My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 698
ผู้ชายที่ซ่อนอยู่ในกระดิ่งลมนั้นดูอ่อนแอ หวาดกลัว ขี้ขลาด และยังน่าสงสารเหมือนสัตว์เล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่ถูกเจ้าของทรมาน หวังตั้นไม่สามารถอธิบายความอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในตัวเขาได้ ตอนที่เขาเห็นใบหน้าในกระดิ่งลมนั้น ปฏิกริยาแรกของเขาไม่ใช่หวาดกลัว แต่เป็นสงสารผู้ชายคนนั้น
“เรื่องคงไม่เรียบง่ายอย่างนั้น” หวังตั้นถือกระดิ่งลมเอาไว้ในมือ และหลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง “นี่ไม่ใช่ว่าพยายามจะใช้ประโยชน์จากความสงสารของพวกเราใช่ไหม? บ้าชะมัด ฉันเกือบจะหลงกลแล้ว!”
เขาสอดนิ้วเข้าไปในกระดิ่งลมแล้วจิ้มหน้าผู้ชายคนนั้น ปลายนิ้วของเขาปัดผ่านใบหน้านั่น “ฉันรู้ นี่ก็แค่แผนการหนึ่ง”
“ช่วยผม! อย่าทิ้งผมไว้! ได้โปรดพาผมไปกับคุณด้วย! ผมขอร้อง! ผมขอร้อง!” คำขอร้องของผู้ชายคนนั้นเข้าหูหวังตั้น หวังตั้นสั่นกระดิ่งลมและมองมันใกล้ ๆ “ฉันบอกไม่ได้เลยแฮะว่าเสียงนี่มาจากไหน กระดิ่งลมนี่ไฮเทคอย่างไม่น่าเชื่อเลย”
“หยุดสั่น! หยุดสั่นได้แล้ว! คุณกำลังจะทำให้หมายักษ์นั่นรู้ตัว!”
“หมายักษ์?” เสียงฝีเท้าดังมาจากบันไดที่นำไปชั้นใต้ดิน กลิ่นเหม็นเน่าที่ต่างออกไปลอยเต็มอากาศ กระทั่งน้ำหอมปรับอากาศจำนวนมากก็ยังไม่สามารถกลบกลิ่นนี้ได้
“วิ่งหนีเร็ว! พาผมไปด้วย! หมากำลังมาแล้ว!” ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นซีดเผือดลงทันตา และเขาก็กลัวมากจนใบหน้าบิดเบี้ยวดูไม่ได้ หวังตั้นนั้นเดิมทีไม่ได้กลัวขนาดนั้น แต่เพราะได้รับอิทธิพลจากผู้ชายที่ในกระดิ่งลม หัวใจของเขาเริ่มสั่น
“ในตึกทั้งหมดที่นี่ มีเพียงตึกเดียวที่มีบ้านหมาอยู่ ดังนั้นที่นี่น่าจะเกี่ยวข้องกับหมาสักตัว เป็นไปได้ไหมว่ามีหมาดุร้ายดูแลที่นี่อยู่จริง ๆ” สัตว์นั้นต่างไปจากนักแสดงที่เป็นคน พวกมันควบคุมไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อเกิดดุร้ายขึ้นมา หวังตั้นเชื่อว่ากระทั่งเฉินเกอก็คงไม่เลี้ยงหมายักษ์เอาไว้ในบ้านผีสิงหรอก “หมาน่าจะหมายถึงอย่างอื่น”
ก่อนที่หวังตั้นจะเข้าใจความหมาย กลิ่นเหม็นเน่าก็ตีเข้าจมูกเขา เงาของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่สุดทางเดิน เขารูปร่างปานกลางและใบหน้ายังอยู่ในเงามืด กลิ่นดูเหมือนจะแผ่ออกมาจากตัวเขา
“วิ่ง! วิ่งหนีเอาชีวิตรอด!” ผู้ชายในกระดิ่งลมกรีดร้อง
“นั่นคือหมาที่ว่าเหรอ?” ลำแสงหลายสายส่องเข้ามาในห้องจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ หวังตั้นมองใบหน้าผู้ชายคนนั้นอย่างละเอียด เขาดูคล้ายกับผู้ชายที่อยู่ในกระดิ่งลม “กระทั่งหน้าตายังคล้ายกันมาก นี่น่าจะเป็นกับดัก หนึ่งคนสร้างบรรยากาศและอีกคนรอโอกาสลงมือ พวกเขาร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย กดดันให้ผู้เข้าชมตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง!”
