำถาม หลิงม่อจึงหันไปมองชายวัยกลางคนพร้อมสายตาสงสัยด้วยเช่นกัน
“เรื่องนี้น่ะ ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย ภารกิจจึงถูกติดประกาศเพิ่มขึ้น เบื้องบนติดประกาศภารกิจที่ระดับสูง แต่ไม่ยากเกินไปจำนวนมาก คนจึงแย่งกันทำภารกิจกันมากมาย” ชายวัยกลางคนตอบ
คนทั่วไปหากได้ยินน้ำเสียงเย็นชาอย่างนี้ของชายวัยกลางคนเข้า ส่วนมากคงจะหยุดถามเพียงเท่านี้ แต่มู่เฉินเป็นใครล่ะ เขาคือคนที่พูดได้จนลิงหลับ…
แต่ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เจอคนเป็นคนอื่นบ้างแล้ว เมื่ออารมณ์ผ่อนคลายลง ไม่พูดมากก็คงเป็นเรื่องแปลก
“อ้าว เกิดเรื่องอะไรกันล่ะ? ทำไมถึงต้องติดประกาศภารกิจเยอะขนาดนี้?” มู่เฉินพูด และไม่ลืมล้วงบุหรี่มวนหนึ่งออกมายื่นให้ชายวัยกลางคน
หลิงม่อเหลือบมอง พอเห็นแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่คิดว่ามู่เฉินจะทำใจให้บุหรี่ดีๆ ไม่ได้ และยื่นบุหรี่ที่เริ่มชื้นแล้วให้แทน
ชายวัยกลางคนที่กำลังยื่นมืออกมารับก็ชะงักค้างไปทันที
สาขาย่อยก็คือสาขาย่อย แม้แต่บุหรี่ก็ยังดูขี้แพ้ขนาดนี้…
“ฉันไม่สูบบุหรี่…”ชายวัยกลางคนตำหนิทางอ้อม แต่พอเห็นมู่เฉินยังคงจ้องตัวเองอยู่ จึงทำได้เพียงเปิดปากพูด “ถึงอย่างไรพวกนายก็เข้าร่วมแล้ว บอกพวกนายไปก็ไม่เป็นไร…เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน ฉันเองก็รู้ไม่มาก ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางสำนักงานกลาง”
“สำนักงานกลาง?” หลิงม่อเริ่มสนใจขึ้นมาจริงๆ เพราะมีเงื่อนไขที่จำกัด เขาจึงไม่ค่อยรู้สถานการณ์ในโลกภายนอกมากนัก ตอนนี้พอได้ยินข่าวคราวจากโลกภายนอก หลิงม่อจึงรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที
มู่เฉินยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถึงแม้เขาจะตัดสินใจว่าจะอยู่กับทีมปาฏิหาริย์ของหลิงม่อแล้ว แต่ในใจก็ยังคงมีความกังวลแฝงอยู่เสมอ
ที่ผ่านมา มู่เฉินเห็นกับตาว่าซอมบี้อันตรายมากขึ้นทุกวันๆ และสภาพแวดล้อมโหดร้ายมากขึ้นอย่างทวีคูณ
เขาไม่รู้เลย ว่าต่อจากนี้จะยังมีพื้นที่ให้มนุษย์ยืนอยู่อีกไหม
ถ้าหากสามารถรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ทั้งประเทศหรือทั่วโลกตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว คงจะดีไม่น้อย
“สำนักงานกลางเกิดอะไรขึ้น? หมายความว่าไงที่ว่าเกี่ยวข้องกับสำนักงานกลาง?” มู่เฉินถามต่ออย่างกระตือรือร้น
ชายวัยกลางคนบอกว่า “ฉันก็ไม่แน่ใจ พวกนายฟังเอาไว้ก็แล้วกัน สำนักงานกลางเหล่านั้นเป็นมณฑลขนาดใหญ่ที่มีประชากรมาก ได้ยินว่าสถานการณ์แตกต่างจากทางเรามาก มีซอมบี้เยอะกว่า แต่จำนวนมนุษย์ก็มากกว่าเรา จำนวนผู้มีความสามารถพิเศษยิ่งมากกว่าเรา ตอนนี้พวกเขากำลังสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์อะไรนั่นอยู่ ได้ยินมาว่าติดต่อทางเรามาแล้ว และกำลังส่งคนมา ไม่แน่อาจมาถึงใน 2 – 3 วันนี้ก็ได้”
“ข้อมูลเยอะมาก…” มู่เฉินอึ้งเล็กน้อย อาจเป็นเพราะข้อมูลเหล่านี้ไม่ค่อยเหมือนกับที่เขาคิดไว้…
หลิงม่อกลับถามว่า “จะมาถึงกันเมื่อไหร่หรือ?”
