My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 658
คำถามของชายขี้เมาทำให้ชายมีรอยสักงุนงง เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมปิศาจดึงวิญญาณถึงไม่ลอกเลียนแบบเงาของเฉินเกอ– นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาแอบมองเฉินเกอ คำถามติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่เขากลัวเกินกว่าจะถามออกไป ในที่สุดเขาก็หัวเราะกระอักกระอ่วนและเปลี่ยนเรื่อง “แค่พยายามอย่ามองพวกมันนานเกินไป ปิศาจดึงวิญญาณน้อยนักที่จะปรากฏตัวออกมาเยอะ ๆ และพอพวกมันทำแบบนั้น ก็หมายความว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้น”
ตอนที่พวกเขาสองคนคุยกัน เฉินเกอไม่ได้ขัด เขาหรี่ตาลงช้า ๆ ขณะมองไปยังเงาหลายเงาที่ฝั่งตรงข้ามถนน ถ้าฉันจับเงาพวกนี้ทั้งหมดเอาไว้แล้วให้พวกมันอยู่ในบ้านผีสิงของฉัน ฉันก็จะสามารถสร้างฉากที่พิเศษเฉพาะขึ้นมาได้? ให้ผู้เข้าชมได้เห็นตัวเองในฉากและใช้พลังของเงาพวกนี้ทำให้พวกเขาสับสน ถ้าฉันสามารถใช้งานพวกเขาได้ ยิ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ ผลของความสยองขวัญจากความจริงและความปลอมก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น และไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นเป็นผีหรือว่าเพื่อนร่วมทีมของตัวเอง
ชายมีรอยสักดูกังวล และเขาก็เอาแต่กระตุ้นให้เฉินเกอออกเดิน “มันจะดีกว่าถ้าพวกเรารีบไป สิ่งนี้นั้นสลัดทิ้งยากและฆ่ายาก ก่อนที่พวกมันจะทำอะไร พวกเรารีบไปจะดีกว่า”
“รีบอะไรกัน? ความสามารถของพวกมันนั้นเหมาะสมที่จะสั่งสอนอย่างช้า ๆ ฉันจะสอนให้พวกมันกลายเป็นคนดีที่รู้จักมีส่วนรับผิดชอบกับสังคม ฉันจะช่วยพวกมันค้นหาคุณค่าของการดำรงอยู่และให้เข้าใจถึงความสุขที่ตนเองควรได้รับและกลายเป็นผู้ที่คนอื่นนับถือ”
คนอื่นล้วนไม่รู้ว่าทำไมปิศาจดูดวิญญาณถึงไม่กล้าลอกเลียนแบบเฉินเกอ แต่เขานั้นรู้เหตุผลเป็นอย่างดี จางหยานั้นซ่อนอยู่ในเงาของเขา แทนที่จะพูดว่าปิศาจดูดวิญญาณพวกนั้นหวาดกลัวเฉินเกอ ควรจะบอกว่าพวกมันกลัวที่จะล่วงเกินจางหยามากกว่า
“ฟังคำแนะนำของผมเถอะนะ มันไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ที่นี่– ไม่มีความจำเป็นที่พวกเราต้องยุ่งกับพวกมัน พวกมันก็แค่ลิ่วล้อที่เงานั่นใช้ถ่วงพวกเราให้ช้าลง อันตรายแท้จริงจะตามมาหลังจากนี้ ยิ่งพวกเราอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ พวกเราก็เท่ากับว่าให้เวลาเงานั่นวางกับดักมากเท่านั้น คุณเข้าใจหรือเปล่า?” ชายมีรอยสักเริ่มรู้สึกเสียใจที่ร่วมมือกับฟางหยวนมากขึ้นทุกวินาที ผู้ชายคนนี้ฉลาด หัวไว และมีความพยายาม แต่ตอนนี้ เขากลับกลายเป็นเหี้ยมโหด ไร้เหตุผล และป่าเถื่อนไปได้
