My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 670
“พวกคุณสองคนควรจะอยู่ที่นี่ ถ้ามีใครตกลงมาจากด้านบน ช่วยจับเขาเอาไว้” เฉินเกอวางกระเป๋าที่มีเจ้าแมวขาวเอาไว้บนพื้น และเขาก็วิ่งขึ้นบันไดไปพร้อมค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลก
“ระวังตัวด้วย!” ไม่ว่าชายขี้เมาจะร้องดังแค่ไหน เฉินเกอก็ไม่ชะงัก การช่วยเหลือคนนั้นเป็นเรื่องของความสะดวก เป็นทางผ่านเท่านั้น ตั้งแต่ที่เฉินเกอก้าวเท้าเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน เป้าหมายแท้จริงของเขาก็คือเงานั่น ตัวตนที่ลึกลับและยังมีรายละเอียดมากมายเชื่อมโยงกับตัวเขาเอง มีเพียงแค่จับเงานั่นได้ที่เฉินเกอจะปล่อยให้ตัวเองสบายใจขึ้นได้
“ฉันต้องเค้นข้อมูลเกี่ยวกับพ่อแม่ของฉันจากเงานั่นได้เยอะแน่ ๆ” ก่อนที่จะเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน เขาก็ได้คิดถึงช่วงเวลานี้ไว้แล้ว แต่ว่า แผนการเดิมของเขานั้นคือการให้ชายหน้ายิ้มและรองเท้าส้นสูงสีแดงช่วยเขาดูลาดเลาข้างหน้า โชคร้าย การปรากฏตัวของคุณหมอเกานั้นทำให้แผนการของเขานั้นยุ่งเหยิงไปหมด
“แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังนับเป็นข้อได้เปรียบของฉันอยู่” ที่นอกตึก คุณหมอเกานั้นถูกซู่อินล่อไปและนี่ก็เปิดโอกาสอันหายากให้เฉินเกอ
“ปิศาจนั่นกำลังรอคุณอยู่ที่ด้านบนนี่ อย่าขึ้นมา!” คราวนี้เป็นมือกรรไกรพูดขึ้น สภาพของเขานั้นไม่ดีนัก จุดเลือดจาง ๆ ปรากฏอยู่บนตัวเขาราวกับหลอดเลือดฝอยใต้ผิวของเขาทั้งหมดแตกออกพร้อม ๆ กัน
“เขากำลังรอฉันอยู่ ฉันเองก็ตามหาเขาอยู่เหมือนกัน!” เฉินเกอวิ่งเร็วขึ้น ที่ด้านหลังเขา เจ้าแมวขาวคลานออกจากกระเป๋า มันตามหลังเฉินเกอมาติด ๆ การเคลื่อนไหวของมันนั้นคล่องแคล่ว เด็กที่ชั้นเจ็ดนั้นกำลังใช้กลุ่มของมือกรรไกรเป็นเหยื่อล่อเฉินเกอให้รุดขึ้นมาอย่างชัดเจน พวกเขาได้รับคำสั่งเข้มงวดมา เมื่อเฉินเกอปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ปล่อยตัวคนที่จับมาและหนีไปทันที
“ส่งมือให้ฉัน!” เฉินเกอลากมือกรรไกรกับชายขี้เมาไปยังที่ปลอดภัย ไม่มีเชือกหรืออะไรแบบนั้นที่รอบตัวพวกเขา แต่จากกริยาของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับความเจ็บปวดจากปฏิกริยาตอบสนองต่อบางอย่าง ร่างกายของพวกเขานั้นถูกความเจ็บปวดทำลาย และแค่ยืนขึ้นก็ยังเป็นเรื่องยาก
“คุณเดินเองไหวไหม?” จากนั้นเฉินเกอก็ลากหมอไปที่ด้านข้าง พิษของคุณหมอยังไม่ได้รับการรักษา
“ทิ้งพวกเราไว้ เหตุผลที่เงานั่นไม่ฆ่าพวกเราก็เพราะว่าเขาวางแผนจะใช้พวกเราถ่วงคุณเอาไว้ เจ้านั่นจะไม่หยุดหากยังทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จ” หมอพึมพำอ่อนแรง
