Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 138 ภาคีพาลาดิน
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เหล่าเกมเมอร์ต่างพากันจับตามอง ความตื่นเต้นและตกใจจากการปรากฏขึ้นมาของอาร์ติแฟคท์ยังไม่จางหาย พวกเขาก็ต้องมาเจอกับสงครามป้องกันแคมป์ที่มิดซัมเมอร์จะต้องเผชิญอีก ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่ผ่านเข้ามาในเมืองเทียนหลงต่างก็มีเหตุผลและจุดประสงค์เดียวกัน
นั่นก็คือเพื่อที่จะรับชมสงครามป้องกันแคมป์ครั้งแรกนี้!
หลังจากที่การประมูลครั้งแรกที่ตำหนักขุมทรัพย์จัดขึ้น จากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้เมืองเทียนหลงมีผู้เล่นตัดสินใจที่จะอยู่ในเมืองนี้มากขึ้นกว่าเดิมจนกลายเป็นเมืองที่มีผู้เล่นแออัดเป็นอันดับสองเลย นั่นเพราะพวกเขาคิดว่าเมืองแห่งนี้คือเมืองที่จะต้องมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ แน่
เซียวเฟิงไม่ได้รีบร้อนกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเพราะมันยังเช้า รวมไปถึงมอนสเตอร์ที่จะเข้าโจมตีก็ไม่ได้เกิดก่อนเวลาด้วย นอกจากนี้ ตอนนี้เขาเลเวลนำซีเหมินชุยเสวียไปหนึ่งเลเวลแล้ว และ 1 เลเวลนี้มันก็ทำให้อีกฝ่ายตามเขาไม่ทันได้ง่าย ๆ ในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน
หลังจากคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจที่จะไปจัดการกับผู้คุ้มกันประจำเมืองแห่งความโศกเศร้าแทน เพื่อที่จะได้มาซึ่งอาร์ติแฟคท์ที่พลาดไปก่อนหน้านี้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมุ่งหน้าไปยังแนวปะทะของสงครามเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากกัปตันโบลตัน
“ว่ายังไงนะครับ? กัปตันโบลตันถูกเรียกตัวกลับไปที่วิหารเหรอ?”
ไม่เพียงแต่กัปตันโบลตันจะไม่อยู่แล้ว เหล่าพาลาดินที่ควรจะประจำการอยู่ที่นี่ก็หายไปหมดเลยด้วย ดูเหมือนพวกเขาจะถูกเรียกตัวกลับไปกระทันหันเหลือไว้เพียงทหารจักรพรรดิเท่านั้น…
ช่วยไม่ได้ ท้ายสุดเซียวเฟิงจึงต้องกลับไปยังเมืองเทียนหลงเพื่อเข้าไปที่สาขาย่อยของวิหารแห่งแสงแทน
“ขอแสดงความนับถือ ท่านอาร์คบิชอป”
มีผู้เล่นมากมายที่กำลังทำภารกิจเนื้อเรื่องอยู่ต้องจบภารกิจไปแบบงง ๆ หลังจากที่เซียวเฟิงส่งภารกิจเกี่ยวกับเมืองแห่งความโศกเศร้าล่าสุดไป ซึ่งตัวเซียวเฟิงเองก็เพิ่งรู้หลังจากที่ส่งภารกิจไปแล้วเช่นกัน
ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปยังเทวสถานหลัง สีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ เมื่อพบเข้ากับบิชอปไคเซอร์ที่เดินเข้ามาหาและยิ้มให้
“ท่านอาร์คบิชอป พวกเรารอท่านมาพักใหญ่ ๆ แล้ว ได้โปรดให้ข้านำทางท่านด้วยเถิด”
รอยยิ้มของบิชอปไคเซอร์มันสว่างไสวขณะเดินนำเซียวเฟิงไปยังเทวสถาน และมันทำให้ผู้เล่นที่มาส่งภารกิจที่นี่ต่างหันมองเขาด้วยความประหลาดใจ “NPC คนนั้นเป็นบิชอปของวิหารแห่งแสงไม่ใช่หรือไงน่ะ?”
