My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 611
ผู้หญิงในอุโมงค์และเงาแมงมุม (1+2+3)
เฉินเกอนั้นเตรียมใจเอาไว้แล้วและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่ลืมตาขึ้น ร่างกายของเขาถูกความมืดกลืนกิน และเสียงที่รอบ ๆ หูเขาก็หายไป มันเหมือนว่าเขากำลังเดินช้า ๆ อยู่คนเดียวลึกลงไปในมหาสมุทร แยกออกจากโลกที่คุ้นเคย ด้วยความกลัวในอนาคตที่ไม่รู้ และยังมีความคาดหวังถึงปลายทางสุดท้ายที่แบกเอาไว้ ความรู้สึกมากมายก่อตัวขึ้นในใจ เหมือนหนวดของหมึกยักษ์โอบรัดตัวมันเองเอาไว้รอบ ๆ หัวใจสั่นไหวของเขา
“ฉันเคยรู้สึกถึงการถูกแยกออกอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ในชีวิตจริง คราวนี้ ฉันต้องมองเห็นปลายทางของมันให้ได้” เฉินเกอพึมพำกับตัวเอง ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่ามีใครหรืออะไรกำลังฟังอยู่แต่เพราะเขาพยายามให้กำลังใจตัวเองอยู่
หลังจากนั้นอีกสิบเมตร เฉินเกอก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าภายใต้ปลายนิ้วของเขา ในการเดินรอบนี้ ในที่สุดทางแยกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปในทางแยกอย่างไม่ลังเล
อุณหภูมิรอบตัวเขาลดลง เฉินเกอไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจถูกหรือไม่– เขาไม่เคยถูกเรียกได้ว่าเป็นคนที่ฉลาดเป็นพิเศษ ที่เขาสามารถอยู่รอดมาไกลถึงเพียงนี้ก็เพราะความสามารถในการสังเกตอันเหนือธรรมดาของเขา บุคลิกที่แน่วแน่ และความกล้าที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเล็กเท่านั้น
แตะถูกผนังที่เปียกและลื่น เฉินเกอก็ทำใจให้ว่างเปล่า ไม่ปล่อยให้มันยึดติดอยู่กับสิ่งใด เสียงเดียวที่ก้องอยู่ในหูของเขาก็คือเสียงฝีเท้าของตัวเอง ช้าแต่ว่ามั่นคง เสียงที่เดิมดังเป็นจังหวะถูกขัด มีบางคนหรือบางอย่างกำลังตามหลังเฉินเกออยู่
อย่าหันกลับไปมอง อย่ากระทั่งคิดถึงมัน
ไม่เห็นหมายถึงไม่มี และไม่คิดก็คือไม่มีอยู่ เฉินเกอย้ำคำนี้ในใจ และนั่นยังเป็นวิธีการดึงความสนใจของตัวเองด้วย
เสียงฝีเท้ามากมายเริ่มปรากฏขึ้นในอุโมงค์เงียบ ๆ เหมือนที่วิ่งผ่านอุโมงค์นี้ไปนั้นมีมากกว่าแค่เฉินเกอ เสียงฝีเท้าเดิมทีมาจากด้านหลังของเฉินเกอ แต่ไม่ช้า นอกจากด้านข้างที่เป็นผนังแล้ว ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทุกที่
หัวใจของเฉินเกอคันคะเยอเหมือนถูกแมวเกา เขาอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็ยังควบคุมตัวเองได้มากพอที่จะไม่ปลดผ้าปิดตาบนใบหน้าออก หลังจากผ่านอะไรมามากมาย เฉินเกอก็มีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก ไม่ช้าเขาก็สามารถควบคุมตัวเองได้และคุ้นเคยกับเสียงก้องของฝีเท้ารอบตัวอย่างช้า ๆ เขาให้กำลังใจตัวเองอยู่เงียบ ๆ หลอกตัวเองด้วยความเชื่อว่าเสียงฝีเท้าที่อยู่รอบตัวเขานั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายเขา อย่างน้อยที่สุด จากที่เขาเคยเจอมา มันก็แค่พวกเขาบังเอิญมาอยู่บนเส้นทางเดียวกับที่เฉินเกอกำลังเดินอยู่เท่านั้น
ฉันอยู่บนเส้นทางที่มีเพียงผีใช้งานเหรอ?