“ในเมื่อคุณยังพูดจบประโยคได้ ดูเหมือนว่าคุณจะค่อย ๆ ดีขึ้นแล้ว” เฉินเกอกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาที่บ้านของฟ่านฉง แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแตะหลังคอเขา พอหันกลับไปมอง หัวของชายมีรอยสักกลับกลิ้งลงมาจากชั้นที่แปด ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาของเขาถลนออกมา รอยสักกะโหลกศีรษะคนที่บนแขนของเขานั้นถูกดึงออกจากผิวของเขาอย่างเหี้ยมโหด เด็กสีหน้าไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกหลายคนยืนอยู่รอบตัวเขา พวกเขาถือแปรงระบายสีเอาไว้ในมือและกำลังใช้เลือดของชายมีรอยสักวาดรูป
“ผู้ชายคนนี้ตายแล้ว?” เด็กพวกนี้นั้นไร้ความรู้สึกและไร้อารมณ์ยิ่งกว่าที่ชั้นล่าง ๆ วิธีการที่พวกเขาปฏิบัติกับคนเป็นเหมือน ‘ของเล่น’ นั้นทำให้เฉินเกอเย็นวาบไปตามสันหลัง
“ชายมีรอยสักตายแล้ว ถ้าพวกเรายิ่งขึ้นไปชั้นบน ๆ ก็จะยิ่งมีจุดจบที่เลวร้าย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเหมินหนานและเหล่าโจวแล้ว?” เฉินเกอเป็นห่วง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่าพนักงานที่มักจะอยู่กับเขาเสมอนั้นมีความสำคัญเพียงใด โดยที่ไม่ทันรู้ตัว เขาก็ได้รับคนเหล่านี้มาเป็นครอบครัวและเพื่อนสนิทไปแล้ว
ศพของชายมีรอยสักถูกเด็ก ๆ ผลักลงบันไดไป มันหล่นลงไปต่อหน้าต่อตาเฉินเกอ ชีวิตอันแสนมีค่าจบลงทั้งอย่างนี้– นี่เป็นธรรมชาติของโลกที่ด้านหลังประตู ในโลกแห่งฝันร้ายที่ถักทอขึ้นจากความสิ้นหวังและความเจ็บปวด ชีวิตและความหวังนั้นเป็นสิ่งที่บอบบางที่สุด
หลังจากศพของชายมีรอยสักกระแทกกับพื้นดังตุบ เด็ก ๆ ก็กระจายตัวออกไปเหมือนทำภารกิจสำเร็จแล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในช่องบันไดก็คือภาพวาดที่วาดขึ้นด้วยเลือดของชายมีรอยสัก
หลังจากเด็ก ๆ จากไป เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ก็ดังมาจากชั้นที่สิบ ใบหน้าของเด็ก ๆ ที่ด้านบนนั้นไม่มีความโง่ทึบ ใบหน้าของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส แต่สิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นทำให้เฉินเกอกัดฟัน
เด็ก ๆ หลายคนกำลังจับผีโทรศัพท์ ถงถง เอาไว้ ร่างของเขานั้นถูกดึงจากหลายทิศทางจนร่างเริ่มผิดรูป โทรศัพท์ที่แสนสำคัญของเขานั้นถูกเอาไปไกล ๆ และเด็ก ๆ ก็ลบข้อความที่แม่ของถงถงส่งให้เขาทีละประโยคต่อหน้าต่อตาเด็กชาย
เด็ก ๆ เหล่านี้นั้นเป็นยิ่งกว่าสัตว์ที่ถูกเงานั่นเลี้ยงดูมาและไม่สามารถเรียกเป็นเด็กได้อีกต่อไป พวกเขาถูกสอนให้เกลียดชังสิ่งดีงามทั้งหมดบนโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมองความรักเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก เฉินเกอมีความรู้สึกว่าเงานั่นฝึกเด็กพวกนี้เหมือนเป็นลูกศิษย์ของมัน เปลี่ยนพวกเด็ก ๆ ไปเป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่มันเป็น
พนักงานทุกคนที่บ้านผีสิงนั้นมีเรื่องราวของตนเอง และเรื่องราวของถงถงนั้นก็ทำให้เฉินเกออ่อนไหวที่สุด เหตุผลที่เขาโอบอุ้มเด็กคนนั้นไว้ใต้ปีกของตัวเองไม่ใช่แค่เพราะพลังของเขาแต่ยังเพราะสัญญาที่เขาให้ไว้กับแม่ของถงถง ถงถงไม่ได้ขัดขืนหรือร้องไห้ เขาเคยชินกับทั้งหมดนี้แล้ว เขาเคยประสบกับบางอย่างที่คล้ายกันนี้ทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และตอนที่ยังทำงานให้กับฮั่นเป่าเอ๋อร์ของสมาคมเล่าเรื่องผี แต่ว่า ยิ่งเขามีท่าทีเช่นนี้ เฉินเกอก็ยิ่งเจ็บปวดใจ
