Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 302 หยุด
บทที่ 302 หยุด
บทที่ 302 หยุด
ภาพสะท้อนจากดวงตาของเซียวเฟิงแสดงให้เห็นถึงร่างสีทองที่กำลังค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ ค่าสถานะของบอสระดับทองคำตัวนี้มันทำให้ชายหนุ่มหวาดหวั่นขึ้นมาได้จริง ๆ เขาต้องรีบจัดการมันก่อน อย่างน้อย ๆ เขาก็ยังพอมีโชคเหลืออยู่บ้างตรงที่อุปกรณ์และอาวุธของเขาระดับสูงกว่ามันมากอยู่ ไม่งั้นแล้วการต่อสู้คงเป็นไปไม่ได้เลย
และเช่นเดิม หนี่อู๋ผู้ทรยศก็ไม่ได้เข้ามาร่วมต่อสู้ด้วย ตอนนี้การที่อีกฝ่ายไม่ยอมยื่นมือเข้ามายุ่งมันก็ทำให้เซียวเฟิงโล่งใจขึ้นเยอะ บอสระดับทองที่เดินขึ้นหน้ามานั้นทำให้เซียวเฟิงไม่ลังเลที่จะถอยกลับไปตั้งหลักก่อน
บัฟทั้งสี่ถูกร่ายให้ตนเองอีกครั้ง เขารอจนกระทั่งบัฟเซ็ตตัวก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้ววกกลับไปเป็นฝ่ายเปิดฉากใส่หุ่นเชิดจักรกลบ้าง
มังกรจองจำ!
ขั้นแรก เซียวเฟิงร่ายสกิลเพื่อจะล็อกตัวหุ่นเหล็กสีทองตนนี้ไว้ ทว่าผลลัพธ์มันกลับไม่น่าพึงพอใจนัก ยามที่เงื้อมมือที่มาจากเงาไขว่คว้าหาร่างของมัน ร่างสีทองก็เปล่งประกายแสงออกมาจนเงาของเขาไม่สามารถแตะต้องได้ มันไม่รอช้ากวัดแกว่งดาบเล่มใหญ่ใส่เซียวเฟิงกลับในทันที
ในฐานะที่หุ่นจักรกลสีทองตนนี้เป็นบอสระดับทอง แสดงว่าวัสดุที่ใช้สร้างมันจะต้องขั้นสูงมากแน่ ๆ ไม่งั้นแล้วคงไม่สามารถทลายสกิลพันธะได้ง่ายขนาดนี้!
ดาบขนาดใหญ่ที่ฟาดเข้ามานั้น เซียวเฟิงไม่สามารถมองข้ามได้ เช่นกัน เขาไม่สามารถหลบได้ด้วย คทาแห่งปราชญ์ถูกยกขึ้นเพื่อตั้งรับจนเกิดเสียงดังระงมไปทั่วถ้ำ
บล็อก!
จังหวะเดียวกันนั้น เซียวเฟิงก็ปัดการโจมตีของมันกลับไปพร้อมกับใช้คทาแห่งปราชญ์ที่หัวคทามีคริสตัลขนาดใหญ่ฝังอยู่ ฟาดลงไปที่ตัวมันอย่างแรงเลยด้วย!
ตึง!
-491!
ไม่เพียงแค่เสียงที่ดัง แต่ตัวเลขสามหลักที่ปรากฏขึ้นเหนือหัวของหุ่นเชิดจักรกลสีทองตนนี้ก็แสดงให้เห็นว่าการฟาดครั้งเมื่อครู่นั้นไม่เบาเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ตัวเลขเพียงแค่สามหลักก็ยังคงไม่เพียงพอ ดังนั้นแล้วเซียวเฟิงจึงใช้ค้อนสีทองที่ก่อตัวแน่นในมือทุบลงไปอีกทีหนึ่ง
-487!