ชายวัยกลางคนหันมามองเขาแวบหนึ่ง “ได้ยินมาว่า จริงๆ ควรมาถึงนานแล้ว…คงเสียเวลาระหว่างทางเล็กน้อยล่ะมั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก มีซอมบี้อยู่ทุกที่ขนาดนั้น”
“อย่างนี้เอง…” หลิงม่อพยักหน้า ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู๋
ชายวัยกลางคนอดเหลือบมองเขาอีกครั้งไม่ได้ ถึงแม้หลิงม่อจะสวมหมวกไว้ แต่เมื่อกี้ตอนที่ทั้งสองสบตากัน เขากลับรับรู้ได้ถึงแววตาที่แตกต่างออกไปจาดวงตาของเจ้าหนุ่มคนนี้อย่างชัดเจน
ดวงตาของคนธรรมดาส่วนมากจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม่ได้มีคนที่ดวงตาดำวาวอย่างหลิงม่อมากนัก แต่ถึงอย่างไรก็ยังถือว่ามีอยู่
แต่คนที่ดวงตาดำลึกล้ำขนาดนี้ กระทั่งหากมองนานๆ อาจทำให้เกิดอาการมึนๆ ได้อย่างนี้ แม้แต่ในหมู่ผู้มีพลังจิตก็ยังหาได้ยาก
“เหมือนว่าพลังจิตของเจ้าหนุ่มคนนี้จะแกร่งมาก ถ้าหากเป็นแค่พลังจิตสำรวจจริงๆ คงน่าเสียดายแย่ แต่ว่า…เขาใช้พลังสำรวจได้ไกลแค่ไหนกันนะ?” ชายวันกลางคนค่อนข้างสงสัยเรื่องนี้ ในฐานะเจ้าหน้าที่ยาม เขาล้วนเคยเห็นผู้มีความสามารถพิเศษที่อยู่ที่นี่มาหมดแล้ว ผู้มีพลังจิตเองก็เช่นกัน แต่คนอย่างหลิงม่อ เขาไม่ค่อยได้พบเห็นมากนัก
พอไปถึงชั้น 1 พวกเขาก็เห็นห้องโถงที่กำลังตกอยู่ในความคึกคักปรากฏตรงหน้า
กระดานดำเคลื่อนที่ได้ 2 – 3 แผ่นถูกตั้งไว้กลางห้องโถง มีกระดาษสีแดงเขียนแยกระดับภารกิจกำกับไว้ ในกระดานดำแต่ละบานก็มีกระดาษแผ่นเล็กๆ ติดไว้มากมาน คิดดูแล้วน่าจะเป็นภารกิจที่ถูกประกาศออกมาใหม่แน่นอน
จำนวนคนที่เบียดเสียวกันอยู่หน้ากระดานดำมีมากถึง 20 – 30 คน คนพวกนั้นกำลังเลือกภารกิจอย่างตั้งใจ
ทว่า ในขณะที่หลิงม่อกำลังมองดูพวกเขา กลับมีบางคนที่ล้มเลิกความตั้งใจ และเดินจากไปมือเปล่า
“คือว่า… “ มู่เฉินเพิ่งจะเปิดปาก ขายวันกลางกลับพูดขึ้นมาว่า “ขอเพียงยังมีระดับผลงานอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องรับภารกิจไปทำตลอด เพราะภารกิจส่วนมากล้วนมีอันตราย บางคนเขาก็รอภารกิจที่เสี่ยงน้อยกว่าแต่คุ้มกว่า…”
พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หันมามองพวกเขา “อย่างเช่นเจ้าคนแซ่ซ่งที่เลือกไปที่สาขาย่อยของพวกนายไง”
มู่เฉินหัวใจเต้น “ตึกตัก” แต่หลิงม่อยังคงสีหน้าเรียบเฉย
หลังหยุดไป 2 วินาที ชายวัยกลางคนก็หัวเราะเบาๆ “แต่ภารกิจนั้นต้องอาศัยดวงด้วย”
“ใช่แล้ว…” มู่เฉินพยักหน้า แต่รอยยิ้มกลับดูฝืดเฝื่อนเต็มที
หลังสบตากับหลิงม่อ เขาก็ลอบผ่อนลมหายใจออกมา
ผ่อนคลายหน่อย…ทำตัวเป็นธรรมชาติหน่อย…
—————————————————————————–