My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 687
หมอกจาง ๆ เริ่มพลิ้วไปตามเมืองร้าง และตึกที่สองข้างก็มีเงาวูบผ่านไป อุณหภูมิลดลงอีก และเสียงกระซิบของผู้หญิงและเด็กก็ดังมาให้ได้ยิน แต่ว่า แม้ผู้ช่วยสาวจะพยายามตั้งใจฟังเสียงนั่น เธอก็พบว่าไม่มีอะไรนอกจากความเงียบ และทั้งหมดที่เธอได้ยินก็คือเสียงหัวใจของเธอเองเต้นอย่างบ้าคลั่ง
“คุณไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหมคะ?” ในฉากนั้นมืดสลัว และเมื่อผสานเข้ากับหมอกจาง ๆ ก็หมายความว่าผู้ช่วยสาวนั้นยากที่จะบอกได้ว่ามีรอยฝ่ามืออยู่ที่หลังคอของเว่ยจินหยวนจริงหรือไม่ “บางทีมันอาจจะเป็นพนักงานในบ้านผีสิงลงมือทำไหมคะ? ตอนที่เว่ยจินหยวนชะโงกหน้าเข้าไปในหน้าต่างก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ไหมว่านักแสดงจะใช้สีพิเศษทาหลังคอเขา? พวกเราก็เคยเห็นสีแบบนั้นมาก่อนที่ต่างประเทศ สีเดิมนั้นจาง แต่เมื่อผสมเข้ากับเหงื่อคนหรือว่าน้ำ สีก็จะเข้มขึ้นทันที”
“พูดกันตามตรงนะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น แต่ฉันรู้สึกว่าบ้านผีสิงนี่ต่างไปจากที่เราเคยไปที่ต่างประเทศ ตอนที่ฉันเข้าไปในบ้านผีสิงก่อนหน้านี้ ไม่มีความรู้สึกกระวนกระวายแบบนี้” ชิโนซากิวางมือเอาไว้ตรงหัวใจ “ที่นี่ไม่มีอะไรที่น่าสยดสยองอย่างเลือดหรือว่าแขนขาปลอม แต่ว่ายิ่งเดินไปตามทาง ก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างประหลาด มันเหมือนกับว่าตอนนี้ มีดวงตานับไม่ถ้วนกำลังจับตามองพวกเราอยู่ทุกฝีก้าว”
“ไม่ว่ายังไง ฉันไม่เชื่อว่าจะมีอะไรน่ากลัวอย่างคนล่องหนขี่อยู่บนคอผู้ชายคนนั้น แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นหนึ่งแรงบันดาลใจที่ดีมาก คุณสามารถวาดมันลงไปในงานของคุณได้” ผู้ช่วยสาวเชื่อว่าชิโนซากินั้นกดดันมากในช่วงหลังมานี้ และเขาก็อยู่ในธุรกิจศิลปะมานานเกินไป ดังนั้นมันจึงง่ายที่เขาจะคิดถึงการเชื่อมโยงน่ากลัวอย่างนี้
เมื่อพูดถึงการ์ตูนของเขาเอง ดวงตาของชิโนซากิก็เป็นประกายสว่าง “เรื่องนั้นเธอพูดถูก ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ นี่ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับโครงการใหม่ของฉัน ตอนนี้ ตามพวกเขาสองคนไปก่อน มีพวกเขานำหน้าไป พวกเราก็ปลอดภัยมากขึ้น”
นั่นคือนิสัยของชิโนซากิ ที่ให้ความสนใจกับสิ่งต่าง ๆ ได้เพียงอย่างเดียว เขาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ในใจ และนี่ก็ทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองจากชายไร้บ้าน หลี่เป้าฝู ไปเป็นหนึ่งในดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดในธุรกิจการ์ตูน ชิโนซากิไต้เสิน
ที่ตึกใกล้ ๆ นั้นมีฉากหลังที่มืดมากกับแสงสว่างสลัวส่องออกมา แต่เมื่อเข้าไปใกล้ แสงก็ดับไปด้วยตัวเอง แต่พอเดินห่างออกมา แสงนั่นก็กลับมาสว่างอีกครั้ง
“นี่ค่อนข้างน่าสนใจ ดูเหมือนว่าบ้านผีสิงนี่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ หลายอย่าง ทั้งเซนเซอร์แสง เครื่องสร้างหมอก…” เว่ยจินหยวนพยายามใช้ความรู้ของตัวเองชำแหละบ้านผีสิงนี่ และการวิเคราะห์ของเขาก็ดูมีเหตุมีผลดี
ตอนที่เขาคิดจะเดินหน้าต่อ โทรศัพท์ของเขาจู่ ๆ ก็ดังขึ้น เขาก้มหน้าลงและเห็นว่าเป็นหลีจิ่วโทรมา เขารับสายเพราะว่าอยากรู้ว่าอีกกลุ่มนั้นเป็นอย่างไรบ้าง “ที่นั่นเป็นไงมั่ง? นายเจอคำใบ้ที่มีประโยขน์อะไรไหม?”