ความเสียหายที่ค้อนแห่งการพิพากษานั้นก็ยังคงรุนแรงดังเดิม หากแต่มันไม่ได้ติดคริติคอล ไม่อย่างนั้นแล้ว บอสคงได้หลั่งเลือดเยอะกว่านี้
ครืน!!
ดาบยักษ์ในมือของหุ่นกลเริ่มสั่นขึ้นมาด้วยความเร็วสูง และเมื่อเพ่งมองดี ๆ จึงพบว่าบริเวณคมของดาบนั้น มันคือฟันเลื่อยเล็ก ๆ เหมือนฟันฉลามที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ด้วยความเร็วสูงจนเหมือนกับเลื่อยจริง ๆ
เช่นเดิมเซียวเฟิงไม่ได้อยากจะลิ้มลองมันนักหรอก เพราะงั้นเขาจึงรีบถอยออกมาจากจุดนั้น และใช้ถ้อยคำแห่งเงาเข้าโจมตีหุ่นเชิดจักรกลในจังหวะที่ถอยด้วย
-400!
-400!
-400!
—
แต่เดิมแล้วถ้อยคำแห่งเงานั้นเป็นการผสมผสานระหว่างสกิลรักษาและสกิลที่ใช้โจมตีด้วยกัน ถึงแม้ว่าการที่ร่ายใส่มอนสเตอร์ที่ไม่ใช่ธาตุมืดแล้วจะทำความเสียหายเพียง 0.5 หน่วยต่อวินาที แต่ด้วยความที่ระยะเวลาของมันอิงตามค่าจิตวิญญาณของเซียวเฟิง
ดังนั้นตอนนี้เซียวเฟิงสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 15 วินาที เพราะแบบนี้ความเสียหายที่เกิดจากสกิลนี้จึงค่อนข้างสูงมาก ๆ เลยทีเดียว สังเกตได้จากตัวเลขแสดงความเสียหายที่ปรากฏบนหัวของหุ่นเชิดจักรกลตัวนั้น
น่าเสียดายที่คูลดาวน์ของถ้อยคำแห่งเงานั้นสูงถึง 5 นาที นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เซียวเฟิงไม่ค่อยอยากจะใช้มันด้วย
หอกแสงศักดิ์สิทธิ์!
เซียวเฟิงถอยออกจากศัตรูตรงหน้าอีกครั้ง เขาพยายามซื้อเวลาให้สกิลที่เพิ่งใช้ไปกับหุ่นเชิดหมายเลข 2 ก่อนหน้า พลันเมื่อหุ่นกลตัวใหญ่นั้นเห็นเซียวเฟิงถอย มันก็เริ่มไล่ตามทันที นั่นจึงเป็นโอกาสให้เซียวเฟิงสามารถโยนหอกแสงในมือเข้าใส่ได้อย่างแม่นยำ
-0!
โชคร้าย ที่ความเสียหายของสกิลหอกแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้สูง ด้วยพลังป้องกันที่สูงของมันแล้ว มันกลายเป็นว่าความเสียหายที่ได้รับจากหอกนั้นกลายเป็นศูนย์ไป สิ่งที่เห็นนี้ทำเอาเซียวเฟิงต้องปวดหัวและกัดฟันแน่นขึ้นมา ก่อนหน้านี้มังกรจองจำก็ไม่ได้ผลไปแล้ว หุ่นเชิดจักรกลตัวนี้ฟันแทงไม่เข้าเลยหรือไง? เมื่อไร้ทางสู้ในตอนนี้ เซียวเฟิงจึงจำเป็นต้องปล่อยให้สกิลอื่นคูลดาวน์กันไปก่อน
มังกรคำราม!
“กรรรร!!”
