Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 446 บัญญัติโบราณ
บทที่ 446 บัญญัติโบราณ
บทที่ 446 บัญญัติโบราณ
“สตรีเช่นเจ้าสะกดคำว่ายางอายไม่เป็นหรืออย่างไร?!” ชายชราในชุดถังจวงชี้หน้าจืออี้และพูดด้วยถ้อยคำต่อว่ารุนแรงพลางทุบโต๊ะเสียงดัง
“หลานและจางเซียวเฟิงต่างก็รักใคร่กันดี ทำไมท่านปู่ถึงได้พูดเช่นนั้นกันคะ! หลานเองก็ตอบตรง ๆ หมดแล้ว!”
แม้ว่าสีหน้าของตนจะไม่สู้ดีนักเมื่อเห็นอีกฝ่ายโกรธ กระนั้นเธอก็ยังพยายามพูดเพื่อจุดยืนของตนเองต่อ
“อวดดีนักนะ! ตั้งแต่ที่เจ้าได้หมั้นหมายกับตระกูลซีเหมินของข้า ข้าก็ถือว่าเป็นสะใภ้ตระกูลซีเหมินไปแล้ว! เช่นนั้นแล้วเจ้ายังกล้าดีมาพูดว่าตัวเองไปทำเรื่องบัดสีกับชายอื่นอีก แบบนี้แล้วจะไม่ให้ข้าเรียกเจ้าว่าไร้ยางอายได้อย่างไร! เจ้ามันความอัปยศของตระกูลซางกวน! น่าสมเพช น่าสมเพชที่สุด!”
ยิ่งหญิงสาวโต้เถียง ชายชราในชุดถังจวงก็ยิ่งไม่ไว้หน้า แววตาของเขาแสดงท่าทีข่มขู่อย่างถึงที่สุด
“เรื่องของความรักมันบังคับกันไม่ได้นะคะ! หลานเองก็ยังไม่ได้มีสัมพันธ์ใด ๆ กับนายน้อยตระกูลซีเหมิน การที่พูดตรง ๆ นี้ก็หวังว่าจะให้ท่านปู่เข้าใจแท้ ๆ!”
สีหน้าของจืออี้ซีดแล้วซีดอีก และแม้จะยังไม่ยอมแพ้ แต่น้ำเสียงของเธอมันก็อ่อนลงเล็กน้อยขณะขบริมฝีปากล่างของตนเองไว้
“น่าขัน! เกิดในตระกูลที่ยิ่งใหญ่แท้ ๆ แต่กลับเอาเรื่องอ่อนแอเช่นนี้มาพูด! แม้เจ้าจะใช้สกุลซางกวนอยู่ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะไม่กล้าที่จะลงโทษเจ้า? เด็กน้อยเช่นเจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในโชคชะตาของตนเอง! เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก สิ่งที่ทำได้มีเพียง ‘เชื่อฟัง’ เท่านั้น!”
ชายชราในชุดถังจวงเกรี้ยวกราดมากขึ้นอีกครั้ง
สิ่งนี้เองก็ถือเป็นบัญญัติที่สืบทอดกันลงมาของแต่ละตระกูลด้วย เมื่อใดก็ตามที่ก้าวเข้าสู่วัยแต่งงาน หากผู้อาวุโสในตระกูลได้กำหนดคู่แต่งงานแล้ว ลูกหลานไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้ง เพราะมันถือเป็นผลประโยชน์ของตระกูลด้วย พวกเขาเชื่อว่าวัยหนุ่มสาวนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์เหนือกว่าเหตุผล มีเพียงผู้อาวุโสเท่านั้นถึงจะคิดหาประโยชน์ให้วงศ์ตระกูล เช่นนั้นแล้วเมื่อมีการตกลงกันไว้แล้ว หากจะยกเลิก ก็จำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยกับการยกเลิกเท่านั้น
“เช่นนั้นก็ลงมือเลยค่ะ ท่านปู่” จืออี้ขบกัดริมฝีปากล่างของตนไว้จนมันเริ่มซีด เธอก้มหัวเคารพชายชราในชุดถังจวงภายใต้ดวงใจที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก อิสรภาพของเธอมันถูกตัดทิ้งไปจนหมดแล้วตั้งแต่เกิดในตระกูลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ และสิ่งเดียวที่เธอจะสามารถเป็นได้ ก็คือเครื่องมือสืบทอดสายเลือดของตระกูลเท่านั้น