เสียงของหลีจิ่วดังมาจากอีกปลายสาย “บ้านผีสิงนี่น่าเบื่อกว่าที่เราคิดเอาไว้ พวกเราตรวจดูหลายห้องแล้ว แต่ทั้งหมดล้วนว่างเปล่า ไม่มีทางเดินลับหรือว่านักแสดงด้วยซ้ำ”
“ฉันลองถาม ๆ ดูก่อนที่จะเข้ามาแล้ว บ้านผีสิงนี่ปลดล็อกฉากใหม่ ๆ หลายฉากในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้นมันก็เป็นไปได้ที่ไม่ใช่ทุกฉากจะสมบูรณ์ นอกจากนี้ ฉันไม่แน่ใจว่านายสังเกตเห็นไหม แต่ว่าฉากนี้ดูเหมือนจะมีความยาก 3.5 ดาว มันฟังดูเหมือนว่าฉากนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อย เจ้าคนแซ่เฉินนั่นน่าจะถูกบังคับให้เปิดใช้ฉากที่ไม่สมบูรณ์นี่เพราะความกดดันจากสวนสนุกแห่งอนาคต” เว่ยจินหยวนเดินไปตามถนน และจำนวนห้องที่สองข้างทางก็เพิ่มมากขึ้น
“เอาละ ฉันจะวางสายก่อนละ ฉันจะโทรหานายอีกทีในสิบนาที พวกเราควรจะตั้งใจหาคำใบ้แล้ว” หลีจิ่วพูดและวางสายทันที
“เขาเป็นอะไรไปน่ะ? โทรมาแค่นาทีเดียว ถ้างั้นจะเสียเวลาโทรตั้งแต่แรกทำไม?” เว่ยจินหยวนเก็บโทรศัพท์และเกาหลังคอ เขาคอยแต่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างจั๊กจี้อยู่ที่หลังคอของเขาเหมือนถูกยุงกัดตรงนั้น
ถนนข้างหน้าแคบลงอีก และพวกเขาก็เดินไปอีกประมาณสิบเมตรก่อนที่หลี่ซางอิ๋นจะเห็นป้ายไม้แผ่นหนึ่งแขนอยู่บนกำแพงข้าง ๆ พวกเขา ประโยคนั้นเขียนไว้ด้วยเลือด “ฉันเป็นหนึ่งในพวกแก”
“ตอนนี้เขาก็เริ่มเล่นเกมจิตวิทยาแล้วใช่ไหมฮึ? น่าเบื่อจัง” เว่ยจินหยวนเล็งกล้องโทรศัพท์ไปที่ป้ายไม้และถ่ายรูปไว้ เขากดบันทึกรูป “นี่เป็นสิ่งแรกที่ค่อนข้างน่ากลัวที่ฉันเจอตั้งแต่เข้ามาในบ้านผีสิงนี่ มันไม่น่าเชื่อเลยว่าบ้านผีสิงที่วางจังหวะไม่สมเหตุสมผลอะไรเลยอย่างนี้กลับเป็นที่นิยมมาก”
“อย่าได้ดูเบาที่นี่ คำเตือนบนแผ่นป้ายนั่นอาจจะเป็นความจริง” หลี่ซางอิ๋นยังคงสีหน้านิ่งเฉย “ตามการวิเคราะห์ที่ฉันอ่านบนออนไลน์ หลายคนเชื่อว่าบอสบ้านผีสิงนี่มีครั้งหนึ่งเคยให้นักแสดงของเขาปะปนเข้ามาในกลุ่มผู้เข้าชมเพื่อรบกวนการตัดสินใจของพวกเขา แน่นอนว่า นี่เป็นแค่การสันนิษฐานเท่านั้น ไม่มีใครมีหลักฐานยืนยัน”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่สำคัญเหมือนกันแหละ” เว่ยจินหยวนหมุนป้ายกลับและคำว่า ‘เขตที่พักอาศัยตงจื่อ’ ก็ถูกเขียนได้ที่ด้านหลังป้าย “ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นเขตที่พักอาศัย บอสบอกว่าคำใบ้ที่สองซ่อนอยู่ในเขตที่พักอาศัย งั้นในที่สุดก็จะมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นตอนที่เราเข้าไปในนี้สินะ”