ภาพจำลองของมังกรโครงกระดูกตัวใหญ่ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเซียวเฟิง มันคำรามลงมาจากบนฟ้าเสียงดัง ทว่าเสียงคำรามนั้นก็ยังไม่สามารถทำให้หุ่นเชิดจักรกลตรงหน้าติดสถานะใด ๆ ได้อยู่ดี อาจจะเป็นเพราะภายในตัวหุ่นนั้นมันไม่มีสมองอยู่ เลยทำให้มันไม่สามารถติดสถานะมึนงงได้
เซียวเฟิงไม่มีไพ่ในมือแล้ว ดังนั้นทางออกสุดท้ายของชายหนุ่มคือการวิ่งหนีไปก่อน จริง ๆ ทุกการโจมตีที่รุนแรงของเขาถูกหุ่นเหล็กทองคำนี่ป้องกันไว้ได้หมดเลย ทว่าการวิ่งหนีก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนักหรอก เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้ยืนเฉย ๆ ให้เขาวิ่งได้สะดวกแต่อย่างใด
ดาบเลื่อยเล่มใหญ่ที่เคยใช้มาก่อนหน้านั้น ตอนนี้มันพร้อมใช้งานอีกครั้งแล้ว หุ่นเชิดจักรกลใช้ดาบทรงประหลาดนี้ไล่ฟาดฟันเซียวเฟิงจนชายหนุ่มจำเป็นต้องกลิ้งหลบไปมาระหว่างรอให้คูลดาวน์ของโล่มังกรหมดไปอีกครั้ง เพราะลำพังแค่พลังกายของตน ไม่สามารถกันการโจมตีได้แน่ ๆ
เคร้ง! โครม!
อันที่จริง ด้วยสถานที่ที่เซียวเฟิงอยู่นี้ ต่อให้ชายหนุ่มไม่หลบ ดาบขนาดใหญ่นั้นก็จะฟาดฟันถูกผนังถ้ำและชั้นวางของต่าง ๆ แทนอยู่แล้ว เพราะงั้นด้วยการหวดดาบเพียงครั้งเดียวของจักรกลสีทอง มันก็ทำให้ชั้นวางของที่อยู่ใกล้ ๆ เซียวเฟิงล้มระเนระนาดกันจนหมด สิ่งของบนชั้นไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ร่ายมนตร์ ขวดหรือโหลต่าง ๆ ล้วนดิ่งลงมากระแทกพื้นจนแตกแทบจะไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น
“ฮว้ากกกกก! วัตถุดิบอันเลอค่าของข้า! พอแล้ว หยุดสู้ได้แล้ว!!”
ตอนนั้นเอง จู่ ๆ หนี่อู๋ก็ร้องออกมาด้วยความหวาดผวา เขาเข่าอ่อนลงไปทรุดนั่งกับพื้นโดยที่ใช้มือที่สกปรกนั้นเกาผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงไปด้วยความร้อนเนื้อร้อนใจ
เซียวเฟิงไม่ได้นิ่งนอนใจเสียทีเดียว ตราบใดที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เข้ามาโจมตี เขาก็จะรีบ ๆ กำจัดหุ่นเชิดจักรกลตัวนี้ไปก่อน เพราะงั้นแล้วเมื่อสกิลเริ่มจะคูลดาวน์เสร็จ เซียวเฟิงก็เริ่มกลับไปสู้ใหม่ทันที
บล็อก!
ตู้ม!!
-990 คริติคอล!
ตึง!
—
เสียงดังโครมครามมากมายดังตาม ๆ กันมาขณะที่เซียวเฟิงและหุ่นกลตัวยักษ์กำลังห้ำหั่นกัน บรรยากาศรอบ ๆ นั้นไม่ต่างอะไรกับเมืองที่โดนสงครามเคลื่อนผ่าน ทุกอย่างล้มเทกระจาดกันหมด ความล่มสลายขั้นหายนะปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อค้อนแห่งการพิพากษาคูลดาวน์เสร็จ ค้อนสีทองขนาดยักษ์นั้นถูกหวดโดยไม่สนใจว่าพวกขวดโหลที่อยู่บนชั้นจะขวางทางหรือไม่ และมันทำให้ในโพรงถ้ำนี้ แทบจะไม่เหลือสภาพเดิมอีกเลย
“ว้ากกกกกกก! หยุดได้แล้วโว้ยยย ไอ้เจ้าคนหยาบช้าาาา! วัตถุดิบที่หายากของข้าเสียหายหมดแล้ววว!! หยุด! หยุดได้แล้ว! ข้ายอมแพ้! ยกมือเลยก็ได้เอ้า!”