หลังจากอีกหลาย ๆ วินาที เฉินเกอก็พบปัญหาอื่น นอกจากเสียงฝีเท้า มีเสียงใหม่ มันฟังเหมือนเสียงล้อรถบดทับไปบนสิ่งของบนถนน
มีรถผ่านไป?
ตอนนี้ น่าจะมีรถยนต์อยู่แค่คันเดียวในอุโมงค์ และนั่นก็คือรถแท็กซี่ที่คนขับแท็กซี่ขับเข้ามา
ใครสตาร์ทรถนั่น? เป็นไปได้ไหมว่าคนขับรถหาทางกลับมาที่รถของตัวเองได้? หรือว่าอันที่จริงเขาเป็นมากกว่าแค่คนขับแท็กซี่ธรรมดา?
คนขับที่พาเฉินเกอมาที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นแค่คนที่เขาบังเอิญพบที่บนถนน ความน่าจะเป็นที่เขาจะเกี่ยวข้องกับอุโมงค์นั้นเป็นการคิดมากเกินไปสักหน่อย ความน่าจะเป็นนั้นน้อยมากจนไม่ต้องสนใจก็ได้
มันไม่น่าใช่คนขับคนนั้น หมายความว่ามีสิ่งอื่นกำลังขับรถอยู่อย่างนั้นเหรอ?
เฉินเกอที่กำลังคิดตรึกตรองนั้นอยู่ตอนนี้มีบางอย่างที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าเกิดขึ้น เขาได้ยินเสียงครางของเครื่องยนต์ดังเข้ามาในหูทั้งสองข้างของเขา มากกว่าแค่คันเดียว มีรถมากกว่าหนึ่งคันแล่นผ่านเขาไป
เกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย?
เมื่อถูกปิดตาเอาไว้ เฉินเกอก็ไม่รู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น– เขาทำได้แค่คิดภาพตามสิ่งที่เขาได้ยิน เสียงฝีเท้ารอบ ๆ ตัวเขาเร่งร้อนขึ้น และพวกมันก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน
มีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าบีบบังคับให้พวกเขาต้องวิ่งหนี? หรือว่าสิ่งนั้นที่ดึงดูดพวกเขาในที่สุดก็ปรากฏตัวออกมา?
เฉินเกอนั้นไม่แน่ใจว่าเขาควรจะตามคนเหล่านั้นไปหรือไม่ เมื่อถูกปิดตาอยู่ มันก็ยากที่จะตัดสินใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจรักษาความเร็วในตอนนี้ของตัวเองเอาไว้ เขาตื่นตัวและระมัดระวังในทุกก้าวและใช้ประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ค่อย ๆ แยกแยะ ‘โลก’ ใหม่นี้
ความลื่นบนผนังหายไปแล้ว และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือผิวแข็ง ๆ เย็น ๆ มันเหมือนจะเรียบลื่นขึ้นเมื่อสัมผัส เหมือนถูกขัดด้วยกระดาษทรายมาก่อน
เฉินเกอนั้นอยากจะปลดผ้าปิดตาออกเพื่อยืนยันข้อสงสัยของตัวเองจะแย่อยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในทางแยก โลกก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ทางแยกนี่นำเขาไปสู่อีกโลกที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เขาเดินต่อไปข้างหน้า และอุโมงค์ก็ดูเหมือนจะพลุกพล่านกว่าที่เคย เขาแทบจะฟังออกว่าคนอื่น ๆ กำลังพูดเรื่องอะไรกัน และยิ่งเดินไปข้างหน้าต่อ เสียงนั่นก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่น่าแปลก ถึงเสียงนั้นจะดังและแหลมสูงแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้นได้ เขาทำได้เพียงจับอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเหล่านั้น– ความกระวนกระวาย ความโกรธ และความกลัวที่แฝงอยู่
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในอุโมงค์ สถานการณ์ที่ด้านนอกนั่นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เสียงฝีเท้า เสียงกรีดร้อง เสียงแตรรถ เสียงล้อรถบดผ่าน และเสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม– มันเหมือนอุโมงค์นี้ยังถูกใช้งานอยู่
ถ้าอุโมงค์ยังไม่ถูกปิด มันก็คงจะมีชีวิตชีวาเช่นนี้แหละ ฉันคิดว่าอย่างนั้น…
เฉินเกอนั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้ ทุกอย่างที่เขาได้เจอน่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวตัวจริง และมันน่าจะกำลังชักนำเขาไปที่นั่นอย่างมีจุดประสงค์
เสียงเอะอะรอบตัวเฉินเกอนั้นดังขึ้น ยิ่งมีเสียงต่าง ๆ เข้ามาในใจเฉินเกอมากขึ้น มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้ยินเสียงตัวเอง สิ่งเดียวที่เขาบอกได้ก็คือเสียงฝีเท้ายังคงเคลื่อนไหวไปยังทิศทางหนึ่ง และหลังจากที่เขาให้ความสนใจมากขึ้น เขาก็พบว่ารถทั้งหมดก็กำลังไปทางนั้นเช่นกัน
ทำไมพวกเขาถึงได้มุ่งหน้าไปทางนั้นกัน?