หลี่ซางอิ๋นพยักหน้า และทั้งสองคนก็มุ่งหน้าเข้าไปในสวนเล็ก ๆ ทันที
“คุณคะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวเหม่อนะคะ พวกเราต้องรีบตามพวกเขาให้ทัน” ผู้ช่วยสาวกระตุ้น แต่ว่าชิโนซากิกลับยืนอยู่ในสวนและพิจารณาแผ่นป้ายไม้บนกำแพงเหมือนเขาจริงจังกับคำเตือนที่บนป้าย
“ถ้าอย่างนั้น… เธอคิดว่าจะมีใครปะปนเข้ามาในกลุ่มพวกเราจริง ๆ งั้นเหรอ?” ชิโนซากิพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ ขณะมองไปรอบ ๆ “บ้านผีสิงนี่สร้างบรรยากาศได้ยอดเยี่ยมมากจนฉันไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่ามีเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นออกไปได้เลย”
ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวนั้นเข้าไปในเขตที่พักอาศัยทีหลัง เกือบจะทันทีที่พวกเขาเข้าไปในพื้นที่ เงาดำหลายเงาก็กะพริบวูบวาบอยู่ที่ด้านหลังพวกเขา มีตึกเตี้ย ๆ สามตึกเรียงรายกันอยู่ที่ด้านในเขตที่พักอาศัย พวกมันมีหมายเลขหนึ่งถึงสาม และมีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากในตึก มันเหมือนเด็ก ๆ กำลังใช้ของชิ้นเล็ก ๆ ทุบกระจกอยู่
“นอกจากตึกหน้าตาโทรม ๆ แล้ว ที่นี่ก็ดูไม่ต่างไปจากเขตเมืองเก่าของพวกเราเลยนะ” เว่ยจินหยวนมองไปที่กำแพงที่สีลอกแลเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าตึกแรก “พวกเราควรจะเข้าไปด้วยกันหรือว่าแยกกันไป? ฉันสงสัยว่าแต่ละตึกจะซ่อนสิ่งที่ต่างกันเอาไว้”
“ฉันจะไปคนเดียว และนายก็พาสองคนนั้นไป” หลี่ซางอิ๋นเดินเข้าไปในตึกที่สามคนเดียว และไม่ช้าเขาก็หายลับไปจากสายตา เหลือแต่เสียงฝีเท้าของเขาเท่านั้น
“เลือดร้อนเสียจริง ฉันหวังว่าเขาจะไม่ไปทำให้นักแสดงที่ทำงานในบ้านผีสิงนี่ตกใจกลัวนะ” เว่ยจินหยวนเอี้ยวคอไปมองและพบว่าชิโนซากิกับผู้ช่วยสาวนั้นยังยืนอยู่ที่กลางสวน “พวกคุณสองคนทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ? เลิกเสียเวลาได้แล้ว!”
