My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 599
ถ้าผมบอกว่า… (1+2)
สวนสนุกเปิดตอนเก้าโมงเช้า ดังนั้นเฉินเกอจึงมีเวลาเหลือไม่มากนัก เขาตัดสินใจที่จะสืบดูต่อในตอนนี้
“สารวัตรหลี่ อย่าประมาท ผู้ชายคนนั้นอันตรายมาก และเขาน่าจะไม่ได้ไร้อันตรายอย่างที่เขาทำให้ตัวเองดูเหมือนอย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนผู้ป่วยทางจิตทั่วไป” เฉินเกอไม่รู้ว่าเจียหมิงจะตื่นขึ้นมาตอนไหน เขาพูดบางอย่างกับหลี่เจิ้งและจากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาลมา
เขาเรียกแท็กซี่ไปที่บ้านเช่าแรกของเจียหมิง พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น และมีคนอยู่บนถนนไม่มากนัก บางครั้งก็มีรถผ่านไป แต่ก็เท่านั้น เฉินเกอนั้นยังไม่ได้นอนเลยเมื่อคืนนี้ แรกเลยเขาไปที่โรงเรียนเด็กพิเศษเพื่อไล่ตามผีในน้ำและจากนั้นก็ดำลงไปในเขื่อนจิ่วเจียงตะวันออกเพื่อกู้ศพพวกนั้นก่อนที่ในที่สุดจะไปที่โรงพยาบาลเพื่อช่วยตำรวจสืบเรื่องเจียหมิง พูดอีกอย่างหนึ่ง เขาใช้เวลาคืนนี้ของเขาอย่างเต็มที่ ไม่มีสักวินาทีที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
หัวของเขารู้สึกเบาโหวงขณะที่ความง่วงงุนโจมตีเขาเป็นระลอก ๆ เฉินเกองีบหลับไปในรถแท็กซี่ และคนขับก็ปลุกเขาขึ้นมาตอนที่พวกเขามาถึงปลายทาง แต่ว่า การงีบหลับครู่หนึ่งนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์นัก แล้วมันยังทำให้เฉินเกอรู้สึกหัวหนักอึ้งและเชื่องช้าด้วย มันเหมือนสมองของเขาเต็มไปด้วยตะกั่ว
เขาลูบ ๆ หน้าตัวเองแล้วก็เดินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ลมเย็น ๆ พัดผ่านหน้าเขา บางทีอาจจะเป็นเพราะวิธีการที่ตึกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมา แต่ว่าแสงอาทิตย์ยากที่จะสาดส่องเข้ามาในตรอกนี้
“ไม่แปลกใจที่เจียหมิงจะไม่กล้าหยุดสักครู่เดียวหลังจากหนีออกมาจากตึกที่เขาอยู่ เขากล้าหยุดก็ตอนที่วิ่งออกไปจนถึงถนนใหญ่แล้ว”
นี่เป็นเขตที่พักอาศัยเก่าและตึกรอบ ๆ นั้นก็ค่อนข้างต่ำ ส่วนมากแล้วเป็นตึกที่มีเพียงสองหรือสามชั้นเท่านั้น พวกมันดูโทรมและเก่า และบางตึกยังมีคำ ‘รอรื้อถอน’ สีแดงทาเอาไว้บนผนังด้วย
“เรื่องที่เจียหมิงเล่าที่โรงพยาบาลนั้นน่าจะเกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว ฉันหวังว่าหญิงชราจะยังไม่ย้ายไปไหนและตึกจะยังอยู่ที่เดิม”
เขาไปตามที่อยู่ที่หลี่เจิ้งให้มาและเดินเข้าเดินออกแต่ละตรอกอยู่นานกว่าจะพบบ้านของหญิงชราคนนั้น เพื่อนบ้านทางซ้ายและขวานั้นย้ายออกไปแล้ว และยังมีโพรงใหญ่โพรงหนึ่งอยู่ที่กำแพง จากที่เห็น ที่นี่ดูเหมือนจะร้างมานานแล้ว