คำถามนั้นติดอยู่ในใจเขา ขณะที่เฉินเกอกำลังค้นหาคำตอบ อีกเสียงหนึ่งที่แตกต่างออกไปก็ดังเข้ามาในหูซ้ายของเขา เสียงนั่นต่างไปจากเสียงส่วนใหญ่ เฉินเกอถึงกับบอกได้ว่ามันเป็นเสียงของเด็กคนหนึ่ง มันชัดเจนแต่ขาด ๆ หาย ๆ และมันยังเหมือนกับเด็กคนนั้นได้รับบาดเจ็บอยู่
เฉินเกอเดินตาม ‘ฝูงชน’ ไปอีกหลายก้าวและเสียงเด็กก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ เดี๋ยวก่อน…” คราวนี้ เฉินเกอหยุด เขาพบว่ามีบางอย่างประหลาด เสียงเด็กนั้นมาจากด้านหลังเขาทางซ้าย ขณะที่ ‘คน’ ทั้งหมดและรถนั้นมุ่งไปข้างหน้า เจ้าของเสียงกลับยังอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับไปไหน
คนอื่น ๆ อาจจะไม่ได้สังเกตรายละเอียดเล็กน้อยเท่านี้ แต่เฉินเกอนั้นต่างออกไป เพื่อทำลายปริศนานี้ เขาตั้งใจกับทุกรายละเอียด จับสังเกตทุกอย่างที่รอบตัว เขาไม่กล้าพูดเพราะเกรงว่าจะเผยความจริงที่ว่าเขาต่างจาก ‘คน’ รอบ ๆ ตัวเขาออกไป
“ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย ช่วยแม่ผมด้วย…” หลายวินาทีให้หลัง เสียงนั่นกลับมาอีก และมันมาจากจุดเดิมก่อนหน้านี้
นี่แปลก ฉันได้ยินเสียงดังมากมาย แต่เพราะอะไรไม่รู้ ฉันกลับได้ยินเสียงเบา ๆ นี้ชัดเจนที่สุด
เขามองเห็นความสิ้นหวังในเสียงของคนผู้นั้น และความรู้สึกนั้นก็ยากจะอธิบาย มันทำให้ฟางหยวนรู้สึกเหมือนเสียงนั่นเข้าไปดังอยู่ในใจเขา
เขาหันกลับทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายเช่นใดมาจากด้านหลังของตัวเอง เฉินเกอขยับไปทางที่มาของเสียงนั่นตามสัญชาตญาณ เขาก้าวเท้าออกไปทีละนิดเหมือนคนตาบอด เขาค่อย ๆ คลำทางไปอย่างช้า ๆ
ตอนที่เขาเข้าไปใกล้เสียงนั่น จู่ ๆ ก็มีคนแตะมือลงที่บ่าของเขา และจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องร้อนรน เสียงนั่นดัง และมันก็บอกให้เขาเร่งฝีเท้าขึ้น ถ้าเขายังอยู่ เขาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
นี่น่าจะเป็นวิญญาณที่เข้ามาในอุโมงค์พร้อมกับฉัน พวกเขากำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ดังนั้นสิ่งที่ไล่ตามพวกเขามาน่าจะเป็นเจ้าของอุโมงค์นี้!