“ขอโทษด้วยค่ะ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้” ผู้ช่วยสาวดึงชายเสื้อชิโนซากิ “คุณคะ ไปได้แล้ว”
“ได้” ชิโนซากิจ้องพุ่มไม้ที่สูงประมาณเอวที่เรียงรายอยู่ริมสวน ไม่มีลมเลยสักนิด แต่ว่าพุ่มไม้กลับขยับไปมาเหมือนมีบางคนหรือบางอย่างแอบอยู่ด้านในนั้น
ชิโนซากิ ผู้ช่วยสาว และเว่ยจินหยวนเข้าไปในตึกแรกโดยไม่ได้เข้าไปใกล้กับพุ่มไม้ มีคราบน้ำเหลืออยู่บนพื้น และกำแพงก็มีรอยแตกเป็นทางยาว ในความมืด พวกมันดูราวกับริมฝีปากที่กำลังยิ้ม บันไดนำลงไปข้างล่างและมันก็มืดสลัวมาก สิ่งเดียวที่พวกเขามองเห็นก็คือประตูบานหนึ่งที่แง้มเปิดไว้
“ลงไปได้ลึกแค่ไหนกันเนี่ย?” เว่ยจินหยวนดึงโทรศัพท์ออกมาเปิดไฟฉาย แสงไฟส่องผ่านความมืด แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเลย กลับกัน ยิ่งพวกเขาเห็น ก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยดี
ผงสีขาวร่วงลงมาบนศีรษะของพวกเขาเรื่อย ๆ รอยฝ่ามือถูกทิ้งเอาไว้บนราวบันไดขึ้นสนิม และความรู้สึกหายใจไม่ออกก็รุนแรงขึ้น มันเหมือนว่ามีภูเขาสักลูกกดลงมาบนหัวใจของพวกเขา เว่ยจินหยวนเกาคอแล้วก็ผลักประตูห้องแรกเปิดออก มีเครื่อนเรือนเก่า ๆ กระจัดกระจายอยู่ในห้อง และมันก็ดูธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะอ้างว่าเขาไม่กลัวอยู่หลายครั้ง ตอนที่เข้าไปในห้อง เขาก็ยังสังเกตสิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวังมากขึ้น เขาตรวจดูทุกมุมที่อาจจะซ่อนกับดักเอาไว้ได้ แต่ว่าเขาดูอยู่นานแต่กลับไม่พบอะไรเลย นี่เป็นห้องธรรมดา ๆ ห้องหนึ่ง
“บอสบ้านผีสิงตั้งใจจะใช้วิธีนี้แยกพวกเราออกจากกัน?” เว่ยจินหยวนตรวจดูอีกหลายห้องบนชั้นเดียวกัน ไม่มีอะไรน่ากลัวและไม่มีนักแสดงของบ้างผีสิงซ่อนตัวอยู่ที่ตรงมุมไหนคอยหลอกพวกเขา
“มีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับบอสคนนั้นหรือเปล่า? เขาสร้างห้องว่าง ๆ เหล่านี้เพื่อเป็นแค่ของตกแต่งเหรอ?” หากนี่ไม่ได้สร้างอยู่ในบ้านผีสิง เว่ยจินหยวนเชื่อว่าห้องพวกนี้นั้นอันที่จริงสามารถใช้เป็นบ้านเช่าราคาถูกได้เลย
เขาเดินลงไปตามบันไดและไปถึงที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง แผนผังของที่นี่นั้นเกือบจะเหมือนกันต่างกันแค่เพียงอย่างเดียว มีทางเดินมืดสนิทที่เชื่อมชั้นใต้ดินของทั้งสามตึกเข้าหากัน เว่ยจินหยวนเดินไปที่สุดทางเดินและตะโกน “เย็นชา นายได้ยินฉันไหม?”
มีเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงฝีเท้า แต่ไม่มีใครให้เห็น
“หรือว่าพ่อคนเย็นชานั่นลงไปที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามแล้ว? นั่นเป็นไปไม่ได้! พวกเราตามกันมาติด ๆ ดังนั้นถ้าเขาได้ยินฉัน เขาก็ควรต้องตอบกลับมา” หน้าผากของเว่ยจินหยวนนั้นมีเหงื่อผุดพราว ตึกทั้งหมดที่ด้านบนนั้นน่าจะเป็นแค่ตัวหลอก– ความสยองขวัญที่แท้จริงนั้นซ่อนอยู่ใต้ดินทั้งหมดเลย “ตึกทั้งหมดล้วนเชื่อมต่อกันที่ใต้ดิน ที่นี่มันเหมือนเขาวงกตใต้ดิน”
เขามองไปตามทางเดิน และอากาศเย็นเยือกก็ถาโถมใส่เขา นี่เป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงกับตอนที่พวกเขาอยู่ด้านนอก เขาเปิดประตูที่ใกล้ตัวเขาที่สุด และเว่ยจินหยวนก็มองเข้าไปในห้องพร้อมกับแสงจากโทรศัพท์ขณะที่ยังยืนอยู่ด้านนอก “แผนผังของทุกห้องบนชั้นใต้ดินชั้นที่สองนั้นก็เป็นเหมือนกับที่ชั้นแรก การออกแบบอย่างนี้นั้นมีจุดประสงค์อะไรกัน? ฉันไม่เข้าใจความตั้งใจของเขาเลย!”
เว่ยจินหยวนพยายามค้นหาความลับเบื้องหลังความนิยมของบ้านผีสิงของเฉินเกอ ทำไมเขาถึงดึงดูดผู้เข้าชมได้มากมาย แต่ว่าจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังหาอะไรไม่เจอเลย เขาเปิดประตูบานแล้วบานเล่า และตอนที่เว่ยจินหยวนกำลังจะยอมแพ้ เขาก็พบว่าประตูบานหนึ่งต่างไปจากบานอื่น ๆ ที่ขอบประตูนั้นมีเทปกาวแปะติดเอาไว้ และยังมีช่องตาแมวที่ปิดเอาไว้ด้วยเทปกาว
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง” เว่ยจินหยวนดึงเทปบนประตูออกและผลักเปิดประตูช้า ๆ ห้องที่ด้านหลังประตูบานนี้นั้นต่างไปจากห้องอื่นจริง ๆ เครื่องเรือนทั้งหมดล้วนมีเทปกาวพันเอาไว้
“ดูเหมือนว่าคำใบ้น่าจะซ่อนอยู่ในห้องนี้” เว่ยจินหยวนดึงเทปที่รอบ ๆ ที่วางรองเท้าออก เขามองเข้าไป และเห็นรองเท้าห้าคู่ถูกวางเอาไว้ในนั้น มีรองเท้าแตะเปิดส้นของผู้หญิงคู่หนึ่ง รองเท้าผ้าของหญิงชราคู่หนึ่ง และรองเท้าผ้าใบต่างขนาดของผู้ชายสามคู่
“รองเท้าพวกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปริศนาเหรอ?” เว่ยจินหยวนหยิบรองเท้าขึ้นมาดูทีละคู่ แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ยอมแพ้ “สมองของบอสมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมเขาถึงได้สิ้นเปลืองทรัพยากรออกแบบสิ่งเหล่านี้ที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงกัน! เขาไม่รู้กระทั่งวิธีการออกแบบบ้านผีสิงหรือไง?”
ยิ่งเขามอง เขาก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย เว่ยจินหยวนสังเกตเห็นว่าเครื่องเรือนส่วนมากนั้นถูกพันเทปเอาไว้ และเขาก็ไม่คิดจะเข้าไปดูคนเดียว “เฮ้! มาช่วยกันทางนี้หน่อย!”