เด็ก ๆ รู้ว่าถงถงนั้นดึงดูดความสนใจของเฉินเกอได้แล้ว พวกเขาแบกถงถงขึ้นบันไดไปชั้นสูงขึ้นไปอีก เห็นได้ชัดเจนว่าพยายามล่อเฉินเกอให้ตามพวกเขาไป
“เฉินเกอ! อย่าตามพวกเขาไป!” หลี่เจิ้งลากเจียหมิงขึ้นบันไดมาห้ามเฉินเกอไว้ “พวกเรามีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่กับพวกเราแล้ว พวกเราต้องพาพวกเขาออกไปจากที่นี่ ตอนที่ฉันเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน ฉันติดต่อเจ้าหน้าที่คนอื่นที่สถานีเอาไว้ กำลังเสริมจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า”
“ไม่มีกำลังเสริม ผมต้องการให้คุณกับเจียหมิงช่วยผมแบกคนพวกนั้นลงบันไดไป พยายามย้ายพวกเขาไปให้ไกลจากที่นี่เท่าที่ทำได้” เฉินเกอขมวดคิ้วนิด ๆ เขาพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนไปทีละหน้าแต่ไม่เจออะไรที่จะไม่กระตุ้นความสนใจของหลี่เจิ้งกับเจียหมิงเลย เขาทำทั้งหมดนี้ด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที
“คุณจะไม่ออกไปกับพวกเราเหรอ? คุณกำลังจะทำอะไร?” หลี่เจิ้งพยายามหยุดเฉินเกอเอาไว้สุดความสามารถ
“ผมไม่เก่งเรื่องสอนเด็ก ดังนั้นผมจึงได้แต่นับเด็ก ๆ ที่รังแกคนอื่นนั้นเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง และถ้าพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ เรื่องก็ง่ายขึ้น” เฉินเกอยกค้อนขึ้นขณะพึมพำชื่อหนึ่ง ในช่องบันไดแคบ ๆ กลิ่นเลือดหนาหนักอวลตลบ มือบิดเบี้ยวข้างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ข้างกายเฉินเกอก่อนที่จะแตะลงบนไหล่ของเขาช้า ๆ
“จับพวกเขาทุกคน พาพวกเขากลับไปกับพวกเราให้พวกเราได้สั่งสอนบทเรียนที่ถูกต้องให้พวกเขา”
ศีรษะที่ห้อยหลวม ๆ อยู่บนไหล่เงยขึ้นช้า ๆ ด้วยตัวเอง ร่างกายที่เสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ค่อย ๆ ดีขึ้นขณะที่เธอเงยหน้าขึ้น วิญญาณสีเลือดจากอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นถูกเรียกออกมา เธอดูเหมือนจะมีธรรมชาติที่หวาดระแวงโลกที่ด้านนอกอุโมงค์ พอหมอกเลือดบาง ๆ เข้ามาล้อมร่างเธอเอาไว้ มันก็ทำให้เธอปรารถนาจะฆ่าทุกอย่างตรงหน้า
หลังจากซู่อินล่อคุณหมอเกาไปแล้ว ไป๋ชิวหลินก็อ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับเรื่องอันตรายอื่น ๆ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง เฉินเกอใช้ไพ่ตายอีกใบของตัวเอง– ผู้หญิงจากอุโมงค์
มีวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งนำทาง เขาก็สามารถตามไปได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อใด วิญญาณสีเลือดก็ยังเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุด ตอนที่เด็ก ๆ ในตึกเห็นวิญญาณสีเลือดตรงเข้าไปหา พวกเขาก็เริ่มวิ่งหนีและซ่อนตัวตามสัญชาตญาณ เด็กหลายคนที่แบกถงถงอยู่นั้นก็สลัดรอยยิ้มทิ้งแล้ว พวกเขาพุ่งไปข้างหน้าเหมือนชีวิตของตัวเองขึ้นกับการทำเช่นนั้น จากที่เฉินเกอเห็น มันเหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้นั้นทำภารกิจสำเร็จแล้ว ซึ่งก็คือล่อเฉินเกอขึ้นไปที่ชั้นบน
“ชั้นบนสุดอันตรายมาก! อย่าไปที่นั่น!” หลี่เจิ้งร้องออกมาอย่างเร่งร้อนอยู่ที่ด้านหลัง เขาดูเหมือนจะมีข้อมูลบางอย่างจากเจียหมิง ด้วยสถานการณ์เร่งร้อน เขาทิ้งมือกรรไกรและชายขี้เมาเอาไว้แล้วไล่ตามเฉินเกอมา
มีวิญญาณสีเลือดนำทาง เฉินเกอจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะปรากฏขึ้นระหว่างทาง เขาสงบใจลงหาคำถามให้กับคำถามสำคัญสองสามข้อ
“รูปวาดที่ผีปากกากับเอี๋ยนต้าเหนียนร่วมมือกันนั้นบอกว่าเหล่าโจวและเหมินหนานซ่อนตัวอยู่ในห้องเล็ก ๆ พวกเขาไม่ได้ถูกจับเอาไว้แต่ว่าถูกกักตัวเอาไว้ชั่วคราว หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เงานั่นไม่ได้ควบคุมสถานการณ์ได้เต็มที่อย่างแท้จริง เขามัวแต่สู้อยู่กับคุณหมอเกา และเขาก็หายตัวไปจากสายตาของฉันแค่ไม่นานเท่านั้น แล้วเขาจะติดตั้งกับดักมากมายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไร?
“เงานั่นสู้กับจางหยามาก่อน และเขารู้ว่าฉันมีวิญญาณสีเลือดเก่งกาจอยู่กับฉัน ดังนั้น ความเป็นไปได้เดียวที่เขาคิดได้ก็คือจัดการกับวิญญาณสีเลือดตนนั้นก่อนเขาถึงจะจัดการกับฉันได้ แต่ฉันสงสัยว่ากับดักที่ทรงพลังเช่นนั้นไม่น่าสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยเวลาสั้น”
เฉินเกอรู้ทั้งหมดนี้ดี เขาหรี่ตา และจู่ ๆ ก็มีรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างหนึ่งผ่านเข้ามาในใจเขา
“ฉันรู้แล้ว!” เฉินเกอพุ่งขึ้นบันไดไปโดยไม่ลดความเร็วลง ยิ่งขึ้นมาชั้นสูง ๆ เด็ก ๆ ก็ดูจะมีความอาฆาตแค้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น พวกเขาเปลี่ยนจากวิญญาณสัมภเวสีไปเป็นวิญญาณอาฆาต พอเลยชั้นที่สิบเอ็ด เสื้อของเด็กบางคนมีรอยเลือดเปื้อน และเฉินเกอยังเห็นชายหนุ่มที่เป็นกึ่งวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง หากไม่มีความช่วยเหลือจากผู้หญิงในอุโมงค์ แค่เขากับไป๋ชิวหลิน การเดินทางของพวกเขาน่าจะหยุดอยู่ที่ชั้นสิบเอ็ดแล้ว
แต่ว่า กระทั่งมีความช่วยเหลือของเธอ การเดินทางของพวกเขาก็ไม่ได้ง่าย รูปวาดสลับซับซ้อนเริ่มปรากฏขึ้นที่บนกำแพง พวกมันวาดขึ้นด้วยของเหลวสีเข้มชนิดพิเศษบางอย่าง เฉินเกอเคยเจอของเหลวเช่นนี้ที่โรงแรมก่อนหน้านี้ มันสามารถส่งอิทธิพลบางอย่างกับวิญญาณสีเลือดได้ ตอนนี้เฉินเกอเริ่มเสียใจที่ใช้ของดีเช่นนี้ท้าทายหญิงไร้หัว มองไปที่กำแพง รูปวาดที่บนกำแพงล้วนใช้ของเหลวชนิดนี้ และพอเดินผ่านพวกมันเฉินเกอก็รู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง
“รูปวาดทั้งหมดดูหยาบ เหมือนเป็นผลงานของเด็กขี้เบื่อสักคน รูปวาดพวกนี้เป็นผีทารกวาดขึ้นหรือเปล่า?”