“ที่นี่ไม่ได้หาเจอง่าย ๆ เลย” เฉินเกอเข้าไปในทางเดินและสังเกตเห็นกระถางต้นไม้ที่วางเอาไว้หลายมุม บางที อาจจะเพราะไม่เจอแสงแดด ดอกไม้ส่วนใหญ่จึงเหี่ยวเฉา และลำต้นยังเหลืองบาง
“มีใครอยู่ไหมครับ?” เฉินเกอเคาะประตูที่ชั้นแรก และเขาก็เรียกออกไปเบา ๆ ไม่มีการตอบรับ แต่เสียงของเขานั้นก้องไปตามทางเดินชั้นแรก เขาหันไปมองทางบันได เพราะอะไรสักอย่าง เฉินเกอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับที่นี่ เขาลองดึงประตูเปิด และประตูนิรภัยก็ถูกดึงเปิดได้ทั้งอย่างนั้น
“มันไม่ได้ล็อกไว้ด้วยซ้ำ?” เฉินเกอดึงประตูเปิดกว้างอย่างสงสัย กลิ่นอับกลิ่นรารุนแรงพุ่งมาจากด้านใน ในห้องเต็มไปด้วยเครื่องเรือนเก่า ๆ โซฟาเป็นรูปแบบที่นิยมเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แบบที่ยังเป็นเบาะหุ้มผ้าอยู่ กระทั่งนาฬิกานกคุกคูบนกำแพงและโต๊ะกินข้าวตัวเตี้ยยังดูทรุดโทรมไปแล้ว
“บนลูกบิดประตูไม่มีฝุ่น และนาฬิกาในห้องยังเดินตรงเวลา ดังนั้นน่าจะยังมีคนอาศัยอยู่ที่นี่”
เมื่อไม่ได้รับอนุญาต เฉินเกอก็ไม่หยาบคายพอที่จะบุกเข้าไปในบ้านคนอื่น เขาร้องเรียกอีกครั้งอยู่ที่กรอบประตู แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ แต่ว่า มีเสียงประหลาดดังมาจากบนเพดาน มันเหมือนลูกบอลแฟบ ๆ กระเด้งอยู่บนพื้น
“เสียงนั่นมาจากชั้นสาม” เฉินเกอเดินขึ้นบันได ตอนที่เขาผ่านชั้นสอง เขาก็พบว่าประตูห้องที่ชั้นสองเปิดอยู่ แต่ว่าไม่มีกลิ่นประหลาดจากที่นั่น เหมือนที่นั่นได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำ
หลังจากหยุดอยู่ที่ชั้นสองครู่หนึ่ง เฉินเกอก็เดินขึ้นไปต่อ หน้าต่างที่ตรงมุมบันไดนั้นมีผ้าสีดำปิดเอาไว้ บนกำแพงไม่มีหลอดไฟ ดังนั้นต่อให้ที่ด้านนอกพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ที่ด้านในนี้ก็ยังคงมืดเหมือนยามราตรี
“มีคนอยู่ไหมครับ?” เสียงประหลาดดังเข้ามาในหูของเขา เฉินเกอรู้สึกเหมือนเป็นตัวละครหลักอันอับโชคในหนังสยองขวัญพวกนั้นตอนที่เขาเดินขึ้นไปอีกก้าวเข้าใกล้แหล่งที่มาของเสียงประหลาด เขากำราวบันไดเอาไว้ รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่มาจากกลางฝ่ามือ
บนชั้นสามของตึกเก่า ๆ หลังนี้ไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาเลย เฉินเกอดึงโทรศัพท์ของเขาออกมาแล้วเปิดไฟฉาย เขาส่องไฟไปยังที่ที่เสียงดังมา ตอนที่ไฟส่องกระทบตรงจุดนั้นก็มีบางอย่างเลื้อยผ่านไปในพริบตานั้น