วิธีการคิดของเฉินเกอนั้นต่างไปจาก ‘คน’ ที่ในอุโมงค์ เขารู้ชัดเจนถึงตัวตนของตัวเอง เขาเป็นเหยื่อ กำลังรอคอยให้เจ้าของอุโมงค์นี้ปรากฏตัวออกมา
มันเป็นการลงมือที่เสี่ยงมาก แต่นี่ก็เป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมาและเรียบง่ายที่สุดในการจัดการกับเรื่องที่เฉินเกอคิดออกตอนนี้ เขามักจะใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการแก้ไขปัญหาของตัวเอง– นี่เป็นวิธีการแบบของเขา
‘คน’ ที่ในอุโมงค์ดูเหมือนจะเข้าใจการกระทำของเขาผิด และเสียงที่รอบตัวเขาก็ชัดเจนขึ้น ‘คน’ เหล่านั้นเตือนให้เขารีบไป บอกเขาว่าถ้าเขายังอยู่ตรงนี้นานไป เขาจะตายจริง ๆ!
เฉินเกอนั้นไม่สนใจการโน้มน้าวของ ‘คน’ รอบตัว และไม่ช้า หูของเขาก็ได้ยินเสียงที่ต่างออกไปอีกเสียง
มันฟังเหมือนเสียงของเหลวหยด
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง
มันอยู่ใกล้เขามาก
เห็นเฉินเกออยากจะอยู่ตรงนี้ ‘คน’ ที่พยายามโน้มน้าวเขาก็ทิ้งเขาเอาไว้ และอุโมงค์ก็เงียบลงอีกครั้ง เสียงฝีเท้า เสียงล้อรถ และเสียงแตรรถหายไปเหมือนอุโมงค์ถูก ‘สังคมและผู้คน’ ทอดทิ้งอีกครั้ง
“ช่วยผมด้วย ช่วยผม ช่วยแม่ของผม…” ตรงที่ใกล้ ๆ กับผนังมีเสียงเด็กร้องออกมาอีกครั้ง เฉินเกอเดินเข้าไปใกล้ ๆ และนั่งลงช้า ๆ ดวงตาของเขายังคงมีผ้าปิดอยู่ และเขาก็ไม่กล้าพูด กลัวว่ามันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้และไม่มีประโยชน์
หลังจากหลายวินาที มือของเฉินเกอ ที่ไม่ได้มีอะไรปกคลุมหรือสวมถุงมือ ก็เอื้อมออกไปตรงที่มาของเสียง ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนของเหลวที่เย็น ๆ และเฉินเกอก็คุ้นเคยกับความรู้สึกนี้
เลือด
เขาคลำไปรอบ ๆ อย่างมืดบอด และในที่สุด ปลายนิ้วทั้งห้าของเขาก็เจอกับแขนผอมบางข้างหนึ่ง
“ผมติดอยู่ตรงกระจก ไปช่วยแม่ของผมก่อนนะครับ เธอติดอยู่ตรงที่นั่งคนขับ!”
