Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 292 ฆ่ามันซะ
บทที่ 292 ฆ่ามันซะ
บทที่ 292 ฆ่ามันซะ
“อะไรวะเนี่ย!? มันเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?”
ซูเจี่ยวและผู้คนที่อยู่แนวหลังต่างพากันตกตะลึง ในขณะที่ชายชุดดำที่อยู่ด้านหน้านั้นกำลังพากันหนีด้วยความหวาดกลัวเซียวเฟิงผู้ที่กำลังเดินเข้ามาราวกับปีศาจ
ไม่มีใครกล้าหยุดเซียวเฟิงอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้มันเลยทำให้ชายหนุ่มสามารถเดินเข้ามาภายในตัวอาคารได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเห็นว่าซือเยี่ยจิ๋งถูกจับพร้อมกับบนใบหน้ามีรอยฝ่ามือประทับอยู่ ความใจเย็นก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกโดยทันที
เคร้ง!
กลุ่มแสงสีเงินถูกเขวี้ยงออกมาจากเซียวเฟิงเข้าใส่ชายชุดดำที่จับตัวเธออยู่
“อั่ก!!”
ด้วยเสียงร้องนั้น เจ้าของเสียงก็ปล่อยมือจากหญิงสาวอย่างรวดเร็ว และเพราะซือเยี่ยจิ๋งยืนอยู่ใกล้เขา มันเลยทำให้เธอเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นคือเศษเหรียญที่ถูกปาด้วยความเร็วสูงจนมันสร้างบาดแผลบนแขนของชายผู้นั้นได้ราวกับเป็นกระสุนปืน ด้วยความรุนแรงของมัน เลือดสีแดงฉานก็พุ่งออกมาและเลอะตัวเธอไปหมด
ทันทีทันใด ซือเยี่ยจิ๋งก็ปลีกตัวออกมาจากชายผู้นั้นแล้วเข้าไปดึงตัวหลิวเฉียงเหว่ยไปหลบหลังเซียวเฟิงอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดอะไร เซียวเฟิงก็หันไปมองรอยฝ่ามือบนใบหน้าสวยนั้นก่อนจะถามด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
“พวกนั้นทำเหรอ?”
“อือ…”
ซือเยี่ยจิ๋งไม่ได้พูดอะไรมากนัก เธอมองไปยังนัยน์ตาของเซียวเฟิง มันอดไม่ได้ที่จะทำให้เธอรู้สึกประหม่าจนตอบไปได้แค่ ‘อือ’ สั้น ๆ
เซียวเฟิงพยักหน้า จากนั้นหันไปมองเหล่าชายชุดดำหลายร้อยคนที่เป็นคนของแก๊งชิงหลงภายในห้องล็อบบี้ แม้แววตาของเขาจะค่อนข้างใจเย็น แต่ความเยือกเย็นที่แผ่ออกมามันก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบหวิวขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
ทุกคนภายในห้องล็อบบี้นี้ต่างรู้สึกถึงบรรยากาศนี้กันหมด รวมไปถึงพนักงานของมิดซัมเมอร์กรุ๊ปที่รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิภายในห้องนี้กำลังลดฮวบราวกับว่าจู่ ๆ ฤดูก็เปลี่ยนจากหน้าร้อนเป็นหน้าหนาวอย่างกะทันหัน ความเย็นเหล่านั้นก่อตัวขึ้นรุนแรงจนหนาวไปถึงไขสันหลัง!
เคร้ง!
แสงสีเงินพุ่งออกจากมือของชายหนุ่มอีกครั้ง และคราวนี้เป้าหมายของมันก็คือกล้องวงจรปิดที่อยู่มุมเพดาน เสียงตู้มตามมาหลังจากที่แสงสีเงินนั้นเข้าปะทะกับตัวเลนส์กล้องจนมันเสียหาย
“บอกให้ทุกคนกลับขึ้นไปด้านบนซะ” ขณะนั้นเอง เซียวเฟิงก็พูดขึ้นอย่างใจเย็นด้วย
“พนักงานมิดซัมเมอร์ทุกคน กลับขึ้นไปด้านบนซะ!” หลิวเฉียงเหว่ยที่ได้สัมผัสความเย็นยะเยือกนี้ มันทำให้เธอนึกถึงวันแรกที่ได้เจอกับเซียวเฟิง จากนั้นเธอก็พูดเสริมเข้าไปด้วยความกลัว “แล้วก็ทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วย! ไปซะ!”