หวังตั้นพยายามวิเคราะห์ฉาก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใจแผนการคร่าว ๆ ที่บ้านผีสิงของเฉินเกอใช้
“คุณกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? ผมแค่อยากออกไปจากที่นี่! ผมต้องการออกไปจากที่นี่!”
“ผู้ชายตรงหน้าพวกเราน่าจะไม่มีชีวิต มันเหมือนหุ่นสักแบบมากกว่า หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ความสยองขวัญที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ ‘หมา’ นั่น ตัวตนของมันก็แค่สร้างความกดดันแบบหนึ่ง ถ้าฉันทำตามที่ผู้ชายในกระดิ่งลมสั่งจริง ๆ ฉันเกรงว่าพวกเราจะเดินเข้าสู่กับดักของบอสอย่างช้า ๆ แทน!”
คำอธิบายของหวังตั้นทำให้ผู้ชายในกระดิ่งลมพูดไม่ออก เขาฝากความหวังเอาไว้ที่เหล่าผู้เข้าชม แต่ว่าผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเขาผิดไปทั้งหมดเลย
“ผม…”
“ฉันไม่ใช่คนที่ฉันเคยเป็นแล้ว ฉันไม่ได้ถูกหลอกง่าย ๆ แล้ว คราวนี้ ฉันจะเดินกลับออกไปด้วยสองขาของตัวเอง!” โดยไม่เสียเวลาลังเล หวังตั้นดึงกระดิ่งลมลงมาจากผนังและหันหลังวิ่ง
ตอนที่เขาลงมือ หุ่นในทางเดินก็ก้มลงวางแขนขากับพื้น มันพุ่งเข้าหาหวังตั้นราวกับสุนัขหิวโหย!
ถ้าเขาไม่ได้ออกจากห้องตั้งแต่ก่อนหน้านี้แต่เลือกที่จะสำรวจลึกเข้าไปข้างใน เขาก็คงจะจบสิ้นแล้ว หวังตั้นและแฟนสาวของเขาวิ่งนำอยู่ข้างหน้าขณะที่หุ่นครึ่งคนครึ่งสุนัขวิ่งตามหลังพวกเขามา มันพุ่งผ่านความมืดและพุ่งออกจากบ้านมา สัตว์ประหลาดนี่ดูเหมือนจะไม่ถูกจำกัดเอาไว้ในฉาก มันสามารถเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ เมืองเล็ก ๆ นี่ได้อย่างอิสระ!
“มันกำลังตามพวกเรามา!” น้ำเสียงหวาดกลัวของผู้ชายดังเข้ามาในหูหวังตั้น
“มันออกจากฉากย่อยของมันได้เหรอ?” หวังตั้นประหลาดใจ เขาและแฟนสาวหมดแรงแล้ว พวกเขาน่าจะวิ่งไปได้ไม่นานเท่าไหร่ เห็นระยะห่างระหว่างพวกเขาหดสั้นลง หวังตั้นและแฟนสาวก็สุ่มหาตึกหลังหนึ่งแล้วพุ่งเข้าไปในนั้น
ปัง!
ประตูถูกกระแทกปิดอย่างแรง และสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสุนัขก็ดูเหมือนจะพยายามไล่จับพวกเขาอย่างดื้อรั้น
“หวังตั้น ตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไง?” หวังตั้นมองสัตว์ประหลาดที่คลั่งอยู่ด้านนอกประตู และเขาก็รู้สึกกลัว แต่ว่าไม่ได้เผยออกมาที่สีหน้า เขาบังคับให้ตัวเองดูสงบขณะพูด “อย่างที่ฉันคิดเลย– กระดิ่งลมกับหุ่นนี่ร่วมมือกัน! เหตุผลเดียวที่มันไล่ตามพวกเราก็เพราะคำสั่งของกระดิ่งลม!”
“ผมสั่งมันเรอะ?”