เสียงเด็กดังเข้ามาในหูเฉินเกอ เขาไม่ได้ทำตามที่เด็กชายพูดในทันทีแต่กลับนึกถึงเรื่องอื่น เสียงนั่นเดิมดังมาจากทางซ้ายของเขา เฉินเกอแน่ใจเรื่องนั้นมาก ตอนนี้ร่างกายของเขาหันกลับ เสียงนั่นก็ยังคงดังมาจากทางผนัง นี่หมายความว่าเสียงนั้นไม่สมเหตุสมผลเลย
ถ้ามีอะไรติดอยู่ในรถจริง แล้วมันสามารถพูดให้ดังเข้าหูฉันที่อยู่ด้านผนังได้ยังไง? อย่างไรเสียฉันก็เดินเลียบผนังมาตลอด
น่าสนใจ ตอนที่คนขับรถหายตัวไป ครั้งหนึ่งเขาก็พูดว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ที่แก้มซ้ายของเฉินเกอ
นี่มันบังเอิญมาก คนขับรถบอกว่าสิ่งนั้นอยู่ใกล้กับแก้มซ้ายของฉัน และนั่นก็ยังเป็นตำแหน่งที่เสียงของเด็กดังมา ดังนั้น ถ้าคนขับรถไม่ได้โกหก สัตว์ประหลาดที่ทำให้เขาเขากลัวน่าจะเป็น ‘เด็ก’ ที่ฉันกำลังได้ยินเสียงอยู่ตอนนี้
เฉินเกอค่อย ๆ เข้าใจอย่างช้า ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุผลที่คนขับรถหายตัวไปก็น่าจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นตัวจริงของสัตว์ประหลาดและทำลายแผนการของสัตว์ประหลาดไป
“แม่ของผมอยู่ตรงหน้านี่แล้ว คุณช่วยเธอได้ไหม? ได้โปรด?” เสียงนั่นสิ้นหวังและยากที่จะปฏิเสธ
“ได้ ฉันจะช่วยเธอ” เฉินเกอไม่รู้ว่าสิ่งน่ากลัวเช่นใดที่มีเสียงเหมือนเด็กและไร้เดียงสาอย่างนี้ได้ เขาเลือกที่จะทำตามคำขอร้องของสิ่งนั้น ช่วยคนแม่เพราะเขาเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและสมควรต้องทำ มีเด็กคอยชี้นำ เฉินเกอก้มตัวลงและขยับไปข้างหน้าช้า ๆ
เสียงของเหลวหยดนั้นไม่หยุด กลิ่นประหลาดลอยเต็มอากาศ และยิ่งเฉินเกอขยับไปไกลเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เขามองไม่เห็นเพราะมีผ้าปิดตาอยู่ ดังนั้นเฉินเกอจึงทำได้แค่ค่อย ๆ งมทางไปอย่างช้า ๆ
ไม่ช้า มือของเขาก็เจอกับโครงรถ เขาก้มลง และมือของเขาก็แตะถูกเส้นผมของผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเพิ่มแรงจับที่ไหล่ของผู้หญิงคนนั้นและดึงเธอออกจากรถอย่างนุ่มนวล
“พาเธอไปห่าง ๆ! เร็ว! ตอนนี้เลย!” หลังจากเฉินเกอช่วยผู้หญิงคนนั้นออกมาได้ เสียงของเด็กก็เปลี่ยนเป็นสั่นพร่า ไม่เหมือนเด็กทั่วไป เด็กคนนี้ไม่ร้องไห้ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บอยู่ และน้ำเสียงของเขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างที่ไม่มีในเด็กคนอื่น ๆ ที่อายุราวเดียวกัน
เฉินเกอไม่รู้ว่าเด็กวางแผนอะไรไว้ เขาพยุงผู้หญิงคนนั้นเดินไปหลายก้าวก่อนที่จู่ ๆ จะหยุดลง
“ไปสิ! หยุดทำไม? ไป!”
เฉินเกอแบกผู้หญิงคนนั้นขึ้นหลังและหันกลับไปหาเด็กชายโดยไม่สนใจคำสั่งของเด็กคนนั้น เขามองไม่เห็น มือของเฉินเกอแตะไปทั่ว ๆ หน้าต่างรถและเข้าใจสถานการณ์ของเด็กได้คร่าว ๆ ร่างกายส่วนล่างของเขานั้นติดอยู่ในหน้าต่างรถ และกระจกที่แตกออกก็แทงทะลุเข้าไปในท้องของเขา ถ้าเฉินเกอดึงเด็กออกมาด้วยกำลัง มันต้องทำให้การบาดเจ็บนั้นย่ำแย่ลงอย่างแน่นอน เฉินเกอพยายามยกรถขึ้น แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้มีพลังเหนือมนุษย์ให้ทำอย่างนั้นได้
“แค่ทิ้งผมเอาไว้ พาเธอไป!” บางทีอาจจะเพราะความเจ็บหรือบางทีอาจจะเพราะอย่างอื่น แต่ว่าเด็กกรีดร้องสุดเสียง และในที่สุดเฉินเกอก็ได้ยินแววน้ำตาในเสียงของเขา
“ถ้าฉันทิ้งเธอเอาไว้และแม่ของเธอรอดชีวิตไป เธอก็จะอยู่อย่างรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอ” เฉินเกอไม่สามารถห้ามความต้องการพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาไว้ได้ ตอนที่เขาพูดอย่างนั้น รอบด้านจู่ ๆ ก็เงียบลงมาก แต่ไม่ช้า ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ
“ตัวผมติดอยู่ และผมออกไปไม่ได้ คุณไปเถอะ หรือไม่อย่างนั้นทุกคนก็จะตาย!”