หนี่อู๋เริ่มร้องเสียงหลง เขาไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้วพร้อมกับตรงดิ่งเข้ามาขัดการต่อสู้ไว้จนแม้แต่เซียวเฟิงยังต้องตกใจ
โชคยังดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ตรงเข้ามาเพื่อโจมตีหากแต่เพื่อขัดขวางการต่อสู้และเก็บขวดเหยือกที่อยู่บนพื้นที่ยังไม่แตกสลายไป ท่าทีของคนคนนี้ดูตลกและน่าขัน ซึ่งในขณะนั้นเองหุ่นกลตัวใหญ่ก็พลอยหยุดโจมตีไปด้วย
“ใจเจ้าคิดจะพังแม้กระทั้งหุ่นเชิดจักรกลหมายเลข 3 ของข้าด้วยงั้นหรือ? เจ้ามันน่ารังเกียจจริง ๆ!”
หุ่นเชิดจักรกลสีทองเดินกลับไปยืนเคียงข้างหนี่อู๋ผู้ทรยศอีกครั้ง หลอดพลังชีวิตของมันตอนนี้เหลือเพียงครึ่งหลอดเท่านั้น ทั่วทั้งร่างกายของมันเต็มไปด้วยรอยทุบตีจนยับเยินไปหมด หนี่อู๋ที่ได้เห็นสภาพหุ่นเชิดสุดที่รักของตนก็ได้แต่กรีดร้องราวกับสูญเสียผู้เป็นลูกไป ขณะเดียวกันก็หันไปจ้องมองเซียวเฟิงตาปริบ ๆ ราวกับร้องขอให้เขาหยุดโจมตีด้วย
“ท่านไม่คิดจะสู้เหรอ?”
เซียวเฟิงยังคงอยู่ในท่าเตรียมต่อสู้ เขากำด้ามของคทาแห่งปราชญ์ไว้แน่นขณะเอ่ยถามหนี่อู๋และจ้องไปยังหุ่นกลด้านหลังเขาด้วย
“ไม่สู้แล้ว! ห้ามสู้ด้วย! เมื่อครู่นี้เจ้าก็หวดขวดวัตถุดิบของข้าจนเละเทะไปหมดแล้ว! ดูสิ! ที่ของข้าพังไปหมดก็เพราะเจ้า! ลำพังแค่วัตถุดิบที่เหลือข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าจะซ่อมเด็ก ๆ ของข้าได้หรือเปล่า เพราะงั้น เจ้า! เชิญกลับไปยังวิหารแห่งแสงที่เจ้ารักได้แล้ว! ชิ่ว ๆ! ถ้าเจ้าออกไปจะถือว่าเป็นเกียรติแก่ข้ามาก! แต่ถ้าเจ้าไม่ออก ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ร่างเล็กของหนี่อู๋นั้นกระโดดไต่ดูตามตัวหุ่นเชิดตัวใหญ่ของเขา แววตาที่หันกลับมามองเซียวเฟิงนั้นดูไม่ดีเสียเท่าไหร่
“จริง ๆ นักผจญภัยเช่นผมเนี่ย สามารถเกิดใหม่ได้ไม่จำกัดครั้งเลย เพราะงั้นต่อให้ท่านฆ่าผม ผมก็ยังคืนชีพขึ้นมาได้อีก ดังนั้นแล้ว ไม่แนะนำถ้าไม่อยากปวดหัว” เซียวเฟิงเก็บคทาแห่งปราชญ์ไปแล้วกล่าวกับหนี่อู๋ด้วยเรื่องจริง
“โฮะ! นี่เจ้าคิดจะกลับมาพังลูกรักของข้าอีกกี่ตัวกันเนี่ย! โฮ…!!!!”