ดังนั้นจืออี้จึงรู้ดีถึงโศกนาฏกรรมที่ตนกำลังจะต้องพบเจอต่อจากนี้ ตระกูลซางกวนของเธอได้ตกลงปลงใจว่าจะให้เธอแต่งงานกับซีเหมินชุยเสวียไว้แล้ว ข้อตกลงนี้ไม่สามารถเพิกถอนได้ เว้นเสียแต่ว่าตระกูลซีเหมินตกลงว่าจะเพิกถอนด้วย กระนั้นชื่อของเธอก็จะกลายเป็นที่โจษจันตลอดไป
“ฮึ่ม!” ชายชราในชุดถังจวงพ่นลมหายใจแรง เขาไม่สนใจจืออี้อีกต่อไปและหันไปทางจางจงเหลียงแทน “ท่านเจ้าตระกูลจาง ข้าหวังว่าท่านคงจะเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี ข้าไม่หวังให้จางเซียวเฟิง ลูกชายของท่านมารับผิดชอบหรอกนะ ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันเกิดเพราะสตรีนางนี้ไม่เคารพในคราวเป็นสตรีของตนเอง หากข้าจะพาตัวนางคนนี้ไปยังบ้านตระกูลซีเหมิน ท่านจะคัดค้านอย่างไรหรือเปล่า?”
ในตอนแรกนั้น ชายชราในชุดถังจวงตั้งใจจะมาพูดให้ตระกูลจางรับผิดชอบ เนื่องจากเขารู้ว่าจางเซียวเฟิงคือผู้ถูกลดลำดับและขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูลจางไปแล้ว
แต่หลังจากที่ได้เข้ามายังตระกูลจาง เขาก็รู้สึกได้จากสิ่งที่จืออี้พูดว่าจางเซียวเฟิงนั้นไม่สามารถยุ่งด้วยได้ง่าย ๆ แน่ มองง่าย ๆ แม้ว่าคนคนนี้จะถูกขับไล่ออกไปแล้ว แต่เขาก็ยังมีโอกาสได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลรุ่นถัดไปอยู่ แล้วไหนจะสิ่งที่เขารู้มาจากแหล่งข่าวอีกว่า ลูกชายผู้ปฏิเสธวงศ์ตระกูลคนนี้ประสบความสำเร็จในโลกเบื้องล่างได้ในระดับน่าเหลือเชื่อ
สิ่งนี้ทำให้ชายชราในชุดถังจวงคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก และสรุปได้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะแตะต้องอีกฝ่าย จึงยกเลิกแผนที่วางไว้ว่าจะให้ตระกูลจางรับผิดชอบ ยังไงเสียตอนนี้ตระกูลจางก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตระกูลซีเหมินจะเทียบเท่าได้อยู่ดี
“ท่านพ่อ…”
ทันทีที่ชายชราในชุดถังจวงหันมาถามเช่นนั้น จางเสี่ยวหยูก็หันไปมองจางจงเหลียงด้วยความกังวลทันที เธอกลัวว่าพ่อของเธอจะเห็นดีเห็นงามด้วย เพราะเธอเป็นคนพาจืออี้มายังบ้านตระกูลจาง และถ้าการกระทำนี้ทำให้จืออี้ถูกพาตัวไปยังบ้านตระกูลซีเหมิน เซียวเฟิงจะต้องเกลียดเธออย่างแน่นอน!
จืออี้ในตอนนี้ดูอ่อนแอไม่ต่างจากแก้วบาง ๆ ที่รอวันแตกสลาย เธอถูกความกดดันบดขยี้จนใบหน้าสวยซีดเผือดเป็นแผ่นกระดาษ ความงดงามของนัยน์ตาที่เคยมีมาไม่หลงเหลือให้เห็นอีกต่อไปแล้ว เธอเหมือนถูกโลกทั้งใบหันหลังให้ เพราะจางจงเหลียงนั้นเป็นพ่อแท้ ๆ ของเซียวเฟิง หากจางจงเหลียงไม่รั้งเธอไว้ เธอก็จะต้องถูกพาไปบ้านตระกูลซีเหมินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเธอควรทำอย่างไรดี?