หลังจากแน่ใจแล้วว่าคำพูดของเขานั้นไม่ส่งผลต่อโลกนี้ เฉินเกอก็กล้ามากขึ้น “ฉันมีความคิดที่อาจจะช่วยเธอได้ แต่มันจะเจ็บหน่อย และฉันก็รับรองไม่ได้ว่าเธอจะรอดไปได้”
“คือยังไง?” ตราบใดที่มีความเป็นไปได้ คนส่วนใหญ่ย่อมต้องพยายามดู
“กระดูกสะโพกของเธอติดอยู่ในหน้าต่างรถที่ผิดรูป ฉันจะพยายามดึงเธอออกมา แต่ทำอย่างนั้น ร่างกายส่วนล่างของเธอน่าจะพิการแน่นอน และบาดแผลบนร่างของเธอก็อาจจะเลวร้ายลง” นั่นเป็นสถานการณ์ที่เฉินเกอประเมินจากการใช้มือคลำ และมันก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เห็นว่าความจริงแล้วมันเลวร้ายแค่ไหนเขาจึงกล้าเสนอความคิดเสี่ยง ๆ นี้ “เหมือนที่เธอพูด อยู่ที่นี่จะตายกันหมด แต่ถ้าทำอย่างนี้ก็เป็นโอกาสให้รอดชีวิตได้อยู่”
“แต่ว่าถ้าผมตายไประหว่างที่ดึงตัวผมออกไปล่ะ คุณก็จะกลายเป็นฆาตกรที่พรากชีวิตผมนะ?” เด็กชายจู่ ๆ ก็ถามออกมา
ถ้านี่เป็นชีวิตจริง บางทีเฉินเกออาจจะลังเล แต่ในสถานที่ประหลาดเช่นนี้ เขาไม่ตระหนกเลยสักนิด “หากมันเพิ่มโอกาสที่เธอจะรอดชีวิตได้แม้แค่เปอร์เซ็นต์เดียว ฉันก็ไม่ห่วงเรื่องที่จะถูกโลกนี้เข้าใจผิด”
เขาโน้มตัวลงกับพื้นแล้ววางเท้ายันกับหน้าต่างรถที่บู้บี้ขณะโอบร่างกายท่อนบนของเด็กชายเอาไว้ด้วยสองมือ “มันจะเจ็บ แต่ถ้าพวกเรารอดชีวิตไปจากเรื่องนี้ได้ อย่างนั้นก็มีชีวิตใหม่รอเราอยู่”
เขาเริ่มออกแรง และร่างกายของเด็กชายก็ถูกดึงออกมาช้า ๆ เสียงกระดูกแตกนั้นหลอนอยู่ในหูเฉินเกอ นอกจากนั้นแล้ว ผิวหนังของเด็กชายยังฉีกออก เลือดไหลออกมา แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดเฉินเกอจากการพยายามช่วยชีวิตต่อ
เขาใช้แรงทั้งหมดและในที่สุดก็ดึงเด็กชายออกมาจากหน้าต่างรถที่พังยับได้
“ดี พวกเราทำได้แล้ว! เธอเป็นอย่างไรบ้าง?” ไม่มีใครตอบเฉินเกอ และอุโมงค์จู่ ๆ ก็กลายเป็นรกร้างกว่าเดิม เฉินเกอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขากำลังรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง– บางทีสัตว์ประหลาดที่ด้านหลังคงไล่ตามพวกเขาทันแล้ว
กระทั่งในเวลาอย่างนี้ เฉินเกอยังไม่ลืมผู้หญิงที่บนพื้นและเด็กชายที่ข้างตัว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่มีใครเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์
“บางอย่างกำลังมาแล้ว ระวังด้วย” เฉินเกอเหวี่ยงผู้หญิงคนนั้นขึ้นหลังแล้วอุ้มเด็กชายขึ้นจากพื้น แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เด็กชายในอ้อมแขนของเขานั้นหนักกว่าผู้หญิงที่บนหลังเขา– ทั้งสองคนนั้นไม่ได้หนักเท่า ๆ กันด้วยซ้ำ
แต่ว่า มันไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องพวกนี้ และเขาก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ ไปข้างหน้า เฉินเกอมองไม่เห็นถนน และไม่นานเขาก็สะดุดแล้วล้มลง เขาไม่ได้พูดหรือว่าสบถเลยสักคำ เขารีบลุกขึ้น อุ้มเด็กและผู้หญิงคนนั้น แล้ววิ่งต่อ