ดังที่คิด พอหนี่อู๋ผู้ทรยศได้ยินเช่นนั้น เขาก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาอีก
“ถ้างั้น ท่านบิชอปหนี่…” ก่อนที่เซียวเฟิงจะได้พูดจบ หนี่อู๋ก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
“อย่าเรียกข้าว่าบิชอป! ข้าไม่ใช่คนของวิหารแห่งแสงอีกต่อไปแล้ว! แล้วไอ้สิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจอย่างเจ้าจะยืนรออะไรอีกเนี่ย? ออกไปฟ้องพวกบิชอปของเจ้าเลยไป๊!” ชายร่างเล็กโวยวายแล้วขับไล่เซียวเฟิงอย่างไม่ไยดี
“แล้วทำไมผมต้องไปฟ้องพวกเขาด้วยล่ะ? ฟ้องแล้วผมจะได้อะไร?” เซียวเฟิงถาม
“หา? อะไรของเจ้าเนี่ย? นี่เจ้าเป็นพวกวิหารแห่งแสงจริงหรือเปล่า? คนพวกนั้นน่ะอยากได้ตัวข้าจะตายไป มีเหรอที่เจ้าแจ้งว่าพบข้าแล้วเจ้าจะไม่ได้รางวัลน่ะ? เจ้าไม่อยากได้รางวัลหรือไง?” หนี่อู๋พูดพร้อมพ่นลมหายใจกระฟัดกระเฟียด
“แต่ผมเป็นอาร์คบิชอปอยู่แล้ว บอกบิชอปพวกนั้นไปแล้วเขาจะตบรางวัลอะไรให้ผมได้อีกน่ะ? เขาจะเลื่อนขั้นผมเป็นพระสันตะปาปาเหรอ?” ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็ถามยอกย้อนไปอีก ตัวเขาน่ะไม่ได้สนใจของรางวัลอะไรที่ได้จากวิหารแห่งแสงอยู่แล้วตอนนี้
“เอ๊ะ? สรุปแล้วเจ้าจะไม่ไปบอกที่ซ่อนของคนทรยศเช่นข้ากับพวกวิหารแห่งแสงจริง ๆ เหรอ?” หนี่อู๋เริ่มประหลาดใจ เขาจ้องมองเซียวเฟิงแล้วถามเพื่อความชัดเจน
“แน่นอน” เซียวเฟิงพยักหน้า
“โฮ่ เจ้าช่างเป็นคนที่มีจิตใจดีและมีเมตตายิ่งนัก ข้าไม่คิดเลยว่าคนหนุ่มคนแน่นอย่างเจ้าจะยอมช่วยปิดบังความลับให้กับคนที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนเช่นข้าแบบนี้ แต่เจ้าไม่มีอะไรแอบแฝงจริง ๆ ใช่ไหม!?” แม้ว่าหนี่อู๋จะดูอารมณ์เปลี่ยนไปมารวดเร็วราวกับคนบ้า แต่เขาก็หัวไว
“จริง ๆ ก็มี แต่แค่ท่านตอบคำถามผมก็พอ” ในเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้ว เซียวเฟิงก็จะไม่ปิดบังแล้วพูดออกไปตรง ๆ
“ได้! เจ้าถามข้ามาได้เลย ไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้!” เมื่อรู้ว่าเซียวเฟิงอยากจะถามคำถามเพื่อแลกกับการที่เขาไม่ต้องถูกเปิดเผยที่ซ่อน หนี่อู๋จึงยืดอกด้วยท่าทีภูมิใจสุด ๆ
“อะไรที่ทำให้ท่านต้องมาเก็บตัวอยู่ที่นี่? เพราะพลังของท่านหรือ?”