ระหว่างที่เดินเข้าไป เซียวเฟิงก็ตระหนักได้ว่า เขาอาจจะได้รับภารกิจใหม่ก็ได้ แต่ในเมื่อช่วงบ่ายนี้เขาว่าง ชายหนุ่มจึงไม่ได้ซีเรียสหากจะได้รับภารกิจเพิ่ม อนึ่งก็เพราะเขายังไม่มั่นใจว่ากัปตันโบลตั้นจะสามารทำเรื่องยิ่งใหญ่อย่างการปัดเป่าหมอกแห่งสงครามที่เป็นต้นตอที่ทำให้พลังชีวิตของผู้เล่นลดเป็นวินาทีได้หรือเปล่า ยังไงเสียสิ่งนั้นมันก็น่ากลัวกว่าบอสเสียอีก
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่เคารพ ท่านผู้นี้คือ ท่านอาร์คบิชอป เขาคือนักผจญภัยผู้ได้รับสมญานามจากท่านเทพธิดาแห่งแสง เขาคือผู้ที่ฝ่าหมอกแห่งสงครามเข้าไปและค้นพบเมืองแห่งความโศกเศร้าได้สำเร็จ ถัดจากนี้ไป เขาคือผู้ที่จะนำทัพเหล่าภาคีพาลาดินของพวกเรา เพื่อเข้าไปผจญภัยในเมืองแห่งความโศกเศร้าสืบไป”
บิชอปไคเซอร์พูดขึ้นกับเหล่าภาคีพาลาดินที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ภายในเทวสถานแห่งนี้ ซึ่งมีราว ๆ 1,000 คนได้ พวกเขาทั้งหมดสวมชุดเกราะสีเงินที่เปล่งออร่างดงามกันทุกคน
กัปตันโบลตันเป็นผู้นำสูงสุดของภาคีพาลาดินเหล่านี้ เขามีความสามารถเทียบเท่าบอสระดับทองเลเวล 30 ไม่ต่างกับผู้นำหน่วยอีก 2 คนเลย
นอกจากนี้ภายในภาคีพาลาดิน ยังมีผู้นำอีก 10 คนที่อยู่ในระดับบอสสีเงินเลเวล 30 ที่ทำหน้าที่คอยควบคุมเหล่าพาลาดินระดับทั่วไปทั้งหมดอีกที แต่ถึงจะบอกว่าเป็นพาลาดินระดับทั่วไป พวกเขาก็มีพลังเทียบเท่ากับบอสระดับธรรมดาเลเวล 30
หรือถ้าให้พูดง่าย ๆ ภาคีพาลาดินเหล่านี้มีพลังที่น่ากลัวมาก ๆ เซียวเฟิงไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมบิชอปไคเซอร์ถึงตัดสินใจให้เขาดูแลภาคีพาลาดินเหล่านี้
“ผจญภัยในเมืองแห่งความโศกเศร้าเหรอครับ? เยี่ยมไปเลย!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของบิชอปไคเซอร์จนจบ เซียวเฟิงก็ยอมรับสิ่งนั้นด้วยพึงพอใจแบบสุด ๆ ด้วยกองทัพอันทรงพลังที่อยู่ด้านหลังเขานี้ ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องกังวลแล้วว่า กัปตันโบลตันจะสามารถปราบผู้คุ้มกันประจำเมืองแห่งความโศกเศร้าได้หรือเปล่า
“เอาล่ะ งั้นมาเริ่มกันเลยดีกว่า”
เหล่าภาคีพาลาดินทั้งหมดต่างยืนอย่างสงบนิ่ง จะมีก็แต่เสียงของชุดเกราะที่กระทบกันบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น กัปตันโบลตั้นที่เพิ่งกลับเข้ามาเองก็มองไปยังพวกเขาด้วยสายตาที่แน่วแน่ ราวกับว่ากำลังมองเห็นสงครามขนาดใหญ่ที่ใกล้เข้ามาก็มิปาน
เซียวเฟิงคิดว่าที่ทุกคนดูเคร่งเครียดเป็นเพราะการมีอยู่ของบิชอปไคเซอร์ และเขาก็คิดถูก เพราะเมื่อบิชอปไคเซอร์ออกไปแล้ว บรรยากาศภายในนั้นก็ผ่อนคลายลงไปทันที
“ท่านโบลตัน ไม่ต้องเคร่งเครียดขนาดนั้นก็ได้”