ผู้หญิงที่เดินอยู่ด้านหน้านั้นได้รับความกดดันมากที่สุด และสภาพของเธอก็ดูไม่ดีนัก
“รูปวาดเหล่านี้สามารถทำให้วิญญาณสีเลือดอ่อนแอลงได้ มันเป็นบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดใช่หรือเปล่า?” มองรูปวาดเหล่านั้นแล้วเฉินเกอก็พบว่าพวกมันก็แค่บันทึกถึงกิจกรรมประจำวันธรรมดา ๆ แต่เพราะอะไรไม่รู้ พวกมันทำให้เฉินเกอขนลุกชัน เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงได้หวาดกลัวสิ่งเหล่านี้ “เป็นไปได้ไหมว่ารูปที่บนกำแพงนั้นบอกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ฉันเคยเจอมา? แต่ทำไมฉันถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย? ไม่ นี่น่าจะเป็นความทรงจำของผีทารก– พวกมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย”
“เฉินเกอ! เธอกำลังจะทำอะไร? รีบตามฉันกลับไปข้างล่าง!” หลี่เจิ้งและเจียหมิงตามหลังเขามาติด ๆ รูปวาดดูเหมือนจะไม่มีผลกับมนุษย์ธรรมดานัก พวกเขาไม่รู้สึกถึงความอาฆาตแค้นลึกซึ้งและความเกลียดชังที่อยู่ในรูปวาด
“พวกเขาเป็นพนักงานของผม แล้วผม ที่เป็นเจ้านาย จะทิ้งพวกเขาแล้ววิ่งหนีไปคนเดียวได้ยังไง?”
ผู้หญิงในอุโมงค์และเฉินเกอทนรับแรงกดดันและไปถึงที่ชั้นบนสุดของตึก แต่ว่าถงถงนั้นหายตัวไปแล้ว ทั้งหมดที่เฉินเกอเห็นก็คือประตูสู่ชั้นดาดฟ้าซึ่งเปิดอยู่ครึ่ง ๆ
“เงานั่นทำของตั้งมากมายมาเพื่อล่อฉันมาที่นี่?” ประตูที่นำไปสู่ชั้นดาดฟ้านั้นปกคลุมไปด้วยรูปวาดสีดำ แต่เนื้อหาของรูปวาดนั้นต่างไปจากที่บนกำแพง พวกมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตแล้ว แต่ว่าพูดถึงภาพการตายมากมายที่โหดร้ายอย่างไม่เป็นไปได้
เด็กในรูปวาดประสบกับความตายหลากหลายรูปแบบและเขาก็โดดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เข้าใจความหมายของการมีตัวตนของเขาเหมือนจุดมุ่งหมายในการมีชีวิตของเขาก็เพื่อรอคอยและประสบกับความตายที่โหดร้ายมากขึ้นไปอีก
รูปวาดสีดำเมื่อมองจากที่ไกล ๆ ดูเหมือนจะก่อตัวเป็นรูปร่างของมนุษย์คนหนึ่งและที่น่าสงสัย เงาร่างของมนุษย์ผู้นั้นเข้ากับได้กับเฉินเกอดีเกินไปสักนิด สีของหมึกที่ส่วนล่างของภาพวาดประหลาดนั้นค่อนข้างจาง เมื่อภาพวาดเพิ่มมากขึ้น มันก็ยิ่งเข้มขึ้น มันเหมือนสัตว์ประหลาดนั้นเติบโตมากขึ้นทุกครั้งที่กลับมาและใช้ภาพวาดนี้เติมเต็มร่างกายของมัน
ตอนแรก รูปร่างของภาพวาดนั้นน่าจะเป็นเด็กคนหนึ่ง แต่มันเติบโตขึ้นตามเวลา เหมือนเฉินเกอ แต่ว่า การเติบโตของเฉินเกอนั้นมีแสงสว่างและความหวัง ขณะที่การเติบโตของสิ่งที่บนประตูนั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัวต่าง ๆ และการตายอันเหี้ยมโหด
