Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 542 เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
บทที่ 542 เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
บทที่ 542 เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
“ไม่ต้องรีบไปตอนนี้ก็ได้ นายยังเหลืออีกตั้ง 2 เลเวลกว่าจะเปลี่ยนคลาส 3 ได้ อย่าลืมสิว่านายต้องเลเวล 50 ก่อนนะ”
หลิวเฉียงเหว่ยรีบพูดดักขึ้นมาก่อนหลังเห็นว่าหานเฟิงเตรียมที่จะสั่งใช้งานคัมภีร์เมืองจักรวรรดิเพื่อเทเลพอร์ตตนเองไปแล้ว
“อ๊ะ นั่นสินะครับ NPC การ์ดเลเวล 50 น่าจะเก่งกว่ามากเลยสินะครับ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะรีบไปเก็บเลเวลก่อน” หานเฟิงรีบตอบรับ
“นายไม่ได้สังเกตเหรอว่าค่าประสบการณ์นายเพิ่มขึ้นตลอดเวลาน่ะ?” หลิวเฉียงเหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เอ๋? จริงด้วย แถมยังเพิ่มขึ้นเร็วด้วยนี่หว่า!? เกิดอะไรขึ้นน่ะครับ?” นัยน์ตาของหานเฟิงเบิกกว้างหลังตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เขารีบหันกลับไปมองหญิงสาวผู้พูดด้วยความตกใจทันที
หลิวเฉียงเหว่ยเพียงชี้ไปบนรอยแยกบนฟ้าที่กำลังส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ลงมาเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้หานเฟิงเข้าใจสถานการณ์ได้แล้ว
“นั่นคือ…สกิลของนายท่านเหรอครับ? ฉันเพิ่งจะเดาไปเองว่าคนที่ใช้สกิลนี้ได้ต้องเป็นผู้เล่นที่มีระดับเดียวกันนายท่านแท้ ๆ เอาเถอะ ถ้างั้น ฉันจะรออยู่อย่างงี้ซักพักจนกว่าจะเลเวล 50 ก็แล้วกัน จากนั้นค่อยไปเมืองจักรวรรดิ”
หลังจากที่เข้าใจทุกสิ่งอย่างแล้ว หานเฟิงก็เริ่มมีไฟในการต่อสู้มากขึ้น เขาพูดออกมาด้วยท่าทีร่าเริงกว่าเมื่อครู่
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างนายกับชินห่าว ทำไมนายถึงกลายมาเป็นหัวหน้ากิลด์กางเขนเหล็กไปได้?” ตอนนั้นเอง จู่ ๆ เซียวเฟิงก็ถามขึ้นมา
“อ่า นั่นแย่ มันเป็นแค่เรื่องขี้ประติ๋วน่ะครับ แล้วก็ไม่ได้น่าภูมิใจที่จะพูดด้วย ไม่ใช่ว่าฉันเองก็เคยพูดเรื่องนี้กับนายท่านไปแล้วเหรอครับ? ที่ว่าฉันเป็นลูกนอกกฎหมาย แต่เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาในตระกูล การสืบทอดมันควรจะตกมาอยู่ในมือของทายาทที่ใกล้เคียงกับทายาทสายตรงมากที่สุด อีกอย่างฉันน่ะ มองชินห่าวออกทะลุปรุโปร่งเลยล่ะ ไอ้หน้าหมานั่น…เพราะงั้นเจ้าตัวก็เลยยอมดันให้ฉันขึ้นมาแทน”
หานเฟิงพูดขึ้นมาด้วยประโยคง่าย ๆ
เซียวเฟิงพยักหน้ารับ เขาเองก็พอจะเข้าใจเรื่องนี้ได้บ้าง หลังจากที่ไม่มีอะไรคาใจและต้องทำในบริเวณนี้ต่อแล้ว เขาก็เตรียมที่จะออกจากที่นี่ไป “ถ้างั้นฉันจะไปทำภารกิจแล้วนะ”
“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน พี่เซียว!” ก่อนที่หลิวเฉียงเหว่ยและหานเฟิงจะได้กล่าวคำลาเซียวเฟิง เจ๋าซือที่อยู่ใกล้ ๆ รีบเดินเข้ามาและรั้งเซียวเฟิงเอาไว้