แม้เหล่าพนักงานของมิดซัมเมอร์กรุ๊ปจะไม่เข้าใจว่าประธานของพวกตนกำลังพูดเรื่องอะไร แต่เพราะเป็นคำสั่งของประธาน พวกเขาจึงไม่สามารถขัดขืนได้ ด้วยเหตุนี้เหล่าพนักงานจึงรีบช่วย ๆ กันประคองตัวเองขึ้นมาแล้วทยอยกันไปขึ้นลิฟต์เพื่อออกจากชั้นนี้กันอย่างรวดเร็ว
“พวกแกจะกลัวอะไรกันวะ! มีกันตั้งเยอะจะกลัวอะไรกันอีก!”
ความเย็นในอากาศนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ามันจะแช่แข็งทั้งแขนและขาผู้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ให้ได้ ซูเจี่ยวไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เพราะงั้นจึงรีบตะโกนสั่งลูกน้องของเขาทันที
“ไปจัดการมันให้หมดเลย!”
ทันใดนั้น ชายชุดดำคนหนึ่งก็กัดฟันแล้ววิ่งตรงไปด้านหน้า เขายกแท่งเหล็กขึ้นและฟาดลงไปที่หัวของเซียวเฟิงเต็มแรงหมายจะฆ่าเซียวเฟิงให้ตาย!
ผัวะ!
อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นก็ถูกเซียวเฟิงถีบอย่างรุนแรงก่อนจะได้เข้าถึงตัวเสียอีก และแรงถีบที่รุนแรงนั้นก็มากพอที่จะทำให้กลางอกที่ถูกถีบยุบลงไปเป็นรอยเท้าด้วย
ตึ้ง!
ร่างของชายคนนั้นกระเด็นถอยกลับมาราวกับกระสุนปืนใหญ่ และด้วยเสียงการปะทะกันรุนแรง กำแพงที่อยู่เบื้องหลังก็ถูกกระแทกจนสะเทือนไปหมด สีขาวที่ถูกทาฉาบไว้ ตอนนี้มันถูกสีแดงของเลือดสาดกระเซ็นราวกับเป็นงานศิลปะที่เกิดจากเลือดโดยที่เจ้าของเลือดไม่มีโอกาสได้ลืมตามาดูความวิจิตรงดงามนี้อีกต่อไป…
“ฆะ…ฆ่ามันซะ!”
ครั้งนี้ชายชุดดำเลือกที่จะเข้าไปพร้อมกันจากหลายทิศทาง แถมพวกเขาก็ยังง้างแท่งเหล็กในมือหมายจะฟาดเซียวเฟิงให้สลบก่อนที่เจ้าตัวจะรู้ตัว
เคร้ง!
ในขณะที่พวกเขาคิดว่าท่อนเหล็กนั้นต้องฟาดโดนหัวเซียวเฟิงแน่ ๆ ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเสียงที่เกิดตามมามันเป็นเสียงของแท่งเหล็กกระทบกันเอง
เมื่อพวกเขาหันหน้าออกมาเพื่อมองหาเซียวเฟิง เซียวเฟิงก็ยื่นมือขึ้นไปจับคอของชายคนนั้นพร้อมยกขึ้นสูงด้วยมือข้างเดียว
“ค่อก แค่ก!”
ชายชุดดำผู้นั้นพยายามดิ้นรน แต่ถึงอย่างนั้นร่างของเขาก็ยังถูกยกขึ้นสูงจากพื้นอยู่ดีจนตอนนี้เจ้าตัวเริ่มจะหน้าแดงเพราะหายใจไม่ออกแล้ว
กร๊อบ!
ทว่าความเจ็บปวดนี้ก็ไม่ได้อยู่นานนัก เพียงแค่เซียวเฟิงจับคอของชายคนนั้นหมุนเบา ๆ เสียงกระดูกคอหักก็ดังสนั่นออกมา ร่างนั้นหยุดดิ้นรนในขณะที่ใบหน้าของชายหนุ่มก็หันกลับมาอยู่ด้านหลังด้วย ชัดเจนเลยว่าชายคนนี้ได้ตายลงไปแล้ว
โครม!
เซียวเฟิงโยนร่างที่ไร้วิญญาณนั้นไปทางอื่นพร้อมกับมองหาคนของแก๊งชิงหลงคนอื่นต่ออย่างเยือกเย็น ชายชุดดำกว่าร้อยคนที่รวมตัวกันอยู่ ณ ที่นี้ต่างพากันตกตะลึงเพียงเพราะเซียวเฟิงคนเดียว
“กรี๊ด!”