“ถงถงอยู่ด้านหลังประตูนี่” เฉินเกอมองที่ประตูที่นำไปสู่ดาดฟ้าและเขาก็รู้สึกเหมือนสติของตัวเองเลือนลาง มันเหมือนกับวิธีการตายค่อย ๆ ไชเข้าไปในจิตใจของเขา พยายามทำให้ตัวมันเองกลายเป็นความทรงจำของเขา
“ฉันไม่เคยเจออะไรอย่างนี้! นี่ไม่ใช่ความทรงจำของฉัน!” เฉินเกอยกค้อนขึ้นและคิดจะทุบประตูตรงหน้า เหมือนกับเขารู้สึกว่าถ้าประตูพัง ความทรงจำอันเจ็บปวดที่ไม่ได้เป็นของเขาจะหายไป
สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว และตอนที่ค้อนกำลังจะตวัดลงนั้น เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่รอบหัวใจของตัวเองเหมือนมีใครเอาเข็มจิ้ม ความเจ็บปวดระลอกสั้น ๆ ทำให้เฉินเกอหลุดออกจากความสับสน ในครู่สั้น ๆ นี้ หลังของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในหน้าอกตัวเองแล้วดึงกุญแจที่หน้าตาเหมือนกันสองดอกออกมาจากกระเป๋าหน้าอก
“กุญแจแห่งการรู้ตน?” สนิมที่บนกุญแจนั้นส่วนใหญ่หลุดออกไปแล้ว เฉินเกอยังไม่เข้าใจวิธีการที่ถูกต้องในการใช้กุญแจดอกนี้ แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกุญแจที่ช่วยเขาเมื่อครู่นี้
“ถ้าความทรงจำของเขาหลอมรวมเข้าเป็นของฉัน อย่างนั้นผลที่ตามมาก็ยากที่จะจินตนาการแล้ว” เฉินเกอวางค้อนและมองไปยังประตูที่เปิดครึ่ง ๆ อยู่ เหมือนคนบ้าคนหนึ่ง เขาพูดกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต “แกเป็นใคร ทำไมแกถึงได้เกลียดฉันขนาดนี้?”
“พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว รีบออกไปเดี๋ยวนี้!” หลี่เจิ้งมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นตัว มือของเขาขยับไปที่ปืนที่ตรงเอว เขากำลังจะดึงมันออกมาแล้วตอนที่เฉินเกอหันกลับมามองที่เขาช้า ๆ
“แกเป็นใคร?” ดวงตาของเฉินเกอแดงก่ำ มือถือค้อนเอาไว้
“ผม? ผมคือหลี่เจิ้ง! เฉินเกอ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?” มือของหลี่เจิ้งอยู่ที่ซองปืน เขาอยากจะดึงปืนออกมา แต่ว่าเขาพบว่าเฉินเกอนั้นคงจะทุบมือเขาก่อนที่เขาจะเอื้อมถึงปืน
“แกไม่ใช่หลี่เจิ้ง” เสียงของเฉินเกอแหบแห้ง “แกพูดก่อนหน้านี้ว่าตอนที่แกเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน แกติดต่อคนที่เหลือที่สถานี ตอนนั้น แกไล่ตามเจียหมิงมาคนเดียว ตอนที่พวกเราเจอกันที่โรงแรม ฉันไม่เห็นแกพกวิทยุติดตามตัวมาด้วย และรัศมีทำการของวิทยุติดตามตัวก็จำกัด ดังนั้นฉันจึงเชื่อว่าแกใช้โทรศัพท์ของแกสื่อสารกับคนที่เหลือในทีมของแก”
“แล้วมีอะไรไม่ถูกต้องถ้าจะใช้โทรศัพท์ของผม?”