หวังตั้นไม่ได้ให้โอกาสกระดิ่งลมได้อธิบายตัวเอง เขาชูกระดิ่งลมขึ้นแล้วขว้างมันออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่เขาวิ่งมา
“เดี๋ยว! รอเดี๋ยวก่อน!” ที่กลางอากาศ กระดิ่งลมกรีดร้องขอความเมตตา แต่ว่าไม่มีใครสนใจเขาอีกต่อไป ดวงตาของสัตว์ประหลาดไล่ตามกระดิ่งลม และมันก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจในตัวหวังตั้นเลยสักนิด
มันวิ่งไปในทิศทางตรงข้ามกับหวังตั้น มันคาบกระดิ่งลมเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ได้กระดิ่งลมหลบหนีอีกครั้ง สัตว์ประหลาดไม่ได้เอากระดิ่งลมกลับไปที่เดิม แต่ว่าแขวนเอาไว้รอบคอตัวเอง
เห็นสัตว์ประหลาดหยุดไล่ตามพวกเขาแล้ว หวังตั้นก็ค่อนข้างตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้ความฉลาดและความกล้าหาญของตัวเองเอาชนะบ้านผีสิงของเฉินเกอได้
“บ้านผีสิงของบอสเฉินเอาชนะได้ ถ้ามีความกล้าและให้ความสนใจกับรายละเอียด ก็มีโอกาสที่จะเคลียร์ฉากได้” หวังนั้นจู่ ๆ ก็ได้รับความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาก เขามองเวลา กำลังคิดว่าบางทีการเข้าชมครั้งนี้อาจจะทำให้ตัวเขาเองบรรลุอีกระดับหนึ่งได้
“ในที่สุดสัตว์ประหลาดนั่นก็ไปแล้ว” แฟนสาวของหวังตั้นวางมือเอาไว้เหนือหน้าอกตัวเอง “พวกเรายอมแพ้ตอนนี้เลยดีไหม? ถ้าพวกเราอยู่ต่ออีก ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีทาง เหลืออีกแค่ราว ๆ สิบนาทีเท่านั้น พวกเราต้องอยู่รอดให้ได้จนจบ!” หวังตั้นและแฟนสาวคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่ว่าประตูห้องนอนแง้มเปิดด้วยตัวเอง เสียงกล่องดนตรีลอยออกมา และเสียงเด็กหญิงพึมพำบางอย่างดังสอดแทรกมากับเสียงเพลง
“แม่กับพ่อเข้าไปในห้องใต้ดิน หลังจากพ่อออกมา พ่อก็ล็อกประตูเอาไว้ พ่อแบกถุงดำใบใหญ่มาด้วย พ่อลูบหัวหนูและบอกว่า ‘เด็กที่ไม่เชื่อฟังจะถูกผีพาตัวไป’
“หนูนอนอยู่บนเตียง คิดถึงที่แม่เคยบอก
“ก่อนขึ้นเตียง หนูต้องดึงผ้าห่มขึ้นดู ก่อนขึ้นเตียง หนูต้องปิดหน้าต่าง ก่อนขึ้นเตียง หนูต้องดูในตู้ ก่อนขึ้นเตียง อย่าลืมดูใต้เตียง… ถ้าหนูนอนคนเดียว
“พ่อแบกถุงออกจากบ้าน ทิ้งหนูไว้
“หนูดูใต้ผ้าห่ม ดูนอกหน้าต่าง ดูในตู้ ดูใต้เตียง แต่หนูหาแม่ไม่เจอ”
เสียงดนตรีประหลาดรวมกับเสียงไร้เดียงสาของเด็กหญิงสร้างความรู้สึกน่าขนลุก เสียงใหม่นี่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น ทำให้ทั้งหวังตั้นและแฟนสาวปิดปากลงทันทีขณะหันไปมองห้องนอนพร้อมกัน
กล่องดนตรียังเล่นอยู่ และเสียงผู้หญิงอีกเสียงก็ดังขึ้น
“ดวงตาแดงก่ำกำลังจับตามองหนูอยู่ หนูไม่เห็นแม่ แต่แม่เห็นหนู
“แม่ขยับตัวไปตามสายตาหนู แม่ซ่อนอยู่ใต้เตียง อยู่ในตู้ อยู่หลังหน้าต่าง ก่อนจะคลานอยู่ในผ้าห่มหนู
“แม่นอนอยู่ด้านหลังหนูและเหนือตัวหนู แต่ว่าหนูก็ยังมองไม่เห็นดวงตาแดงก่ำของแม่”