“คุณเจออะไรเหรอคะ?” ผู้ช่วยสาวและชิโนซากิวิ่งมาทางเขา ตอนที่พวกเขาเห็นห้องที่เต็มไปด้วยเทปกาว พวกเขาก็ค่อนข้างตกใจ
“ช่วยฉันแกะเทปพวกนี้ออกให้หมด คำใบ้น่าจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งที่นี่” เมื่อเว่ยจินหยวนสั่ง ทั้งกลุ่มก็เริ่มแกะเทปที่ติดอยู่ตามลิ้นชัก ตู้ ใต้เตียง และบนประตู พวกเขาค้นที่นี่จนทั่วแต่กลับไม่เจออะไรที่มีประโยชน์เลย
“หรือว่าบอสแค่ล้อเล่นกับพวกเรา?” เว่ยจินหยวนรำคาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ความถี่ที่เขาเอื้อมมือไปเกาด้านหลังคอก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเหมือนกัน ความคันนั้นยิ่งมายิ่งชัดเจนมากขึ้น “คุณสองคนอยู่ตรงนี้แกะเทปพวกนี้ต่อ ตรวจดูให้ครบทุกตารางนิ้ว ฉันจะไปที่ชั้นล่างต่อ”
เว่ยจินหยวนทิ้งชิโนซากิกับผู้ช่วยสามเอาไว้ข้างหลัง และเขาก็แยกไปคนเดียว ชั้นล่างสุดนั้นมืดสลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่มีไฟฉายก็แทบจะมองไม่เห็น ชั้นนี้ต่างไปจากชั้นด้านบน มีทางเดินสองทาง นำไปซ้ายและขวา
ทางหนึ่งนั้นเชื่อมกับอีกสองตึก แต่ไม่มีใครรู้ว่าอีกทางนั้นนำไปที่ไหน เว่ยจินหยวนสูดลมหายใจลึก เขากำมือตัวเองแน่น และเขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่าฝ่ามือของเขานั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขามองไปตามทางเดินทางซ้าย และเขาก็เห็นเงาราง ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงกำแพงอยู่
“หลี่ซางอิ๋น?” เว่ยจินหยวนเรียกชื่อเต็มของหลี่ซางอิ๋นแทนที่จะเป็นฉายา เขายกไฟฉายขึ้นส่องไปยังจุดที่เงานั่นยืนอยู่ ไม่มีการตอบรับอะไร– เห็นได้ชัดเจนว่าเงานั่นไม่ใช่หลี่ซางอิ๋น
“ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนกับพ่อคนเย็นชานั่นหายตัวไปหลังจากที่เข้าไปในตึกนั้น? แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? พวกเราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เมตรเอง” หากไม่ใช่เย็นชาก็ต้องเป็นพนักงานสักคน เว่ยจินหยวนยกโทรศัพท์ขึ้นและวิ่งไปต่อ “พูดกันโดยทั่วไปแล้ว นักแสดงที่บ้านผีสิงจะซ่อนอยู่ใกล้ ๆ กับมุมหรือสิ่งของบางอย่างเพื่อที่จะกระโจนออกมาหลอกผู้เข้าชมตอนที่พวกเขาเดินผ่าน แต่ไอ้คนนี้มันยังไง? เขาแค่ยืนอยู่ที่ทางเดิน เขาไม่กลัวว่าจะถูกผู้เข้าชมเจอตัวเข้าหรือไง?”
ไม่ว่าเว่ยจินหยวนจะทำเสียงดังเอะอะแค่ไหน เงานั่นก็ไม่ขยับ หลังจากที่เขาเข้าไปใกล้ ๆ เขาก็พบว่าเงานั่นมีอะไรแปลก ๆ ร่างกายของเงานั่นเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จนเหมือนกับตัวเขาเอง นี่เป็นประสบการณ์ประหลาด มันเหมือนเขาำลังมองตัวเองจากด้านหลัง ลูกกระเดือกของเว่ยจินหยวนสั่นระริก และในที่สุดเขาก็อยู่ห่างจาก ‘ผู้ชาย’ คนนั้นแค่สามเมตร
หลังจากปรับลมหายใจแล้ว เว่ยจินหยวนก็กำลังจะพูดตอนที่โทรศัพท์ที่เขาถือไว้ตรงอกจู่ ๆ ก็สั่น!
“เชี่ย!” หลังจากสบถออกไปดังลั่น เว่ยจินหยวนก็ก้มหน้าลงไปกดปุ่มรับสาย ก่อนที่เขาจะทันมองชื่อคนโทรเข้า ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เงาตรงหน้าเขาก็หายไปแล้ว “เขาวิ่งหนีไปที่ไหนน่ะ?”