ได้ยินเช่นนั้น กัปตันโบลตันก็ตอบกลับด้วยความรู้สึกที่ยังกดดันอยู่อีกนิดหน่อย “ท่านอาร์คบิชอป ที่ท่านยังร่าเริงได้ก็เพราะว่าท่านเป็นนักผจญภัยที่ไม่เกรงกลัวต่อความตาย ต่างจากพวกเรา ที่ภารกิจบางอย่างสามารถทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อเลย เมื่อไหร่ที่พวกเราต้องเข้าไปในดินแดนแห่งความมืด พวกเราจะต้องตายแน่ ๆ”
“ไม่ต้องกังวล ไปกับผมพวกท่านจะไม่เจอปัญหาอะไรทั้งนั้น” เซียวเฟิงไม่ได้พูดเล่น แสงศักดิ์สิทธิ์ของเขาสามารถฟื้นพลังชีวิตได้เป็นเปอร์เซ็นต์ แถมพาลาดินเหล่านี้ยังแข็งแกร่งมาก ๆ ด้วย ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางถูกฆ่าตายแน่ ๆ เว้นเสียแต่ขอให้ทำ
“ข้าก็หวังเช่นนั้น”
แม้จะมีระดับเทียบเท่ากับบอสเลเวล 30 แต่กัปตันโบลตันก็ยังคงต้องถอนหายใจเพราะรู้สึกว่าภารกิจในครั้งนี้มันออกจะยากเกินไปไม่น้อย ผู้นำอีก 2 ฝ่ายคนหนึ่งเป็นชายส่วนอีกคนหนึ่งเป็นหญิงต่างก็ยืนอยู่ในความสงบ ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็สามารถเดาอารมณ์ของพวกเขาได้เลยว่า มันเป็นเพราะทั้งหมดนี้ยังไม่เชื่อในตัวเขาถึงได้ไม่ยอมพูดอะไร
และที่ยังไม่เดินออกไปเอาเสียดื้อ ๆ ก็เพราะกริยามารยาทที่สง่างามของพาลาดินที่ถูกสั่งสอนมา
เขาไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจและนำทัพภาคีพาลาดินไปยังแท่นเทเลพอร์ตของเมืองหลี่รั่ว จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งความมืดด้วยความเร็วสูงสุด
ด้วยจำนวนที่มากมายนั้น ทัพของพาลาดินสีเงินนี้จึงมุ่งหน้าดั่งศรสีเงินที่กำลังพุ่งหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว ซึ่งดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้เล่นที่พบเห็นได้เป็นอย่างดี
เซียวเฟิงพึงพอใจกับภาคีพาลาดินที่เคลื่อนทัพด้วยความเร็วสูงเช่นนี้มาก ๆ แต่ไม่ว่าเหล่าพาลาดินจะขี่สัตว์ขี่ที่ระดับสูงขนาดไหน พวกเขาก็ยังถูกทิ้งไว้ด้านหลังเซียวเฟิงอยู่ตลอด รวมถึงกัปตันโบลตันด้วย นั่นเพราะสัตว์ขี่ของเขาเสี่ยวเสวี่ยนั้นยังเร็วกว่าสัตว์ขี่เหล่านี้มากเวลาสยายปีกออกแล้ว
“ท่านอาร์คบิชอป ข้าได้ยินมาว่าเหล่ายูนิคอร์นบนหุบเขาแห่งแสงสว่างกำลังวุ่นวายกันไปหมดเพราะเสียเจ้าหญิงไป…”
กัปตันโบลตันที่ตามมาจนทันเอ่ยถามขึ้นขณะจ้องมองไปยังเสี่ยวเสวี่ยด้วยความสงสัย
“ท่านจำผิดแล้วล่ะ”
สีหน้าของเซียวเฟิงมืดดำลงไปทันที เขาสัมผัสขนที่หัวของเสี่ยวเสวี่ยเบา ๆ เป็นสัญญาณให้มันเก็บปีกไปซะ ยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นหนึ่งในสัตว์เทพ ที่มีธาตุเป็นธาตุแสงและถือว่าสูงส่งในวิหารแห่งแสงด้วย เซียวเฟิงไม่อยากจะมีปัญหาหากมีคนรู้ว่าเขานำเจ้าหญิงแห่งยูนิคอร์นมาเป็นสัตว์ขี่ของตนเอง
ไม่นานนัก ภาคีพาลาดินก็เดินทางมาถึงดินแดนแห่งความมืด เพราะเซียวเฟิงคุ้นเคยกับที่นี่ดีในระดับหนึ่งแล้ว เขาจึงสามารถนำทัพพาลาดินมาเจอหมอกแห่งสงครามได้อย่างง่ายดาย
“นั่นมันหมอกแห่งสงคราม! ข้าได้ยินมาว่าหมอกนี้จะนำพามาซึ่งความมืดมิด แถมภายในหมอกแห่งสงครามนั้นก็มีอันตรายมากมายซ่อนอยู่ด้วย!”