ภายในดวงใจที่บอบบางของจืออี้นั้น มีภาพของเซียวเฟิงปรากฏขึ้นมากมายเต็มไปหมด และแม้ว่าโลกนี้กำลังจะกลายเป็นเพียงสีขาวและดำ มีเพียงภาพของเซียวเฟิงเท่านั้นที่ยังคงสว่างสดใสที่สุดในความทรงจำของเธอ
“ท่านเจ้าตระกูลจาง ข้าจะพาตัวนางคนนี้ไป ท่านจะคัดค้านหรือเปล่า?” เมื่อเห็นว่าจางจงเหลียงหลับตาลงอีกครั้งและไม่ยอมตอบคำถามก่อนหน้า ชายชราในชุดถังจวงจึงพูดย้ำอีกครั้ง
ซึ่งในตอนนั้นเอง ทุกสายตาภายในโถงซือเซียวต่างก็หันไปมองที่จางจงเหลียงที่นั่งอยู่อย่างสงบหมดแล้ว พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป พวกเขาไม่รู้ว่าจางจงเหลียงที่เปรียบเสมือนพระเจ้าอวตารลงมานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ การนั่งหลับตาเฉย ๆ ของเขานั้นทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะรบกวน
แต่แล้วเสียงโครมครามก็ดังขึ้นที่หน้าอารามซือเซียวต่อด้วยเสียงตะโกนเสียงดังและร่างอีกหลายร่างที่กระเด็นเข้ามา
“พวกแกคิดว่าจะพาผู้หญิงของฉันไปไหนก็ได้งั้นเหรอ?” ร่างที่กระเด็นลอยเข้ามานั้น คือร่างของศิษย์ตระกูลจางในชุดสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์
และผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ด้านนอกโถงซือเซียวนั้น ก็คือเซียวเฟิง เขาเดินก้าวเข้าไปภายในช้า ๆ พร้อมกับร่างขนาดใหญ่โตประดุจปราการของคิงคองที่เดินตามมาด้านหลัง!
“พี่ชาย!”
“เซียวเฟิง!”
“เจ้าแห่งฮีลเลอร์!”
ชื่อเรียกมากมายดังขึ้นพร้อม ๆ กันในโถงซือเซียว นอกจากจางจงเหลียงที่ยังหลับตาอยู่นั้น ทุกคนต่างหันไปมองเซียวเฟิงที่เดินเข้ามาด้วยความตกใจ
“ท่านเจ้าตระกูล! ท่านหญิง! พวกเราไม่รู้จริง ๆ ครับว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร! จู่ ๆ มันก็พุ่งพรวดเข้ามาในอารามซือเซียวเลย!”
ศิษย์ในชุดสีเหลืองทั้งสี่ของตระกูลจางผู้ที่ถูกเตะกระเด็นเข้ามากุมอกตนเองไว้ด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังถือดาบไม้ในท่าเตรียมรับมือกับเซียวเฟิงไว้ตลอดขณะที่รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนภายในโถงได้รับรู้กันด้วย
ขณะเดียวกันนั้นเอง ผู้ติดตามในชุดสีฟ้าทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังจางจงเหลียงที่ยืนนิ่งสงัดมาตั้งแต่ต้นเหมือนรูปสลักไม้ พวกเขาลืมตาขึ้นเผยให้เห็นแววตาที่ดูเก่งกาจจนยากจะหาผู้เทียบเทียมพร้อมกับตั้งท่าพร้อมจะเข้าปะทะ
“ถอยกลับ”
ในที่สุด จางจงเหลียงก็พูดขึ้น น้ำเสียงของเขาสงบแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสูงส่ง เพียงแค่ถ้อยคำสั้น ๆ นั้นมันก็ทำให้ศิษย์ชุดเหลืองทั้งสี่คนนิ่งสงัดไปพร้อม ๆ กันก่อนจะหันกลับมาทำความเคารพจางจงเหลียงและยอมถอยออกจากอารามซือเซียว ส่วนผู้ติดตามทั้งสองในชุดสีฟ้าเองก็ถอยกลับไปอยู่ด้านหลังจางจงเหลียงด้วย
“พี่ชาย! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้น่ะ!”