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ซือเยี่ยจิ๋งที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาทันที แม้ว่าเธอจะปิดปากไว้อยู่ เธอมองไปยังแผ่นหลังของเซียวเฟิงสลับกับศพของชายชุดดำที่กองอยู่บนพื้น ราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอเซียวเฟิงที่เป็นเซียวเฟิงจริง ๆ
“พวกเธอเองก็ออกไปด้วย แล้วก็อย่ามองเข้ามาด้านในนี้เชียว” ไม่มีการหันกลับไปมอง เซียวเฟิงพูดกับทั้งสองสาวอย่างใจเย็น สายตาของเขาจ้องอยู่กับชายชุดดำอีกร้อยกว่าคนที่เป็นคนของแก๊งชิงหลงภายในล็อบบี้นี้ราวกับกำลังมองว่าที่ศพรายต่อ ๆ ไปอยู่
“พี่เฉียงเหว่ย…”
ซือเยี่ยจิ๋งรีบลากหลิวเฉียงเหว่ยออกมาอย่างรวดเร็ว ทว่าเธอกลับถูกหลิวเฉียงเหว่ยหยุดเอาไว้
“เธอออกไปก่อน ฉันอยากจะดูต่ออีกสักหน่อย”
หลิวเฉียงเหว่ยจับจ้องไปยังเซียวเฟิงก่อนจะปล่อยมือจากซือเยี่ยจิ๋ง เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
“พวกแกก็เข้าไปพร้อม ๆ กันสิวะ! เข้าไปจัดการมันแบบไม่ต้องยั้งมือ! ฆ่ามันให้ตาย!”
ซูเจี่ยวร้องออกมาด้วยความโกลาหล เขาตะโกนและออกคำสั่งอย่างต่อเนื่อง
“ฆ่ามันให้ได้!”
เหล่านักเลงหัวไม้ของแก๊งชิงหลงที่ไม่ยอมแพ้รวมตัวกันแล้วทะยานเข้าใส่เซียวเฟิงด้วยความป่าเถื่อน
นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ดุเดือด เพราะไม่มีแม้แต่การต่อสู้อยู่ในฉากด้วยซ้ำ
แต่มันคือการสังหารหมู่หรือไม่ก็การนองเลือด!
เซียวเฟิงกำลังเผชิญหน้ากับชายนับร้อยด้วยตัวคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะถอยหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด ทว่าเพราะหลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งยังอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย เขาจึงพยายามลดความรุนแรงลงบ้างเพื่อไม่ให้พวกเธอต้องเจอกับภาพที่น่ากลัว
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชของเซียวเฟิงอยู่ดี เสียงกระดูกคอที่หักแล้วหักอีกสลับกับเสียงของร่างไร้วิญญาณที่ถูกเหวี่ยงออกไป บางคนโชคร้ายหน่อยก็ถูกกระทืบจนเลือดออกปากออกจมูกตายตกตามกันไป
จากสิบ ไปยี่สิบ ขึ้นสู่ห้าสิบ และก้าวเข้าสู่สองร้อย…
ศพของชายชุดดำมากมายถูกจับโยนกองรวมกันไว้จนมันสูงขึ้น ๆ และในท้ายที่สุดก็ไม่เหลือใครสักคนเลยที่มีชีวิตรอด ล็อบบี้แห่งนี้กลายเป็นที่เก็บศพในชั่วพริบตา ละสายตาจากภูเขาซากศพที่กองพะเนินสูงแล้ว แทบจะทั่วทุกมุมห้องก็ยังสามารถเห็นศพนอนเกลื่อนกลาดได้เรื่อย ๆ ความเยือกเย็นในอากาศมันทวีคูณมากขึ้นเมื่อจำนวนคนภายในห้องเหลือน้อยลง ความเย็นเหล่านี้กำลังครอบงำทุกคนที่ยังรับรู้ถึงมันได้ราวกับเป็นปีศาจร้ายที่คืบคลานไปหาสิ่งมีชีวิต
“อ่อก!”