“มีปัญหาอะไรน่ะ?” เซียวเฟิงหันกลับมามองด้วยความประหลาดใจ
“พี่เซียว ฉันมีเรื่องคาใจที่ไม่รู้จะพูดดีหรือเปล่า” เจ๋าซือดูลังเลขณะที่แอบมองไปยังหลิวเฉียงเหว่ย ส่วนนิโคลัสเถียซูก็ดูจะกระอักกระอ่วนระหว่างที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วย
“งั้นก็ไปตรงนู้นกัน ฉันอยากจะดูสถานการณ์ส่วนโน้นหน่อย” หลิวเฉียงเหว่ยมองไปยังเซียวเฟิงสลับกับเจ๋าซือ จากนั้นก็หันไปทางอื่นแล้วเดินนำหานเฟิงไปโดยไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไร ซึ่งหานเฟิงเองก็ได้แต่ตามไปเงียบ ๆ แม้จะอยากรู้ว่าเจ๋าซือคุยอะไรกับเซียวเฟิงก็ตาม
“มีอะไร?” เพียงชั่วพริบตา ที่บริเวณนี้ก็เหลือเพียงเซียวเฟิงและเจ๋าซือแล้ว แม้แต่เถียซูเองก็ยังอยู่ไกล เมื่อได้โอกาส เซียวเฟิงก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่เซียว พี่รู้หรือเปล่าว่าน้องโตวโตวชอบพี่น่ะ?” เจ๋าซือกัดฟันแน่นก่อนจะถามออกมาเมื่อรวบรวมความกล้าได้แล้ว
อันที่จริง เขานั้นเป็นพี่เฉียนโตวโตวอยู่หลายปี แต่หลังจากการที่ได้เจอกับเฉียนโตวโตว มันทำให้สองพี่น้องนิโคลัสรู้สึกว่า เฉียนโตวโตวดูโตกว่าพวกเขามาก เหมือนได้อยู่กับพี่สาว
“รู้” เซียวเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและพูดตอบ เฉียนโตวโตวนั้นเป็นคนที่แสดงอารมณ์ของตนออกมาตรง ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นเธอเลยไม่เคยปิดบังเรื่องที่คิดยังไงกับเขาเลย เช่นเดียวกับที่เซียวเฟิงมักจะแสดงอารมณ์ออกมาตรง ๆ มาโดยตลอดนั่นแหละ
“ถ้างั้นแล้วพี่เซียวจะเลี้ยงดูเธอยังไง? น้องโตวโตวน่ะเป็นเด็กดีมากเลยนะ ฉันไม่อยากให้พี่ทำร้ายเธอ” เจ๋าซือถามต่อ
“ไม่ทำอยู่แล้วน่า” ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ๆ
มองไปยังท่าทีของเจ๋าซือแล้ว เซียวเฟิงก็ยังไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้สนใจในตัวเฉียนโตวโตวมากขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้แปลกใจว่า ทำไมพักหลังมานี้เขาถึงไม่เห็นสองพี่น้องนิโคลัสเลย บางทีน่าจะเกี่ยวกับเรื่องระหว่างสองคนนี้ก็ได้
“ยังไงก็เถอะ เมื่อครั้งที่เราได้เจอกันที่มหาวิทยาลัย ผู้หญิงที่ตามพี่ไปกินกระทะร้อนด้วยตอนนั้น ใช่ดาวมหาลัยซือเยี่ยจิ๋งหรือเปล่า? ครั้งนู้นฉันไม่มั่นใจว่าใช่เธอไหม แต่หลังจากที่ตัวตนของท่านไนท์คูนเนอร์ถูกเปิดเผย ฉันถึงได้มั่นใจ เธอต้องเป็นดาวมหาลัยคนสวยคนนั้นแน่ ๆ! แถมยังเป็นจักรพรรดินีแห่งการสังหารผู้โด่งดังในเขตฮัวเซียอีก! แล้วเธอก็ยังสนิทกับพี่เซียวด้วย!” เจ๋าซือพูด
“นั่นก็ใช่” เซียวเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขานึกถึงตอนที่พบกับพี่น้องนิโคลัสในโลกแห่งความจริงครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นเขาไปกินกระทะร้อนกับซือเยี่ยจิ๋งจริง ๆ