“เฮ้ จินหยวน ฉันเจอแผนที่ของเมืองนี้ มีพื้นที่ที่ถูกกากบาทด้วยสีแดงอยู่แถว ๆ นายแน่ะ…”
“ฉันค่อยคุยกับนายทีหลัง!” เว่ยจินหยวนตัดสายทิ้งทันทีและเขาก็ใช้ไฟฉายส่องไปทั่ว ๆ อย่างรวดเร็ว “เขาเพิ่งโทรหาฉันเมื่อแล้วก็โทรมาอีกแล้ว? เกิดบ้าอะไรขึ้นกับเขาเนี่ย?”
“ผู้ชายคนนั้นหายไปไหนกัน?” มันใช้เวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีที่เขาก้มหน้าลงไปแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา และเงานั่นก็หายตัวไปแล้ว นอกจากนี้ เว่ยจินหยวนยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย– มันเหมือนกับชายคนนั้นระเหยกลายเป็นอากาศไป
“ฉันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย และประตูที่สองข้างทางก็ยังเปิดอยู่ งั้นเขาก็คงแอบเข้าไปในห้องสักห้องแหละ” เว่ยจินหยวนเดินไปตรงที่ที่เงานั่นยืนอยู่ก่อนหน้านี้ “ห้องที่ใกล้เขาที่สุดอยู่ห่างไปแค่เมตรเดียว เขาฝึกซ้อมกี่ครั้งกันถึงสามารถหายวับไปในพริบตา”
เว่ยจินหยวนมองเข้าไปในห้อง โครงสร้างในห้องนั้นไม่ได้ต่างไปจากห้องอื่น ๆ แต่มีรอยเลือดเป็นทางมากมายทิ้งไว้ที่บนพื้น
เพื่อผลทางสายตา เลือดปลอมส่วนใหญ่ที่ใช้ในบ้านผีสิงนั้นเป็นสีแดงสด แต่ว่าเลือดที่ในห้องนี้นั้นเป็นสีออกน้ำตาล มันเหมือนกับมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่จริง ๆ และเลือดนี่ก็ถูกทิ้งเอาไว้หลายปีแล้ว มันซึมเข้าไปในตัวตึกและไม่สามารถเช็ดทำความสะอาดออกไปได้แล้ว
“เขาวิ่งเข้าไปในห้องนี้เหรอ?” ในบางห้องที่นี่นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและอบอุ่นที่ห่มคลุมลงมาทันทีที่เข้าไป แต่ว่าก็มีบางห้องที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมากเพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไป ขนลุกชัน และยังไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์เช่นนี้ได้อย่างมีเหตุผล นั่นคือสิ่งที่เว่ยจินหยวนรู้สึกได้จริง ๆ ในห้องนี้ไม่มีความรู้สึกมีชีวิตชีวา มันไม่ต่างไปจากห้องเก็บศพที่ใช้เก็บศพคนตาย
“ออกมาเดี๋ยวนี้! ฉันเห็นแกแล้ว!” เว่ยจินหยวนร้องอยู่ในห้อง แต่ว่าเขาก็ได้ยินแค่เสียงของตัวเองก้องตอบกลับมา เขาขยับเดินหน้าเข้าไปในห้อง และเขาก็เห็นรอยเลือดมากขึ้น “เลือดทั้งหมดแห้งซึมเข้าไปในพื้น ไม่ใช่แค่ละเลงเอาไว้บนพื้นผิวเท่านั้น เขาทำอย่างนี้ได้ยังไง?”
เดินไปทั่วห้องนั่งเล่น เว่ยจินหยวนก็ไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องนอน
“รอยเลือดเป็นทางนำมาที่นี่ ดังนั้นความลับก็น่าจะซ่อนอยู่ในห้องนอนนี่” เว่ยจินหยวนผลักประตูเปิดแล้วก็กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น เหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมา
รอยเลือดสะดุดตากระจายอยู่ทั่วทั้งห้อง ที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องที่ราวกับงานศิลปะโชกเลือดคือผู้หญิงในชุดสีแดงคนหนึ่ง เธอยืนอยู่ หันหลังให้เว่ยจินหยวน และโขกหัวกับกำแพงเบา ๆ ซ้ำ ๆ ก่อให้เกิดเสียงประหลาดสะท้อนก้อง