เขาไม่เคยปฏิบัติตามจริยธรรมที่ผูกมัดคนทั่วไปเอาไว้ เขามีวิถีทางของตนเองในการทำสิ่งต่าง ๆ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ดูเหมือนจะควบคุมการกระทำของตนเองไม่ได้ เขาหลงใหลและรักในความตื่นเต้น ในดีเอ็นเอของเขานั้นราวกับมีพันธุกรรมของความโหดร้ายฝังอยู่
ชายมีรอยสักนั้นเคยดูหนังฆาตกรบ้าคลั่งหลายเรื่อง และในฐานะผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่ง เขารู้ว่าในภาพยนตร์เหล่านั้นล้วนเกินความเป็นจริง คนร้ายที่โหดเหี้ยมส่วนใหญ่นั้นไม่เคยแสดงความบ้าคลั่งในที่สาธารณะ
ฆาตกรบ้าคลั่งที่แท้จริงนั้นเป็นคนอย่างเฉินเกอ ตอนที่เดินสวนกันบนถนน คุณจะไม่เคยรู้และไม่เคยมองเห็นความไม่ปกติในจิตใจของเขา พวกเขาไม่สามารถควบคุมความก้าวร้าวของตนเอาไว้ได้ตั้งแต่เกิดมาและน้อยครั้งที่จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือว่าสำนึกผิดกับการกระทำรุนแรงที่พวกเขาได้ลงมือไป นี่เป็นสิ่งที่มีร่วมกันในเหล่าคนร้ายที่ป่วยทางจิตส่วนใหญ่ บังเอิญว่าชายมีรอยสักก็พบความคล้ายคลึงกันนี้ในตัวเฉินเกอ และที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่ตระหนักเลยว่าตนเองนั้นอันตรายเพียงใด
ชายมีรอยสักไม่เคยสบตากับเฉินเกอมาก่อนเลยสักครั้ง และเขาก็ไม่ได้ผิดปกติอะไรในเรื่องนั้น– เขาก็แค่ไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของเฉินเกอ เขาเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ย้ายเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นเขาจึงเคยพบเจอเงานั่นมาหลายครั้งแล้ว บางทีมันอาจจะเป็นจินตนาการของเขาเองก็ได้ แต่เขาเอาแต่รู้สึกว่าความรู้สึกที่เขาได้รับจากเงานั่นเหมือนกับตอนที่เขาพูดคุยกับเฉินเกอ
“คุณพูดถูก มันไม่ใช่เวลา พวกเราต้องหาประตูที่หลุดจากการควบคุมบานนั้นก่อน” เฉินเกอนำทั้งกลุ่มตรงไปยังบ้านของฟ่านฉง
หลายนาทีให้หลัง หลังจากพวกเขาผ่านแยกอื่นอีกแยกหนึ่ง เสียงของหลี่เจิ้งก็ดังมาจากด้านหลังกลุ่ม ”รอก่อน! มีคนหายไป”
หลี่เจิ้งนั้นเป็นตัวตนที่พิเศษที่สุดในกลุ่มนี้ ดังนั้นทุกคนจึงตัวแข็งอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงเขา
“ใครหายไป?” ชายมีรอยสักหันกลับไปมองและพบว่าผู้หญิงที่ลากกล่องใบใหญ่อยู่ก่อนหน้านี้หายตัวไปในหมอกสีเลือด “เธอหนีไปแล้ว?”