“ไม่เพียงเท่านั้น มันยังมีข่าวว่าท่านประธานเฉียงเหว่ย ยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพี่ด้วยเหมือนกัน แบบนี้แล้วพี่เซียวจะสามารถดูแลน้องโตวโตวได้ดีจริง ๆ เหรอ!?” หลังจากที่ชงข้อมูลทุกอย่างที่รู้มาหมดแล้ว เจ๋าซือจึงพูดเสริมในสิ่งที่เขาสงสัยออกมาปิดท้าย
“แค่ก! แค่ก ๆ!” พลันเมื่อได้ยินประโยคคำถามปิดท้ายนั้น เซียวเฟิงก็ถึงกับสำลักออกมาทันที เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้
“อ่ะ ต้องขอโทษที่ฉันเสียมารยาทไปด้วยพี่เซียว ฉันไม่มีค่าพอจะรบกวนเวลาชีวิตพี่จริง ๆ ฉันแค่หวังว่าพี่จะไม่ทำร้ายน้องโตวโตวเท่านั้น ถ้ายังไงเดี๋ยวพวกเราจะกลับไปที่สนามรบเพื่อป้องกันเส้นทางข้ามเขตแดนต่อแล้ว”
โชคยังดีที่เจ๋าซือตอบสนองไว เขารีบกล่าวขอโทษก่อนที่ตนจะเผลอยั่วยุเซียวเฟิงมากไปกว่านี้ จากนั้นก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังสนามรบทันที
“แอบฟังมันสนุกนักหรือไงน่ะ?”
เซียวเฟิงส่ายหน้าเบา ๆ หลังจากที่อีกฝ่ายจากไปแล้ว จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนว่ากำลังโกรธอยู่โดยที่ยังไม่มีใครปรากฏตัวออกมา
“ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยว่าโตวโตวจะเนื้อหอมขนาดนี้ ดูพ่อหนุ่มมหาวิทยาลัยเซียคนนั้นจะหลงเธอหัวปักหัวปำเลยนี่” ร่างของซือเยี่ยจิ๋งที่สง่างามค่อย ๆ คลายออกจากการล่องหนและพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก
มันไม่มีทางที่เธอจะสามารถซ่อนตัวจากเซียวเฟิงได้อยู่แล้ว นั่นเพราะเซียวเฟิงสามารถรับรู้ได้ว่าเป็นซือเยี่ยจิ๋งได้อย่างง่าย ๆ เพียงแค่ได้กลิ่น เขาคุ้นเคยกับกลิ่นน้ำหอมที่สาว ๆ ในคฤหาสน์ที่ทุกคนใช้ ซึ่งแน่นอนว่าการที่ซือเยี่ยจิ๋งมาอยู่ที่นี่ ก็เพราะหลิวเฉียงเหว่ยอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้เธอคนนั้นมีสถานะที่ค่อนข้างจะพิเศษในโลกใบนี้ไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่เธอจะมาอยู่ด้านนอกตัวคนเดียว รอบ ๆ ตัวหลิวเฉียงเหว่ยนั้นไม่เคยขาดการคุ้มกันจากคนคุ้มกันที่ไม่เปิดเผยตัว
“ในฐานะที่เป็นนักศักษามหาวิทยาลัยเซีย เธอเองก็น่าหลงใหลไม่แพ้คนอื่นหรอก” เซียวเฟิงเอ่ยมุกตลกที่หาฟังได้ยากออกมา
“ของมันแน่อยู่แล้ว ผู้ชายที่ไล่ตามฉันน่ะ จับมาเรียงแถวที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปลายแถวก็คงจะอยู่กลางเมืองเลยละมั้ง แต่นายกลับไม่ยอมทำตัวให้ดี ๆ กับฉัน” ซือเยี่ยจิ๋งกอดอกและพูด ท่าทางของเธอดูจะภาคภูมิใจในตนเองมาก ๆ
“แล้วฉันทำตัวไม่ดีกับเธอหรือไง?” เซียวเฟิงหัวเราะ
“ตะ…แต่นายทำดีกับทุกคน เท่าเทียมกันเกินไป!” ซือเยี่ยจิ๋งกระซิบกระซาบด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“งั้นเหรอ ถ้างั้นเห็นทีฉันคงจะเอาเจ้ามีดสั้นนี่ให้เธอไม่ได้ซะละ เดี๋ยวจะไม่เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ” นักบวชหนุ่มแสร้งทำสีหน้าเสียดายขณะหยิบเอามีดสั้นที่เปล่งแสงสีม่วงออกจากกระเป๋าด้านหลังมาควงเล่นด้วย