เขาสะดุดและล้ม ได้รับแผลถลอกหลายจุดเมื่อกระแทกเข้ากับผนังและพื้น หลังจากหกคะเมนไปกี่ครั้งก็ไม่รู้ ตอนที่เฉินเกอลุกขึ้นและจะอุ้มเด็กชายขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีเสียงอื่นดังขึ้น
“นี่คุณโง่หรือเปล่าเนี่ย?” เสียงนั่นคล้ายกับเสียงเด็กที่เขาเคยได้ยิน แต่ว่ามันไม่เจ็บปวดแล้ว แต่กลับมีความเย็นชาและความอาฆาตแค้นอย่างประหลาด เฉินเกอไม่ตอบ เขาต้องการไปต่อและอุ้มเด็กชายขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าเขากลับคว้าได้แต่อากาศ
“บนโลกนี้ก็มีคนแบบนี้อยู่ด้วยสินะ” เสียงนั่นดังต่อ แต่คราวนี้ มันดังมาจากด้านบนเฉินเกอ เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าควรทำอะไรแล้ว มีคนแตะบ่าเขาเบา ๆ และแขนที่เย็นเฉียบเสียดกระดูกคู่หนึ่งก็โอบรอบคอเขาและคลายผ้าปิดตาออก
เฉินเกอลืมตา หันกลับไปมองและพบว่าผู้หญิงที่ในอุโมงค์ยืนอยู่ด้านหลังเขา แต่ต่างไปจากครั้งก่อน เธอน่ารักขึ้นกว่าเดิม– อย่างน้อยที่สุด กะโหลกของเธอก็ไม่ได้แตก และองคาพยพบนใบหน้าของเธอก็อยู่ในที่ที่มันควรอยู่
“คุณเองเหรอ?” เฉินเกอยิ้มออกมาแล้วกำลังจะพูดบางอย่างตอนที่เขาตกอยู่ภายใต้เงาของแมงมุมตัวใหญ่ มองขึ้นไปแล้วรอยยิ้มของเฉินเกอก็แข็งทื่ออยู่บนหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะพบผีมามากมาย แต่ตอนนี้เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ถึงความกลัวขดรอบตัวใจของเขา
ที่เหนือตัวเฉินเกอนั้นเป็นแมงมุมสีแดงตัวหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยวิญญาณและผีร้ายมากมายนับไม่ถ้วนห้อยหัวอยู่ สีแดงบนตัวแมงมุมนั้นสดกว่าสีแดงบนชุดของผู้หญิงเสียอีก มันเหมือนกับว่าเลือดกำลังไหวเวียนไปทั่วร่างของมัน และมันก็หยดลงมาช้า ๆ
“ทำไมคุณถึงหยุดพูดล่ะ?” เสียงดังมาจากหัวของแมงมุม จากเสียงนั้น เฉินเกอถึงได้เห็นว่าหัวของแมงมุมนั้นถูกแทนที่ด้วยหัวของเด็กชายคนหนึ่ง เขามีเพียงร่างกายท่อนบนเหลืออยู่ และร่างกายท่องล่างของเขานั้นติดอยู่กับแมงมุมยักษ์ ขาของเขานั้นเกาะอยู่กับผนัง เด็กชายห้อยโหนอยู่บนเพดาน มองมาที่เฉินเกอด้วยสายตาดุร้ายและเกลียดชัง
“เดี๋ยวก่อนนะ งั้นที่ฉันอุ้มอยู่ก่อนหน้านี้ก็คือเธอ?” ประโยคแรกจากปากเฉินเกอกระแทกเข้าใส่เด็กชาย อันที่จริง เขาเองก็ไม่คิดว่าเฉินเกอจะเลือกแบกเขาวิ่งหนี ทั้งผีทั้งคนต่างรู้สึกไม่ดีนักหลังจากปริศนาถูกเฉลย
“เอาเถอะ มันก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจทีเดียว” เฉินเกอพยายามหาข้ออ้างให้กับพฤติกรรมของตัวเอง เขาไม่รอให้เด็กชายตอบ เขารีบเปลี่ยนเรื่อง “อันที่จริงฉันมาที่นี่ก็เพื่อคุยบางอย่างกับแม่ของเธอ ฉันไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันรู้ว่าหัวใจของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและฉันก็ไม่ได้คิดจะบอกให้เธอปล่อยมันไป แต่ฉันแค่อยากจะบอกว่าถ้าเธอมีความฝันใด ฉันสามารถช่วยเธอเติมเต็มมันได้ ต่อให้มันเป็นแก้แค้นก็ตาม”