“เปิดจุดเทเลพอร์ตเลย เหล่าบิชอปอยากจะมาที่นี่กันแล้ว และต้องเป็นพวกเขาเท่านั้นที่จะสามารถปัดเป่าหมอกแห่งสงครามได้”
ผู้นำทั้งสองหยิบนำหินที่ดูเหมือนหยกออกมาและตั้งมันไว้ด้วยกัน
เซียวเฟิงตกใจ เพราะเขารู้สึกคุ้นเคยกับหินที่นำมาวางเช่นนี้ แต่เพิ่งจะรู้ว่ามันสามารถนำมาเปิดจุดเทเลพอร์ตได้ เขามีพวกมันเยอะมาก ๆ เลยเพราะเก็บมาจากใต้ทะเลสาปในป่ามู่กวาง
ชายหนุ่มไม่คาดคิดเลยว่าเหล่าพาลาดินจะพกมันติดตัวไว้เช่นนี้ และจากบทสนทนาของคนเหล่านี้ เป็นไปได้ว่ายังมีชนชั้นสูงในวิหารแห่งแสงอีกหลายคนที่พกหินเหล่านี้ติดตัวไว้ด้วยไม่เพียงแต่พวกบิชอปเท่านั้น
คงจะเป็นเพราะหน้าที่และตำแหน่งที่สูงส่ง มันเลยทำให้เหล่าบิชอปไม่สามารถออกเดินทางได้อย่างรวดเร็วเฉกเช่นพาลาดินที่มีม้าศึกคู่ใจของตนเอง และยิ่งการเดินทางไกล ๆ เช่นนี้ พวกเขาจึงเลือกที่จะใช้จุดเทเลพอร์ตแทน
จุดเทเลพอร์ตที่ 2 ผู้นำภาคีพาลาดินเปิดไว้นั้นไม่ได้ใหญ่มาก มันมีขนาดเพียง 1 ตารางเมตรเท่านั้น และเมื่อติดตั้งเสร็จ บิชอป 5 คนที่สวมผ้าคลุมสีแดงก็ปรากฏตัวออกมา โดย 1 ใน 5 คนนั้นมีบิชอปรีเนาท์ที่เป็นคนรู้จักเก่าของเซียวเฟิงอยู่ด้วย
“ท่านบิชอป ได้โปรดเริ่มการชำระล้างเลยครับ”
ไม่เฉไฉไปมา กัปตันโบลตันเดินเข้าไปหาบิชอปทั้ง 5 พร้อมกับขอให้พวกเขาเริ่มทำงานปัดเป่าหมอกแห่งสงครามเพื่อจะเข้าไปภายในทันที
ทุก ๆ คนมีสีหน้าเคร่งเครียดกันหมด บิชอปในชุดสีแดงทั้ง 5 คนยกคทาของตนเองขึ้น คทาเหล่านั้นเปล่งแสงสว่างจ้า และแสงสว่างเหล่านี้เองที่ทำให้หมอกสีดำมืดตรงหน้าสาดส่องให้สลายราวกับโดนไฟเผาอย่างต่อเนื่อง
“ท่านบิชอปรีเนาท์ ท่านรู้หรือเปล่าว่าสิ่งนี้คืออะไร?”
ขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับการปัดเป่าหมอกแห่งสงคราม เซียวเฟิงก็ลากตัวบิชอปรีเนาท์มาอีกฝั่งหนึ่งและรีบถามคำถามหลังจากหยิบเอาหินแผ่นหินที่ใช้สำหรับเปิดจุดเทเลพอร์ตออกมา
“เอ่อ มันเป็นแผ่นหินโบราณที่ใช้สำหรับเปิดจุดเทเลพอร์ต… ท่านไปได้มันมาจากไหนเนี่ย?”
“ผมเจอมันระหว่างทางน่ะ” ชายหนุ่มรีบตอบด้วยเสียงทั่ว ๆ ไป
“ทางที่ท่านว่านั่นเป็นทางที่ตัดผ่านขุมทรัพย์หรืออย่างไร? แผ่นหินเทเลพอร์ตนี่น่ะ ไม่เหมือนกับแผ่นหินทั่ว ๆ ไปหรอกนะ มันไม่ได้ใช้เพื่อเทเลพอร์ตผู้คนหากแต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่บรรจุพลังงานมหาศาลเอาไว้ การเทเลพอร์ตแบบทั่ว ๆ ไปไม่สามารถแบกรับพลังงานอันมหาศาลได้ และหากมันเกิดความผิดพลาด นั่นอาจจะหมายถึงหายนะได้เลย เนื่องจากพลังงานจากอวกาศที่ถาโถมเข้ามา”
“ขนาดนั้นเชียว? ท่านมั่นใจเหรอ?”
เซียวเฟิงรู้สึกตกใจขึ้นมาอีกครั้ง “มีจุดเทเลพอร์ตขนาดใหญ่อยู่ใต้ทะเลสาปมู่กวาง… สิ่งที่จะใช้เคลื่อนย้ายมันต้องระดับไหนกันนะ?”
ทันใดนั้นภาพของรูปปั้นโคลนขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมาในหัว “หรือรูปปั้นโคลนนั่นจะเป็นเป้าหมายที่จะเทเลพอร์ต?”
เพราะมันเเป็นสิ่งแรกที่เขารู้สึกไม่ไว้วางใจ ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันน่าสงสัยเป็นอันดับแรก ๆ
บิชอปทั้งห้านั้นเปล่งประกายแสงเหมือนกับหลอดไฟ พวกเขาค่อย ๆ ปัดเป่าหมอกแห่งสงครามที่อยู่ ณ ทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไป พวกมันเหมือนกับหิมะที่ถูกละลายไปอย่างช้า ๆ โดยที่มีภาคีพาลาดินเดินตามหลังไป ครั้งนี้พวกเขาไม่เป็นเป้าสายตาจากผู้เล่นก็เพราะ ภารกิจของผู้เล่นถูกตีไปว่าสำเร็จแล้ว ดังนั้นจึงมีผู้เล่นจำนวนน้อยมากที่อยู่ในละแวกนี้
อย่างไรก็ตาม ก้าวเดินของบิชอปนั้นค่อนข้างช้ามากเลยทีเดียว ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เซียวเฟิงรุดหน้าเข้าไปในหมอกแห่งสงครามนี้ครั้งก่อน เขาใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะฝ่ามันเข้าไปได้ เพราะงั้นถ้าหากภาคีพาลาดินยังไม่เริ่มเร่งความเร็วล่ะก็ มีหวังภารกิจนี้เสร็จไม่ทันเที่ยงแน่ ๆ
“ท่านบิชอปเหล่านี้ไม่มีสัตว์ขี่กันเหรอครับ? มันน่าจะเร็วกว่านี้นะถ้าพวกเขาใช้สัตว์ขี่แทนการเดิน” เซียวเฟิงอดไม่ได้ที่จะเสนอ เพราะหมอกแห่งสงครามนี่ดู ๆ แล้วก็น่าจะถูกปัดเป่าไปเลยแท้ ๆ เมื่อโดนโฮลี่ไลท์ส่องถึง ในเมื่อเหล่าพาลาดินยังไม่รีบตามเข้าไปทันที ก็ให้บิชอปเหล่านี้ยืมม้าหน่อยจะเป็นอะไรไป
“มันเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาน่ะครับถ้าหากจะเร่งความเร็วขึ้น ถ้าหากไม่ได้พลังของเทพธิดาแห่งแสงช่วยล่ะก็ พวกเขาเร่งความเร็วไม่ได้เด็ดขาดเลย”