เฉินเกอเกร็งร่างขึ้นขณะกวาดตาไปทั่ว ๆ ชั้นสาม ประตูบนชั้นนี้ถูกเอาออกไปหมดแล้ว และที่นี่ยังเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือเปียโนหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนา มีหลายคีย์ที่หายไป และมันก็ดูเหมือนชายแก่ที่ฟันหลายซี่หลุดหายไปกำลังอ้าปากอยู่
“พวกเขาน่าจะเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นเจ้าของตึกสามชั้นและยังสามารถซื้อหาสิ่งของฟุ่มเฟือยอย่างเปียโนสักหลังได้”
เฉินเกอเดินไปที่เปียโนนั่นแล้วกดนิ้วลงบนหลาย ๆ คีย์ เสียงดนตรีที่เขาคาดหวังให้ดังออกมาจากเปียโนกลับไม่ปรากฏ
เฉินเกอมองเข้าไปในเปียโน มีเส้นผมหลายกระจุกติดอยู่ในนั้น บางทีเขาอาจจะคิดไปเอง แต่ครู่หนึ่งนั้น เฉินเกอรู้สึกว่าเส้นผมนั่นขดตัวลึกเข้าไปในเปียโน
เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในเปียโนดึงผมกระจุกหนึ่งออกมาอย่างใจเย็น “มีเส้นผมสีขาวและสีดำ ปลายยังสะอาดและเรียบร้อย ดังนั้นนี่จะถูกตัดออกมา ไม่ได้ถูกถอน นี่เป็นของสะสมพิเศษของหญิงชราเจ้าของบ้านงั้นหรือ? แต่ทำไมเธอถึงเก็บของพวกนี้ไว้ล่ะ?”
ลูกสะใภ้ของหญิงชรานั้นยังอายุน้อยอยู่ตอนที่เธอตาย ดังนั้นเส้นผมของเธอน่าจะยังไม่หงอกขาว
“ทำไมหญิงชราถึงได้เอาเส้นผมใส่ไว้ในเปียโนเยอะอย่างนี้?” เฉินเกอโยนเส้นผมที่เขาถือเอาไว้กลับเข้าไปในเปียโน ตอนที่เขาดึงแขนกลับมานั้น ที่ปลายหางตาของเขาก็มองเห็นใบหน้าสีเทา ๆ ท่ามกลางกลุ่มผม มันดูกำลังจับตามองเฉินเกออยู่จากใต้กระจุกผมนั่น
“นั่นอะไร?” ชั้นสามนั้นเป็นที่สำหรับเหล่าวิญญาณ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เขาจะเจอเข้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติ เฉินเกอไม่ได้ตื่นตระหนก เขาวางโทรศัพท์ของเขาลงข้างตัว เล็งให้ไฟฉายส่องเข้าไปในเปียโน จากนั้นเขาก็เอื้อมเข้าไปหากลุ่มผมด้วยสองมือและเริ่มการค้นหา “คุณยังอยู่ที่นั่นไหม?”
ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้กองเส้นผม และไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเจอของสำคัญชนิดไหน แต่ว่า ความรู้สึกที่ผิวหนังเปลือยเปล่าสัมผัสกับเส้นผมนั้นก็ไม่ได้ดีนัก เขาคุ้ยไปทั่วอยู่นาน แต่สุดท้ายเฉินเกอก็หาคนไม่เจอ เขาดึงมือกลับมาแล้วมองนาฬิกาที่ด้านข้าง นาฬิกาดูคล้ายกับที่อยู่ในห้องของหญิงชราที่ชั้นแรก แต่ว่าอันนี้ มีเพียงเข็มวินาทีเท่านั้นที่ยังเดินอยู่
มันหมุนไปเรื่อย ๆ แต่เวลาบนหน้าปัดก็ยังคงนิ่งอยู่ที่ 3:44
“เป็นบ่ายสามสี่สิบสี่นาทีหรือว่าตีสามสี่สิบสี่นาทีกันล่ะ? และมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในเวลานี้ของวันนั้น?”