สิ่งที่เฉินเกอพูดนั้นต่างไปจากที่เด็กชายคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง เขาไม่คิดว่าจะมีใครสามารถพูดอะไรอย่างนี้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรดีจึงเลือกที่จะเงียบ
“ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร แต่เธอบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าทำไมอุโมงค์ถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้?” เฉินเกอถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจเขา อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวหยุดได้กระทั่งเงานั่น ดังนั้นน่าจะมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ที่นี่
เด็กชายอ้าปาก แต่บางทีเขาอาจจะคิดว่าไม่ควรเปิดเผยอดีตของตนโดยง่าย ดังนั้นจึงปิดปากลงไปอีกครั้ง แต่ว่า ด้วยการโน้มน้าวจากผู้หญิงและความจริงที่ว่าเขาไม่มีอะไรจะเสีย เด็กชายจึงอธิบายให้เฉินเกอฟังคร่าว ๆ เรื่องที่ผ่านมา
เขาเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น และหลังจากที่แม่ของเขาหย่ากับพ่อของเขาหลายปีก่อน เธอก็ขับรถพาลูกของเธอกลับไปยังบ้านแม่ ตอนที่พวกเขาผ่านอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว พวกเขาประสบอุบัติเหตุทางรถ อันที่จริงเป็นเหตุการณ์รถชนครั้งใหญ่ และมีรถคันหนึ่งน้ำมันรั่ว
มันไม่ชัดนักว่ารถคันไหนเริ่มเกิดไฟไหม้ก่อน แต่ไฟลามไปยังรถที่น้ำมันรั่ว คนที่ในอุโมงค์เริ่มวิ่งหนี ตอนนั้น เด็กชายติดอยู่ที่หน้าต่างรถ และผู้หญิงก็ได้รับบาดเจ็บ เธอคลานออกจากซากรถได้ แต่เธอก็อ่อนแรงเกินกว่าจะช่วยลูกของเธอได้เมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากคนอื่น
เธอร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบ ๆ วิ่งตามรถที่ผ่านไปมาขอให้พวกเขาหยุดรถ ถ้ามีใครสักคนยินดีช่วยเธอ พวกเขาก็น่าจะช่วยเด็กชายเอาไว้ได้ แต่ว่า ภายใต้สภาพที่ชีวิตของพวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตรายไปด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครยินดีช่วยเหลือ
สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงที่สามารถหนีออกไปได้ก็ไม่ได้จากไป แต่เลือกที่จะกลับอยู่ข้าง ๆ ลูกของเธอ ปลอบเขา อยู่กับเขาจนไฟลามมาถึงรถที่น้ำมันรั่ว
ตั้งแต่นั้นมา ความสงบสุขก็หายไปจากอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว
คนขับรถหลายคนเห็นผู้หญิงในชุดสีแดงยืนอยู่ในอุโมงค์โบกให้เขาหยุดรถ บางคนมองเห็นสัตว์ประหลาดปะติดปะต่อสิ่งต่าง ๆ เข้ากับร่างกายของมัน…