ท้ายที่สุดซือเยี่ยจิ๋งก็ไม่สามารถอดทนต่อไปได้ เธอก้มหน้าลงและอ้วกออกมา ถึงแม้ว่าเซียวเฟิงจะไม่ได้ทำอะไรที่น่ากลัวนักก็ตาม แต่ที่แห่งนี้ก็มีจำนวนคนที่ถูกฆ่ามากเกินไป ถึงไม่มองศพก็ยังสามารถเห็นได้ว่าภายในห้องนี้มีเลือดสีแดงกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะบนพื้นหรือบนกำแพงก็ตาม
สีหน้าของหลิวเฉียงเหว่ยในตอนนี้เองก็ไม่สู้ดีนัก มันซีดเผือดลงไป แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังคงกัดฟันแน่นขณะยืนมองเซียวเฟิงอยู่เงียบ ๆ
“ว้ากกกกก!”
ซูเจี่ยวส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสะดุดเข้ากับซากศพที่กองอยู่บนพื้น และล้มลงไปในที่สุด ถึงอย่างนั้นแล้วสายตาที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวก็ยังคงมองเซียวเฟิงที่เดินเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างไม่ละสายตา
มีเพียงชายชุดดำอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังเหลือรอดอยู่ แต่คนพวกนี้ก็บาดเจ็บกันถ้วนหน้า พวกเขาเองก็มองเซียวเฟิงด้วยความหวาดกลัวและไม่กล้าลุกขึ้นสู้ต่อเช่นกัน ร่างใหญ่เหล่านั้นไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกเพราะขามันอ่อนแรงไปหมดแล้ว จากสิ่งที่พวกพ้องโดนกระทำไปก่อนหน้า!
“นะ…นายเป็นใครกันแน่?”
ซูเจี่ยวที่ล้มอยู่กับพื้นยังคงถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถถอยไปได้อีก เขามองเซียวเฟิงแล้วเอ่ยถามด้วยความกลัวราวกับจะร้องออกมาอีกรอบ
“เซียวเฟิง! พอได้แล้ว!”
ในที่สุดหลิวเฉียงเหว่ยก็ยอมพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ เธอพยายามหยุดเซียวเฟิงไว้ ทว่าชายเจ้าของชื่อนั้นกลับดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของเธอเลย เขายังคงเดินเข้าไปหาซูเจี่ยวช้า ๆ ทีละก้าว ๆ ภายในแววตาที่หวาดกลัวของซูเจี่ยวนั้น เขาเห็นเซียวเฟิงยื่นมือออกมาและบีบคอของเขาไว้ก่อนจะยกขึ้นราวกับเป็นเพียงไก่ตัวหนึ่ง
“นาย! นายคือ…เจ้าแห…”
ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นสีคล้ำม่วง ซูเจี่ยวพยายามที่จะแกะมือของเซียวเฟิงที่บีบคอตนไว้ออก ทว่ามือที่เหมือนกับกรงเล็บเหยี่ยวของเซียวเฟิงนั้นกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเขาได้เห็นเซียวเฟิงใกล้ ๆ มันก็ยิ่งทำให้เขาจำได้ว่าผู้ที่กำลังจะพรากชีวิตเขาไปนี้คือใคร!
ทันใดนั้น ใบหน้าของซูเจี่ยวก็ซีดลงพร้อมกับดวงตาที่แทบจะปลิ้นออกมา ภาพจำของผู้เล่นคนหนึ่งมันฉายซ้ำขึ้นมาในห้วงจิตของเขา ภาพของคนที่แข็งแกร่งไปซะทุกด้าน ผู้เล่นที่อยู่ ณ จุดสูงสุดของผู้เล่นทุกคน!
กร๊อบ!
เสียงกระดูกคอหักดังชัดเจน คอของซูเจี่ยวหักพับพร้อมกับชีวิตที่ดับสูญไปอีกคน
ตึง!
เซียวเฟิงโยนร่างของซูเจี่ยวไปด้านข้างและมองเหล่าชายชุดดำที่ยังเหลือ เขาเดินตรงไปหาคนเหล่านั้นและเตรียมพร้อมจัดการให้เหมือนกับคนอื่น ๆ
คนของแก๊งชิงหลงที่เหลือไม่กล้าที่จะสู้ต่อแล้ว รอบ ๆ ตัวพวกเขามีศพของทั้งเพื่อนและพี่น้องวางซ้อนทับกันเต็มไปหมด รวมไปถึงศพของผู้เป็นนายของพวกเขาด้วย
พวกเขาคงไม่สามารถอธิบายเรื่องการตายของซูเจี่ยวให้ผู้อาวุโสในแก๊งเข้าใจได้ ดังนั้นเมื่อกลับไป ยังไงพวกเขาก็ต้องตายอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีโอกาสได้กลับไปแล้วด้วย จากบรรดาซากศพของคนที่ตายไปก่อนหน้านี้ ความเย็นที่เปรียบเสมือนเงื้อมมือมัจจุราชกำลังค่อย ๆ กัดกินร่างกายของพวกเขาจนรู้สึกเหมือนร่างจะถูกแช่แข็งไป มันช่างเป็นช่วงชีวิตก่อนตายที่ทุกข์ทรมานเหลือเกิน
“พอได้แล้ว! พอ!”