จางเสี่ยวหยูรีบเดินเข้าไปหาเซียวเฟิง เธอพูดด้วยความตกใจในขณะที่ภายในใจก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย ส่วนจืออี้เองก็มองไปยังเซียวเฟิงด้วยแววตาที่งดงามราวกับเธอกำลังอยู่ในฝัน
“ถ้าฉันไม่มา ฉันคงไม่รู้ว่าเธอจะสร้างปัญหาอะไรให้ฉันบ้าง”
สีหน้าของเซียวเฟิงนั้นดูไม่ดีนัก นั่นเพราะเขาพอจะเดาได้ว่าทำไมจางเสี่ยวหยูถึงพาจืออี้กลับมาที่บ้านตระกูลจาง นี่เป็นเพียงแผนดึงให้เขากลับมาที่นี่เท่านั้น แผนที่ดึงตัวเขากลับมายังตระกูลจาง และดูเหมือนว่าจางเสี่ยวหยูจะทำสำเร็จแล้ว…
ได้ยินเช่นนั้น จางเสี่ยวหยูก็ถอยออกจากเซียวเฟิงด้วยความรู้สึกผิด เธอสำนึกผิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ในขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวไปด้วย เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเซียวเฟิงเลย
แต่ถ้าปล่อยให้จืออี้ถูกพาตัวไปยังบ้านตระกูซีเหมินได้ สิ่งที่เธอก่อจะกลายเป็นอาชญากรรมทันที แม้ว่าเธอจะวางแผนไว้แล้วว่าถ้าหากจางจงเหลียงยินยอมให้ตระกูลซีเหมินพาตัวจืออี้ไป เธอก็จะเป็นคนหยุดเหตุการณ์นั้นไว้เอง แต่ตอนนี้ ตอนที่เซียวเฟิงปรากฏตัวด้วยตนเอง มันถือเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว
“ฉันอยู่ที่นี่แล้ว เธอไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
เซียวเฟิงเดินไปข้างหน้าอีกนิดหน่อยและหยุดอยู่ที่ตรงหน้าจืออี้พร้อมกับกระซิบเบา ๆ
“อื้อ…”
ภายในจิตใจของจืออี้นั้นเหมือนได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ที่อบอุ่นอีกครั้ง ยามที่เห็นแผ่นหลังของเซียวเฟิงที่ยืนขวางหน้าเธอเอาไว้ หญิงสาวทำได้เพียงกล่าวรับเบา ๆ
“หนุ่มน้อยเซียวเฟิง การไม่ได้พบเจอกันนานถึงห้าปี ดูเหมือนจะทำให้เจ้าเปลี่ยนไปมากเลยนะ” ชายวัยกลางคนที่มีเครายาวอย่าง จางจงเหลียง พยักหน้าให้เซียวเฟิง ณ ขณะนั้น
“รุ่นที่ 2 นานแล้วเหมือนกันที่เราไม่ได้เจอกัน แต่ท่านก็ยังดูแข็งแรงดีนะ” เซียวเฟิงหันไปมองอีกฝ่ายพร้อมกับคำนับด้วยฝ่ามือแก่ชายวัยกลางคนผู้มีเครายาวคนนั้นเพื่อแสดงความเคารพ
“เจ้าคือจางเซียวเฟิงงั้นเหรอ?” ชายชราในชุดถังจวงไม่ได้ละสายตาจากเซียวเฟิงเลยตั้งแต่ที่เขาเข้ามา หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาบ้างแล้ว เขาก็เอ่ยขัดขึ้นมาโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะทำให้บรรยากาศเสีย
“แล้วลุงเป็นใครกันน่ะ?” ชายหนุ่มผู้มาใหม่ไม่ได้เพิกเฉยต่อคำถามนั้น เขาหันกลับไปตามต้นเสียงที่ถามมาแล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงห้วน
“ฮึ่ม! ข้าคือซีเหมินเว่ย เจ้าตระกูลซีเหมิน!” ซีเหมินเว่ย ชายชราผู้สวมชุดถังจวงกล่าวแนะนำตนพร้อมพ่นลมหายใจแรง