“ไม่จำเป็นต้องตามหาเธอ เธอจะไม่กลับมาหาพวเราหรอก” เป้ยเยี่ยพูดเบา ๆ เขาชี้ไปที่อีกฟากของทางแยก “เธออยู่ตรงนั้น”
มองตามปลายนิ้วของเด็กนักเรียนไปแล้ว พวกเขาก็เห็นผู้หญิงคนนั้น กล่องที่เธอลากอยู่นั้นหายไป และร่างของเธอก็เหลือแค่เพียงครึ่งเดียว มีร่องรอยฝีเข็มเย็บอยู่บนร่างของเธอ และผิวหนังทั้งหมดที่เหลืออยู่ของเธอนั้นก็ดูปกติ มันเหมือนเธอมีนิสัยกรีดผิวตัวเองที่เปลี่ยนเป็นสีเทาทิ้งและแทนที่มันด้วยผิวปกติของเหยื่อของเธอ
“เธอออกจากกลุ่มไปตั้งแต่เมื่อไหร่? เธอเตรียมหนีอยู่ก่อนแล้ว?” เพื่อรักษาขวัญและกำลังใจของพวกเขา ชายมีรอยสักจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหันไปยืนยันสถานการณ์ของเธอ
“ผมไม่รู้ ผมไม่ได้สนใจเธอมากนัก เธออยู่ด้านหลักกลุ่มและมันก็เหมือนกับว่ามีบางอย่างลากเธอไป” เด็กนักเรียนสะพายกระเป๋านักเรียนเอาไว้ ในมือมีมีดพก ตั้งแต่เฉินเกอเปิดเผยตัวตนของเขาออกไป เขาก็ถอดแว่นออกแล้วก็เลิกเสแสร้ง
“พวกเราถูกบางอย่างในหมอกเลือดเพ่งเล็ง พวกเราต้องอยู่ด้วยกันเข้าไว้ โดยเฉพาะคนที่ด้านหลัง” เฉินเกอนั้นไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นและเป้ยเยี่ย แต่เขาก็เป็นห่วงหลี่เจิ้ง อย่างไรเสีย นักสืบคนนี้ก็เคยช่วยเขามาหลายครั้ง
“เป็นไปได้ไหมว่าคนร้ายจะเป็นผู้หญิงที่สวมเสื้อกันฝนสีแดง?” เจียหมิงกระซิบเบา ๆ “ตอนที่พวกเราออกจากโรงแรมผมเห็นกับตาว่าเธอเดินอยู่ด้านหลังพวกเรา แต่ตอนที่พวกเรามาถึงทางแยกแรก เธอก็หายตัวไป ผมว่านี่น่าสงสัยมาก”
เฉินเกอรู้ว่าคนร้ายนั้นไม่ใช่ผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดง แต่เขาก็ไม่ต้องการเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบคำถาม และเพียงแค่เร่งให้ทุกคนเร่งฝีเท้าขึ้น หมอกเลือดรอบตัวพวกเขานั้นหนาหนักราวกับเมืองเล็ก ๆ น่าหวาดกลัวนี้กำลังตื่นขึ้น ดวงตาสีแดงเลือดที่ซ่อนอยู่ในหมอกเลือดนั้นตามพวกเขามาอย่างมุ่งร้าย
พวกเขาก้าวยาว ๆ ไปตามถนนอยู่ยี่สิบนาทีก่อนที่จะไปถึงเขตที่พักอาศัยที่ฟ่านฉงอาศัยอยู่ หมอกเลือดที่ที่นั้นหนากว่าที่อื่น ๆ ในเมืองเล็ก ๆ นี่ แม้จะยืนอยู่ห่างไปไม่กี่เมตร พวกเขาก็บอกรูปร่างของตึกได้คร่าว ๆ เท่านั้น
“มันราบรื่นกว่าที่ผมคาดเอาไว้– ทางออกอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว!” ชายมีรอยสักนั้นพูดรัว ๆ อย่างตื่นเต้น
“ใจเย็น ยิ่งพวกเราใกล้ทางออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น” ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงปลายทาง เฉินเกอนั้นดูประหลาดใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังบ้านของฟ่านฉง แต่ว่าหมอกนั้นหนาเกินกว่าที่เขาจะมองทะลุไปได้แม้จะใช้ดวงตาหยินหยาง
ทั้งฟ่านฉงและฟ่านต้าเตอล้วนหายตัวไป และน่าจะเกิดบางอย่างขึ้นกับคอมพิวเตอร์ที่มีเกมของเสี่ยวปู้อยู่ด้วยเหมือนกัน เดาได้ว่าเงานั่นน่าจะวางกับดักไว้ที่นั่น ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรต่อไป ฉันต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ
“เร็ว! ดูนั่นสิ! มีข้อความเลือดอยู่ตรงนั้น! มีคนรู้ว่าพวกเราจะมาที่นี่!” ชายขี้เมาหยุดที่ทางเข้าเขตที่พักอาศัย บนประตูทางเข้านั้นมีประโยคที่เขียนด้วยเลือดประโยคหนึ่ง “ฉันคือหนึ่งในพวกแก?”
เลือดยังไม่แห้ง และมันก็ไหลเยิ้มลงมาตามประตูเหล็ก