“ก่อนที่จะเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน ฉันได้รับข้อความจากแก เสียงของแกและรูปแบบการพูดนั้นคล้ายกับของสารวัตรหลี่ แต่เพราะสถานการณ์พิเศษของฉัน ฉันรับสายแกไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงให้แกส่งข้อความหาฉัน” ดวงตาของเฉินเกอเต็มไปด้วยเลือด แต่เสียงของเขาก็สงบลงอย่างช้า ๆ “ตอนที่คุณหมอเกาสู้กับเงานั่น มันเป็นเวลาเดียวกับที่พวกแกทั้งหมดหายตัวไป ตอนนี้ที่เงานั่นเลิกสู้กับคุณหมอเกา แกก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นี่มีความหมายเดียวก็คือเงาคือหนึ่งในพวกแกที่หายตัวไป”
หลี่เจิ้งยังอยากจะพูดบางอย่างแต่ว่าถูกเฉินเกอขัดขึ้น
“แกกลัวจะถูกเปิดโปง ดังนั้นแกจึงใช้ไพ่ตายของแกก่อนที่ควรจะเป็นและให้คำสาปแพร่เข้าใส่คนที่กำลังรออยู่นอกอุโมงค์ ด้วยวิธีนั้น แกสามารถปิดบังตัวตนแท้จริงของแกเอาไว้ได้ต่อ” เฉินเกอก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และผู้หญิงจากอุโมงค์ก็คอยป้องกันอยู่ข้างกายเขา “ในตอนแรก ฉันก็แค่สงสัย แต่ตอนนี้ ในที่สุดฉันก็แน่ใจว่าแกคือเงานั่น”
เขาเปิดหนังสือการ์ตูนและปล่อยลูกสุนัขสีดำอ่อนแอและดูป่วยตัวหนึ่งออกมา ลูกสุนัขดูยินดีมากเมื่อเห็นเฉินเกอ แต่เมื่อมันเห็นหลี่เจิ้ง มันก็ร้องครวญครางอย่างงุนงง
“แกคือตัวตนที่พิเศษที่สุดสำหรับมัน แกอาจจะสามารถหลอกพวกเราที่เหลือได้ แต่แกไม่มีทางสามารถหลอก ‘คน’ ที่เห็นแกเป็นโลกทั้งใบได้” เฉินเกอหันไปมองสุนัขดำที่เขานำมาจากบ้านสุนัขด้วย
เห็นสุนัขสีดำ มือของหลี่เจิ้งที่ขยับไปยังปืนก็คลายออกช้า ๆ ความกระวนกระวายและความโกรธที่บนหน้าของเขาค่อย ๆ สลายไป และมันก็แทนที่ด้วยความสงบ
“นี่ช่างย้อนแย้งเสียจริง นี่คือสิ่งดีงามเดียวที่ฉันทำในชีวิต และมันก็กลายเป็นเงื่อนงำให้แกมองผ่านการปลอมตัวของฉันได้” หลี่เจิ้งมองลูกสุนัขและความเย็นชาในดวงตาของเขาก็ทำให้ลูกสุนัขขดตัวอย่างหวาดกลัว “ฉันน่าจะฆ่ามันซะ ตอนนั้น ฉันรู้สึกว่ามันสนุกดีที่จะปล่อยให้มันถูกทรมานเรื่อย ๆ”
เมื่อเขาพูดจบ หลี่เจิ้งก็หลับตาลง ร่างกายของเขาแตกสลายลงไปกับพื้น แต่เงาของเขากลับลุกขึ้นยืนในท่าเดิมก่อนหน้านี้