เซียวเฟิงค่อนข้างสนใจวิชาเล่นแร่แปรธาตุของหนี่อู๋ผู้ทรยศมาก ๆ ถึงแม้ว่าบอสบางตนจะมีความสามารถในการอัญเชิญได้ แต่เขาไม่เคยได้ยินเลยว่ามันมีความสามารถในการอัญเชิญบอสที่อยู่ในโลกแห่งเกมใบนี้ด้วย โดยเฉพาะสิ่งที่หนี่อู๋อัญเชิญออกมานั้น ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดตัวไหน ทุกตัวก็ล้วนเป็นบอสหมด ยิ่งหุ่นเชิดตัวที่ 3 มีฐานะเป็นถึงบอสระดับทองคำเลย เป็นไปได้ว่าหุ่นเชิดตัวสุดท้ายที่เรียกว่าขั้นสุดยอดที่ยังไม่ถูกใช้งาน อาจจะเป็นบอสระดับเทพเจ้าเลยก็ได้ มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก
สิ่งนี้ทำให้จอมเวทผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าคนอื่น ๆ เพราะตัวเขามีทั้งพลังในการต่อสู้ แถมยังมีพลังในการอัญเชิญบอสระดับเทพเจ้าได้อีก ไม่แปลกใจเลยหากเขาจะสามารถหนีการตามล่าของเหล่าวิหารแห่งแสงได้ด้วยตัวคนเดียว
“สิ่งนี้คือ วิชาเล่นแร่แปรธาตุ มันคือสิ่งที่แสดงถึงความศิวิไลซ์ขั้นสูงสุดของเวทมนตร์ในทวีปแห่งพระเจ้า มันน่าเสียดายที่จู่ ๆ วันหนึ่งมันก็หายสาปสูญไป ตอนนี้จะมีก็แต่ในดินแดนแห่งพระเจ้าเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลือเวทมนตร์ประเภทนี้อยู่” หนี่อู๋ดูสงบและเศร้าหมองขึ้น แต่กระนั้นเขาก็ยังดูภูมิใจที่จะพูดถึงมัน
“วิชาเล่นแร่แปรธาตุ…” เซียวเฟิงทวนคำพูดก่อนจะถามต่อ “ท่านเคยเป็นบิชอปของวิหารแห่งแสงสินะ? เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านถึงกลายเป็นผู้ทรยศแล้วถูกไล่ล่าลงมาแบบนี้ล่ะ? ทางวิหารแห่งแสงบอกกับผมไว้ว่าท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสายพันธุ์แห่งความมืด แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เลยนะ”
“เรื่องนั้นมันค่อนข้างยาว แล้วก็ใช่… มันเกี่ยวกับวิชาเล่นแร่แปรธาตุของข้าด้วย”
การที่จู่ ๆ หนี่อู๋ผู้ทรยศจะไม่แสดงท่าทีบ้าระห่ำนั้นดูจะเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่จะได้เห็น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยของประสบการณ์แสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีที่หลงเหลืออยู่ “เพราะข้าดันไปค้นพบความลับที่น่าหวาดกลัวเข้า นั่นคือ…พวกบิชอปแห่งวิหารแห่งแสง อาจจะกำลังหลอกพวกเราอยู่ในตอนนี้…”
“ท่านหมายความว่ายังไงนะ?” สิ่งที่ดูอ้ำอึ้งในช่วงท้ายของเรื่องที่หนี่อู๋พูดนั้น ราวกับว่าเจ้าตัวเองก็ไม่อยากพูด เพราะกลัวจะทำให้เซียวเฟิงรู้สึกระแคะระคายเคือง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง
บิชอปแห่งวิหารแห่งแสงเป็นพวกหลอกลวงงั้นเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“จริง ๆ ข้าก็ยังไม่มั่นใจนักหรอก มันก็แค่การคาดเดาเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าเจ้าอยากรู้ล่ะก็ ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เพราะเรื่องนี้มันก็ทำให้ข้าอึดอัดมานานหลายปีแล้วเหมือนกัน”
หนี่อู๋หันไปมองร่องรอยความเสียหายของหุ่นเชิดจักรกลของเขาขณะนึกย้อนกลับไปยังอดีตที่ผ่านมานานแล้ว