หลิวเฉียงเหว่ยรีบวิ่งขึ้นมาและกอดเอวเซียวเฟิงไว้จากด้านหลังพร้อมกับพูดด้วยความหนักใจ
“ก็แค่กำจัดเรื่องยุ่งยาก มันเป็นเรื่องที่ดีนะ”
เซียวเฟิงหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขณะที่คิ้วยังขมวดอยู่ ชายหนุ่มไม่ตั้งใจจะให้มีใครเหลือรอดอยู่แล้ว เพราะตัวเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ตลอดไปได้
และตอนนี้ซูเจี่ยวก็ตายแล้ว มันต้องเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งแก๊งชิงหลงต้องการจะล้างแค้นให้กับการตายครั้งนี้ หลิวเฉียงเหว่ย และคนของเธอจะไม่มีโอกาสได้รอดไปอีกแน่ ๆ
“แต่…”
เธอเองก็รู้ดีว่าเซียวเฟิงพยายามทำให้เรื่องนี้จบดีที่สุด แต่ความเยือกเย็นและไม่แยแสต่อชีวิตคนอื่นนั้นมันทำให้เธอกลัวขึ้นมา
ไม่ปล่อยให้หลิวเฉียงเหว่ยมีโอกาสได้พูดมากไปกว่านี้ เซียวเฟิงจับมือเธอออกจากเอวแล้วมุ่งหน้าตรงไปจัดการคนของแก๊งชิงหลงที่เหลือต่อ
ผลลัพธ์ก็เป็นดั่งที่คาดไว้ หลังจากนั้นสามนาที ไม่มีใครอื่นเหลือรอดภายในห้องล็อบบี้นี้นอกจากเซียวเฟิง หลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองศพนับร้อยร่างที่กระจัดกระจายกันไปทั่ว
“ออกจากที่นี่แล้วให้พวกนั้นลงมาหลังจากนี้สักครึ่งชั่วโมง”
หลังจากจัดการคราบเลือดบนร่างของตนเองไปแล้ว เซียวเฟิงก็หันไปพูดกับสองสาวที่ยืนแข็งทื่ออยู่
ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปากพวกเธอ หลิวเฉียงเหว่ย และซือเยี่ยจิ๋งออกจากอาคารหลังนี้เงียบ ๆ และขับรถสีขาวคันงามของพวกเธอออกไป ระหว่างนั่งอยู่ในรถ เมื่อรู้สึกว่าจิตใจตนเองสงบลงแล้ว หลิวเฉียงเหว่ยจึงได้โทรหาพนักงานในอาคารเพื่อส่งต่อคำพูดของเซียวเฟิงให้พวกเขา
“พาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลในอีกครึ่งชั่วโมงถัดจากนี้ แล้วก็ให้คนที่ไม่เป็นไรลงมาตรวจดูด้วยว่ามีอะไรเสียหายบ้าง”
เซียวเฟิงไม่ได้กลับออกไปพร้อมกับพวกเธอทั้งสอง เพราะชายหนุ่มต้องจัดการสถานที่ให้เสร็จก่อนในเวลาครึ่งชั่วโมง มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่รู้วิธีการอย่างเขาอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากครึ่งชั่วโมง พื้นที่ในห้องล็อบบี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็นร่องรอยของความสยดสยองเหลือทิ้งไว้เลยนอกจากรอยทุบทำลายต่าง ๆ
ในตอนนั้นเอง เหล่าพนักงานของมิดซัมเมอร์กรุ๊ปก็ทยอยพากันลงมาด้วยความหวาดหวั่น แต่หลังจากที่พบว่าคนของแก๊งชิงหลงหายไปกันหมดแล้ว พวกเขาจึงรีบพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลต่อไป