บิชอปรีเนาท์ตอบ อันที่จริงนี่เขาก็รู้ด้วยว่าอีกไม่นานเหล่าบิชอปตรงหน้านี้ก็ต้องพักแล้วเหมือนกัน เนื่องจากพวกเขาใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ปัดเป่าหมอกแห่งสงครามมาหลายนาทีแล้ว หากทำต่อเนื่องโดยที่ไม่พักกันสักหน่อย มันจะกลายเป็นพวกเขาแทนที่ย่ำแย่
“พวกท่านนี่อ่อนแอกันจัง…โอ้ ไม่สิ ผมหมายถึง เห็นพวกท่านยอมทุ่มเทแรงกายและแรงใจกันขนาดนี้แล้วผมก็ซาบซึ้งใจ เอ่อ ถ้ายังไงท่านสามารถสอนสกิลนี้ให้ผมได้หรือเปล่า? ผมจะได้ช่วยปัดเป่าด้วยอีกแรง”
เซียวเฟิงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วและตัดสินใจที่จะขอเรียนรู้สกิลนี้แทน
“อืมมม…นั่นฟังดูน่าสนใจมากเลยทีเดียว”
เขาไม่คาดคิดเลยว่าบิชอปรีเนาท์จะเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเช่นนี้ ในขณะที่บิชอปคนอื่น ๆ ต่างก็ครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและหันคทาของพวกเขาชี้มาทางเซียวเฟิง ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงของระบบก็ดังขึ้น
[ท่านได้เรียนทักษะชีวิตใหม่ ‘การปัดเป่า’!]
การปัดเป่า (ระดับพื้นฐาน : 0/100)
เอฟเฟ็ค : ยกเลิกผลของเวทมนตร์ต่อเนื่อง, ค่าสถานะหรือสกิล
คูลดาวน์ : 0
ใช้มานา : 50 หน่วย กรณีใช้ต่อเนื่องจะใช้มานาวินาทีละ 1%
มันถือเป็นสกิลที่ดีเลยทีเดียว เอฟเฟ็คของมันสามารถปัดเป่าผลของสกิลที่ส่งผลต่อเนื่องได้ไม่ว่าจะเป็น คำสาป เผาไหม้ เยือกแข็งรวมไปถึงเลือดไหลด้วย
เท่าที่ดู ๆ แล้วข้อเสียของมันอย่างเดียวก็น่าจะเป็นการที่มันใช้มานามากเกินไปนั่นแหละ ในขณะที่โฮลี่ไลท์ใช้มานาเพียง 30 หน่วยต่อการร่ายแต่ละครั้ง การปัดเป่าใช้มากถึง 50 หน่วยแถมยังกินมานาเพิ่มวินาทีละ 1% หากใช้ต่อเนื่องด้วย
เพราะงั้นการที่เหล่าบิชอปสามารถใช้มันได้ต่อเนื่องหลายนาทีเช่นนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว อีกทั้งมันยังเป็นเครื่องยืนยันด้วยว่าอัตราการฟื้นฟูมานาของพวกเขาจัดว่าเร็วมาก ๆ
“ให้ผมช่วยนะ”
เซียวเฟิงเดินไปตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาเข้าไปยืนแทนเหล่าบิชอปและเริ่มปัดเป่าหมอกแห่งสงครามบ้าง เขายกคทาแห่งการรักษาขึ้นสูง ที่ยอดคทานั้นเปล่งแสงประดุจดวงอาทิตย์ก่อนจะโดนจับสะบัดไปมาเพื่อปัดเป่าหมอกแห่งสงครามออกไป เพียงแค่สะบัดครั้งเดียว มานาของเซียวเฟิงก็ไหลเป็นน้ำแล้ว
เขาใช้น้ำแห่งการชำระล้าง โดย 1% ที่ต้องเสียไปนั้น หากเป็นพลังชีวิตมันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่กับมานานั้นไม่ใช่ เซียวเฟิงสามารถเพิ่มพลังชีวิตตนเองได้เมื่อเขาสูญเสียมัน หรือต่อให้ต้องเสียพลังชีวิต 1% ทุกวินาที เขาก็ยังมีพลังชีวิตมากพอที่จะยืนหยัดได้ถึงครึ่งชั่วโมงเลย
อย่างไรก็ตาม เซียวเฟิงไม่สามารถเพิ่มมานาให้ตนเองได้ มากสุดเขาก็จำเป็นต้องใช้น้ำแห่งการชำระล้าง และนั่นหมายถึงเขาจะสามารถรักษามานาทั้งหมดไว้ในเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
“เสี่ยวเสวี่ย วิ่งเลย!”