“อ้อ ที่แท้ก็เจ้าตระกูลรุ่นก่อนนี่เอง ไหน ๆ ก็เกษียณไปแล้วทำไมถึงไม่ใช้ชีวิตที่เหลือรอวันตายอย่างสงบสุขล่ะ? ไม่น่าเอามันมาทิ้งก่อนวัยอันควรนะรู้ไหม?” เมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เซียวเฟิงก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“คิดไว้ไม่ผิดจริง ๆ เจ้ามันไอ้คนนอกคอก ปากของผู้ไร้การศึกษาย่อมพูดแต่เรื่องไร้การศึกษา น่าเสียดายจริง ๆ ที่ประวัติศาสตร์อันยาวนานร่วมพันปีของตระกูลจางต้องมามีปัจจุบันเป็นเจ้าเช่นนี้”
แม้น้ำเสียงจะเยือกเย็น แต่มันก็ชัดเจนว่าซีเหมินเว่ยกำลังโกรธจนหน้ายับไปหมด
“คำพูดที่มาจากการศึกษาก็ควรใช้กับผู้คนที่มีการศึกษา ใครยิ้มให้ฉัน ฉันก็ยิ้มให้กลับ แต่ถ้าหมาตัวไหนมันกล้ามาเห่าใส่ฉัน ฉันก็จะเตะมันให้กลิ้งเลย” สีหน้าของเซียวเฟิงยังคงไม่เปลี่ยนไป เขายังคงพูดและยิ้มให้กับอีกฝ่าย
“อวดดีนักนะ!” ความเยือกเย็นของซีเหมินเว่ยหายไปในทันตา เขารับไม่ได้มาก ๆ ที่เซียวเฟิงเรียกเขาเป็นหมา
“อย่าอารมณ์ร้อนในที่ของข้า” จางจงเหลียงลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฮึ่ม!” พลันเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของจางเสี่ยวหยู ซีเหมินเว่ยก็หายใจรุนแรงและนั่งลงไปช้า ๆ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงไว้ซึ่งสีหน้าน่ารังเกียจเช่นเดิม
เซียวเฟิงหันไปโค้งให้จางจงเหลียงอีกครั้งแต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
“ในเมื่อชายชู้และสตรีสำส่อนมาอยู่รวมกันที่นี่แล้วมันก็ง่ายหน่อย เอาล่ะ เพื่อยกประโยชน์ให้แก่ตระกูลจาง ข้าจะไม่ขอให้ท่านรับผิดชอบอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แลกกับการที่ข้าจะพานังสตรีผู้นี้กลับไปกับข้าด้วย! เพราะถึงแม้นางจะไม่ใช่สตรีที่น่าเคารพ แต่นางก็ได้หมั้นหมายกับลูกหลานตระกูลซีเหมินของข้าไปแล้ว ข้าจะให้นางได้รับการสั่งสอนบทเรียนด้วยตัวข้าเอง”
ทั้งน้ำเสียงและถ้อยคำมันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าซีเหมินเว่ยนั้นกำลังอารมณ์ไม่ดีแบบสุด ๆ เขาไม่ยับยั้งคำพูดและกล้าที่จะพูดถ้อยคำที่รุนแรงเช่นนั้นออกมาได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น
“ตาแก่ ระวังปากด้วย เธอคนนี้เป็นผู้หญิงของฉัน แกคิดจะสั่งสอนบทเรียนอะไรกับเธอไม่ทราบ? แล้วคิดว่าจะพาเธอไปไหนก็ได้ตามที่ใจต้องการงั้นเหรอ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวเฟิงจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความเยือกเย็นทันที
“ไอ้คนไม่มีสัมมาคารวะนี่! เจ้าอยากจะหาเรื่องตายงั้นเหรอ? คิดว่าเจ้าเป็นคนจากตระกูลจางแล้วข้าจะไม่กล้าสั่งสอนเจ้าด้วยหรือไง!”