ตอนที่ความสนใจของเฉินเกอถูกดึงไปทางนาฬิกา ก็มีบางอย่างเลื้อยออกไปจากใต้เปียโน เสียงลูกบอลกระเด้งกลับมาอีกครั้ง และเมื่อเฉินเกอได้ยิน เสียงนั่นก็ย้ายไปที่ชั้นสอง
“มันหนี? ไม่ มันเหมือนมันพยายามนำทางให้ฉัน”
เฉินเกอกลับไปที่ชั้นสอง เขาไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่ามีบางอย่างหรือบางคนจับจ้องแผ่นหลังเขาอยู่ออกไปได้ เสียงนั่นหายไปเมื่อเฉินเกอไปถึงชั้นสอง แต่น่าแปลก ประตูเปิดทิ้งเอาไว้นั้นเปิดกว้างไม่เท่าก่อนหน้านี้
“มันเข้าไปซ่อนในห้อง?” เฉินเกอผลักประตูเปิดเข้าไปในห้องที่อยู่ในเรื่องเล่าของเจียหมิง แต่ว่า ต่างไปจากที่เจียหมิงอธิบาย หน้าต่างทั้งหมดในห้องนี้นั้นถูกไม้กระดานปิดเอาไว้ ถึงแม้ว่าที่นี่จะสะอาด แต่ว่ามันก็ให้ความรู้สึกน่าขนลุก
เข้าไปในห้อง เฉินเกอรีบตรงไปยังห้องน้ำที่มีพลังหยินรุนแรงที่สุด ผลักประตูเปิดเข้าไป เขากวาดตามองรอบ ๆ คร่าว ๆ ครั้งหนึ่งและจากนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่หน้ากระจก เฉินเกอยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องไปที่เงาสะท้อนของตัวเองในกระจกอยู่นาน
ถ้าคนผู้หนึ่งมองเงาสะท้อนของตัวเองนาน ๆ สมองของพวกเขาก็จะสร้างความทรงจำว่าเงานั่นไม่เหมือนตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ในกรณีรุนแรง อาจจะมีกระทั่งความรู้สึกประหลาดและหวาดกลัวอันอธิบายไม่ได้เกิดขึ้นด้วย
เฉินเกอมองไปที่กระจกอยู่ห้านาทีเต็ม ๆ แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ากระจกมีอะไรผิดปกติหรือไม่ เขาเชื่อว่าหลังจากเงานั่นทำตามจุดประสงค์สำเร็จแล้ว มันก็จากไปทันทีและไม่ได้ทิ้งร่องรอยหรือว่ากับดักอะไรเอาไว้ในกระจก แต่เพื่อความแน่ใจว่าตรวจดูครบถ้วนแล้ว ก่อนกลับออกไป เฉินเกอก็ใช้ดวงตาหยินหยางของเขาและจ้องเข้าไปในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ดวงตาของเขาหรี่ลง เขาก็มองเห็นขาสีเทา ๆ คู่หนึ่ง
มันเป็นเด็กชายที่หัวอยู่แทบจะถึงพื้น เขายืนอยู่หลังประตูห้องน้ำ มองมาทางเฉินเกอ
เฉินเกอหันควับกลับไปแต่กลับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขามองไปที่กระจกอีกครั้ง แต่คราวนี้ ถึงจะใช้ดวงตาหยินหยาง เด็กชายก็ไม่ปรากฏขึ้นในกระจกอีกเลย
“เขาไปไหนกัน?” เฉินเกอเดินออกไปจากห้องน้ำเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
ประตูเข้าไปห้องนั่งเล่นนั้นปิด หน้าต่างถูกไม้กระดานตีปิดเอาไว้ และตอนนี้ประตูก็ปิดลง อากาศในห้องเริ่มอับและหนักขึ้นกดทับลงมาที่เฉินเกอ
“เป็นเด็กชายคนนั้นทำเหรอ?” เขาเดินไปที่ประตูแล้วหมุนลูกบิด เขาพบว่าประตูล็อกเอาไว้ และมันก็ไม่สามารถเปิดออกได้โดยไม่มีกุญแจ ตอนที่เฉินเกอกำลังดูว่าจะทำอย่างไรกับล็อกดีนั้น ก็มีเสียงดังมาจากที่มุมห้องนั่งเล่น จากนั้นก็มีเสียงซ่า ๆ ดังเข้ามาในหูเฉินเกอ