เนื่องจากตัวเซียวเฟิงนั้นไม่ใช่คนโง่ที่จะเดินเข้าไปช้า ๆ เพราะงั้นเขาจึงเรียกเสี่ยวเสวี่ยออกมาและขี่มันวิ่งเข้าไปด้านใน
“ท่านอาร์คบิชอป ระวังตัวด้วยครับ!”
“เร็วเข้า รีบตามเขาไปเร็ว!”
กัปตันโบลตันและคนอื่น ๆ ต่างพากันตกใจที่จู่ ๆ เซียวเฟิงก็วิ่งฝ่าหมอกแห่งสงครามเข้าไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วยิ่งไม่มีใครในภาคีพาลาดินที่รู้ว่าด้านในมีอันตรายอะไรบ้าง พวกเขาจึงต้องรีบวิ่งตามเซียวเฟิงเข้าไปให้เร็วที่สุดอย่างเลี่ยงไม่ได้
“มันมีแค่บอสตัวเล็ก ๆ เท่านั้นในหมอกนี่! แต่ถ้ายังไงก็ฝากพวกท่านด้วยก็แล้วกัน!”
เสียงของเซียวเฟิงลอยย้อนกลับมาอย่างคลุมเครือ สิ่งที่ปรากฏตัวแทนที่จะเป็นเซียวเฟิงนั้นกลับเป็นอันเดธแมงมุม บอสทั่วไปเลเวล 30 ที่แม้จะตัวใหญ่แต่ก็อ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าภาคีพาลาดินเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้หยุดฝีเท้านั้น และมันก็ทำให้อันเดธแมงมุมถูกขบวนทัพศรสีเงินชนตายไปโดยปริยาย
แม้ว่าเซียวเฟิงจะสามารถใช้สกิลปัดเป่าได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่พื้นที่ที่เขาปัดเป่าได้ก็มากมายเสียยิ่งกว่าที่เหล่าบิชอปทั้งห้าปัดเป่ากันมาพักใหญ่ ๆ เสียอีก ดังนั้นความสำเร็จของภารกิจจึงก้าวหน้าเร็วมากขึ้นเมื่อเซียวเฟิงเป็นคนนำเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอครับ ท่านอาร์คบิชอป?”
ขณะที่เซียวเฟิงกำลังพักเหนื่อยหลังจากที่มีคนอื่นมาแทนที่เขาแล้ว บิชอปรีเนาท์ก็รีบเดินเข้ามาแล้วถามชายหนุ่มด้วยความสงสัยหลังเห็นเซียวเฟิงรีบเข้ามาขนาดนี้
“ไม่มีอะไรครับ ยังไงก็เถอะ ท่านพอจะช่วยสอนสกิลอื่นให้ข้าด้วยได้หรือเปล่า?” เซียวเฟิงส่ายหน้า เขาในตอนนี้อยากเรียนรู้สกิลอื่นให้มากขึ้นไปกว่านี้อีก!