ซีเหมินเว่ยหันมองเซียวเฟิงด้วยความโกรธเคือง เขาลุกขึ้นและจ้องเขม็งใส่เซียวเฟิงด้วยรังสีอำมหิต
ในฐานะที่เขาเป็นถึงอดีตเจ้าตระกูลซีเหมิน สถานะของเขานับว่าสูงส่งนัก และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครพูดกับเขาเช่นนี้ต่อหน้าต่อตามาก่อนเลย
“ถ้าคิดจะทำอย่างที่พูด ก็อย่าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระสิ” เซียวเฟิงแสยะยิ้มแล้วดูถูกอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
“ท่านเจ้าตระกูลจาง! ข้าเข้าใจถึงความหยิ่งผยองและหยาบคายของไอ้เด็กคนนี้แล้ว! ไม่แปลกใจเลยจริง ๆ ที่ท่านขับไล่มันออกไปจากตระกูลจางก่อนหน้า! แต่ก็นะ ข้าจะไว้หน้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย ในเมื่อพวกเราอยู่ในสถานที่ของตระกูลจาง ภายใต้อารามซือเซียวแห่งนี้ ข้าจะให้ท่านเป็นคนตัดสินใจกับเรื่องนี้ด้วยตัวท่านเอง”
ความคับแค้นและเจ็บช้ำก่อตัวขึ้นภายในอกซีเหมินเว่ยจนหนักอึ้ง เขาพยายามข่มความโกรธทั้งหมดไว้และกลับไปนั่งเช่นเดิมก่อนจะพูดขึ้นมา
จางจงเหลียงพยักหน้าช้า ๆ และหันไปมองทางเซียวเฟิง ซึ่งเซียวเฟิงเองก็สบตากับเขาด้วยพอดิบพอดี
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าซางกวนซีเฟยผ่านอะไรมาบ้าง?” จางจงเหลียงถามเซียวเฟิง
“รู้อยู่แล้ว” เซียวเฟิงพยักหน้า
“แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าว่าเธอได้หมั้นหมายกับตระกูลซีเหมินไว้?” ชายวัยกลางคนถามต่อ
“เรื่องนั้นก็รู้” เช่นเดิม เซียวเฟิงยังคงพยักหน้ารับ
“ถ้างั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องจะมาบรรจบเช่นนี้?” แม้จางจงเหลียงจะยังคงถามอยู่ แต่คำถามเหล่านี้กลับทำให้ซีเหมินเว่ยขมวดคิ้ว เพราะมันเป็นคำถามที่แสดงให้เห็นถึงความรักและห่วงใยที่อีกฝ่ายมีต่อเซียวเฟิง
สิ่งเหล่านี้มันทำให้ซีเหมินเว่ยที่กำลังได้ใจแสดงสีหน้าน่ารังเกียจมากขึ้นกว่าเดิมออกมา จากนั้นความคิดมากมายก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา ไม่ว่าจะเป็นการที่สองพ่อลูกนี้ยังรักกันเหมือนเดิม การใช้อำนาจอยู่เหนือผู้คน ผลประโยชน์ในโลกของเกม ทุกสิ่งอย่างมันผุดขึ้นมาทีละเรื่อง ๆ จนอัดแน่นรวมกันอยู่ในหัว
“ท่านอยากจะจัดการอย่างไรก็ได้ตามที่ต้องการ แต่ถ้าท่านคิดจะแตะต้องผู้หญิงของผม เห็นทีคงจะไม่ได้” เซียวเฟิงย้ำแน่นด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความหวาดกลัว
“อืม ถ้าในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ พวกเราจะใช้บัญญัติโบราณเพื่อตัดสินก็แล้วกัน” จางจงเหลียงพยักหน้ารับคำพูดของเซียวเฟิงแล้วพูดขึ้นมา
“บัญญัติโบราณ!” ซีเหมินเว่ยและชายเครายาววัยกลางคนต่างพากันตกตะลึง
“ไม่ได้นะ!” ชายเครายาววัยกลางคนเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นปฏิเสธ สีหน้าของเขาแสดงความกังวลขณะหันไปมองจางจงเหลียง
“แต่จะว่าไปข้าว่าใช้วิธีนี้ก็เหมาะสมมาก ๆ เหมือนกันนะ” ทว่าซีเหมินเว่ยก็แสยะยิ้มออกมาหลังคิดอะไรบางอย่างได้
“อะไรคือบัญญัติโบราณ?” เซียวเฟิงหันไปมองทางจางเสี่ยวหยูหลังจากเห็นว่าเธอแสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา ด้วยสีหน้านั้นมันเลยอดทำให้เขาถามกลับด้วยความสงสัยไม่ได้