เขาหันกลับไปมอง ในห้องมืด ๆ ทีวีที่เดิมปิดอยู่ก็ถูกเปิด ภาพบิดเบี้ยวสีฟ้าและขาวปรากฏขึ้นบนหน้าจอ และบางครั้งมันก็กะพริบ
“ฉากนี้ก็ปรากฏขึ้นในเรื่องเล่าของเจียหมิงมาก่อนเหมือนกัน” เฉินเกอดูใจเย็น แต่ว่าหัวใจของเขานั้นเต้นรัว ก่อนที่เขาจะทันดูจบ จอทีวีที่กะพริบอยู่ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งลง และรูปร่างหยาบ ๆ ของเงาร่างหนึ่งก็เริ่มปรากฏ
เงาร่างนั้นคล้ายกับกำลังตรงเข้ามาหาเฉินเกอช้า ๆ เดิมที มันมีขนาดเท่ากำปั้น แต่ในที่สุด มันก็ขยายโตเท่าศีรษะ ขณะที่มันเข้ามาใกล้ เฉินเกอก็มองเห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม
มันเป็นเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง และหลังจากจอกะพริบแต่ละครั้ง เงาร่างผู้หญิงก็เข้าใกล้เขามากขึ้น และหัวใจของเฉินเกอก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นมีขนาดเท่ากับคนจริง ๆ และจอทีวีไม่ได้ใหญ่พอที่จะแสดงภาพของเธอได้ เฉินเกอก็เลิกลังเล เขาเอื้อมมือเข้าไปที่ด้านหลังตัวเองแล้วพึมพำสองคำ “ซู่อิน!”
นิ้วของเขาไปถึงที่ด้านหลังตัวเองแต่กลับไม่พบอะไร และหัวใจของเฉินเกอก็กระตุก จู่ ๆ เขาก็นึกได้ว่าเขาได้รับโทรศัพท์จากหลี่เจิ้งเมื่อเช้านี้ให้ไปที่โรงพยาบาลช่วยพวกเขาเรื่องคดี
เพราะเวลากระชั้นและกระเป๋าสะพายหลังของเขานั้นเปียกน้ำจากเสื้อผ้าของเขาที่ดำลงไปในเขื่อน เฉินเกอจึงไม่ได้เอากระเป๋าสะพายมาด้วย เขานึกได้ว่าตั้งแต่ที่เขาไปพบตำรวจ เขาก็ไม่ได้เจอกับอันตรายอะไร
นิ้วของเขาแข็งทื่ออยู่ท่าเดิม และเฉินเกอก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ทีวีอย่างช้า ๆ เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามใบหน้าของเขาขณะที่ดวงตาของเขาขยับช้า ๆ ในที่สุดเขาก็เห็นจอทีวีแล้ว มีเพียงแค่ภาพสีฟ้าและขาวที่ยังอยู่บนจอ– เงาของผู้หญิงนั้นหายไปแล้ว
เฉินเกอถอนหายใจโล่งอก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้หายใจครั้งต่อไป หลังคอเขาก็รู้สึกชายิบเหมือนมีเส้นผมของใครสักคนบังเอิญปัดผ่านผิวของเขา
ดวงตาของเขากระตุกและเฉินเกอก็จำได้ว่าได้ยินส่วนนี้ในเรื่องของเจียหมิงด้วยเหมือนกัน
เขาหันหลังกลับช้า ๆ และจากปลายหางตา เขามองเห็นดวงตาเป็นประกายคู่หนึ่งมองมาที่เขาจากด้านหลัง
ร่างที่ปรากฏในทีวีนั้นบิดเบี้ยวเป็นมุมที่เป็นไปไม่ได้และริมฝีปากของเธอก็แตกระแหง ผู้หญิงคนนั้นที่มีดวงตาหลุดออกจากเบ้ากำลังยืนอยู่ด้านหลังเขา
ใบหน้าของเขากระตุกนิด ๆ และเฉินเกอก็รู้สึกเหมือนอากาศรอบ ๆ ตัวเขาถูกแช่แข็ง เขามองไปยังเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงของเธอแล้วก็ถอยหลังกลับช้า ๆ
เขาเหยียบลงบนอะไรสักอย่างและเฉินเกอก็ล้มไปที่โซฟา เขามองเงาของผีที่กำลังตรงเข้ามาและพูดออกไปตามสัญชาตญาณ “คุณจะเชื่อไหมถ้าผมบอกว่าผมมาที่นี่เพื่อช่วยคุณ?”