เขาจำไม่ได้แล้วว่ามีดเล่มนี้ได้มาจากบอสตนไหน แล้วเขาก็ลืมว่าจะให้ซือเยี่ยจิ๋งมาตลอดเวลาเจอหน้าเธอ จนกระทั่งตอนนี้
“นะ…นะ…นั่น! ฉันผิดไปแล้ว! นายดีกับฉันที่สุดเลย! เอามันให้ฉันนะ!” สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปในทันที เธอมองไปยังเซียวเฟิงด้วยความโหยหาอย่างหาที่สุดมิได้
เซียวเฟิงส่ายหน้าเบา ๆ และไม่ได้จงใจจะแกล้งอะไรเธออีก เขาส่งมีดสั้นระดับอาร์ติแฟกต์เล่มนั้นให้เธออย่างง่ายดาย
“ยังไงก็เถอะ…แล้วเรื่องของเซียวหลิงเป็นยังไงบ้าง?” ซือเยี่ยจิ๋งเชยชมมีดสั้นเล่มใหม่นั้นอยู่พักใหญ่ก่อนจะหันกลับมาถามเซียวเฟิงด้วยความใส่ใจ
ลูอิส มีน่าจากที่นี่ไปเกือบจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่เซียวหลิงก็ยังไม่ออกมาจากห้องของเซียวเฟิงเลย เด็กคนนั้นเก็บตัวอยู่ในห้องของเซียวเฟิงทุกวัน ๆ จนพวกเธอไม่สามารถเข้าไปอยู่กับเซียวเฟิงได้พักใหญ่ ๆ แล้ว
“เซียวหลิง…คงจะเกลียดฉันไปแล้วมั้ง ยังไงซะฉันก็เป็นคนฆ่าพ่อแท้ ๆ ของเธอ แถมยังเกือบฆ่าแม่แท้ ๆ ของเธออีก ตอนนี้ฉันเป็นหนี้เด็กคนนี้อยู่” เซียวเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมา
“แต่นายก็ดูแลเธอเป็นการตอบแทนอยู่ไม่ใช่หรือไง? นอกจากนี้มันก็เป็นฝั่งครอบครัวเซียวหลิงก่อนที่พยายามจะฆ่านายแท้ ๆ สิ่งที่นายทำกับพวกเขาก็แค่การแก้แค้นเฉย ๆ เอง” ชัดเจนเลยว่าซือเยี่ยจิ๋งนั้นอยู่ฝั่งเดียวกับเซียวเฟิง
“ฉันก็หวังว่าสักวันเธอจะสามารถก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้ ถึงแม้ว่าเซียวหลิงจะเป็นเด็กที่ฉลาดมากก็จริง แต่ความจริงที่เธอยังเป็นเด็กก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้ ความนึกคิดของเธอยังไม่หนักแน่นพอ ฉันอยากจะให้การที่ความสัมพันธ์ของเธอและครอบครัวที่ไม่แข็งแรง กับการที่เธอไม่เข้าใจแนวคิดเรื่องครอบครัวจะช่วยให้เธอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้และกลับมาใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองอยากจะทำ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาสักพักก็ตาม” เซียวเฟิงถอนหายใจ
“พวกเราทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าเซียวหลิงต้องการเวลา แต่การจะให้เธออยู่รบกวนนายอยู่ตลอดเวลาจนกว่าสภาพจิตใจจะดีขึ้นมันก็เป็นเรื่องไม่ดีหรือเปล่า? การที่เธอไปนอนอยู่กับนายทุกวันแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วเหรอ?” ซือเยี่ยจิ๋งถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ดีตรงไหนน่ะ?…อย่างน้อย ๆ ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรอกุศลกับเซียวหลิงน่า” สติของเซียวเฟิงกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะเคยพูดว่าเซียวหลิงสวยเหมือนตุ๊กตา แต่นั่นก็หมายถึงเซียวเฟิงจะดูแลเธอให้ดีเหมือนผลงานชิ้นเอกที่โลกใบนี้ได้สรรค์สร้าง ดังนั้นเขาไม่มีทางคิดอะไรร้าย ๆ กับเด็กคนนี้อย่างแน่นอน
“ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย แค่…เอ่อ…ช่างมัน!” ยิ่งพูดเจาะลึกเรื่องนี้ ซือเยี่ยจิ๋งก็ยิ่งกระอักกระอ่วนที่จะพูดต่อ เธอล้มเลิกความพยายามและปัดเรื่องนี้ทิ้งไป เพราะนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เซียวเฟิงแสดงความหัวช้าออกมาเช่นนี้
“ฉันจะฝากเสี่ยวไป๋ไว้กับเธอก็แล้วกัน เพราะเดี๋ยวฉันต้องไปเขตอื่นต่อ ไว้ถ้าเซียวหลิงออนไลน์แล้วก็ฝากเธอส่งเสี่ยวไป๋ให้เซียวหลิงด้วย”
เซียวเฟิงไม่ได้เรียกเสี่ยวไป๋กลับเข้ามิติสัตว์เลี้ยงไป กลับกันเขาเลือกที่จะจูงมือนางฟ้าตัวน้อยไปส่งให้ซือเยี่ยจิ๋งอย่างอ่อนโยน
“ขะ…เข้าใจแล้ว”
มือสังหารสาวพยักหน้าและจับมือเสี่ยวไป๋เบา ๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็ช่วยลูบเรือนผมสีเงินที่ปกปิดใบหน้าจิ้มลิ้มของเสี่ยวไป๋ไว้ให้ขยับออก ท่าทีของเธอแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเธอเองก็ใส่ใจผู้อื่นมาก ๆ เหมือนกัน
“เสี่ยวเสวีย ไปกันเถอะ”
ปราศจากคำร่ำลา เซียวเฟิงอัญเชิญเสี่ยวเสวียออกมาอีกครั้งและขึ้นไปขี่ยูนิคอร์นสีขาวสะอาดตนนี้อย่างรวดเร็วก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าไป
เขาตรงไปยังสมรภูมิที่อยูใกล้ ๆ ก่อนเพื่อใช้เส้นทางข้ามเขตแดนของที่นั่นในการพาตนไปยังเขตอิตาลี และมุ่งหน้าเข้าสู่ศูนย์บัญชาการวิหารแห่งแสงในเขตยุโรปต่อเป็นขั้น ๆ
เขตอิตาลีนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแห่งพระเจ้าอีกต่อไป แต่ตั้งตนเป็นทวีปภายใต้การปกครองของโรม
นอกจากนี้ เขตอิตาลียังเป็นหนึ่งในไม่กี่เขตที่ไม่ได้รวมหัวกันเข้าโจมตีเขตฮัวเซียด้วย นั่นเพราะพวกเขาเป็นเขตที่รักสงบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ที่นี่มีเส้นทางข้ามเขตแดนเพียงสองแห่งเท่านั้น แห่งหนึ่งอยู่เหนือส่วนอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่ฟากใต้ ไม่มีเส้นทางข้ามเขตแดนเข้าสู่ใจกลางเขต และเพราะแบบนี้มันเลยทำให้เซียวเฟิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะหลังจากที่เขาตรวจสอบแผนที่โลกนี้แล้ว เขาก็รู้มาว่า เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้นอยู่ใจกลางเขตอิตาลีเลย ถ้าหากไร้ซึ่งเส้นทางข้ามเขตแดนที่กลางเขตแล้ว ก็เหลือแต่การบินไปถึงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น
ในตอนนี้เขายังไม่เห็นวิธีอื่นที่จะเร็วกว่านี้ ดังนั้นเซียวเฟิงต้องเริ่มจากเลือกจะไปผ่านเข้าไปยังฟากเหนือหรือใต้ของเขตอิตาลีและบินย้อนกลับไปยังจุดกลางเขต โชคยังดีที่บริเวณเส้นทางข้ามเขตแดนทั้งสองจุดของเขตอิตาลี ไม่มีการต่อสู้ใด ๆ เพราะงั้นเพียงแค่พรางตัวไม่ทำให้ตนเองเป็นที่สนใจของผู้เล่นเขตนี้ เขาน่าจะสามารถบินเข้าไปยังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้โดยตรง
ถึงแม้ว่าเขตอิตาลีจะไม่ใช่เขตใหญ่โตนักเมื่อเทียบกับเขตฮัวเซีย แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่เขตเล็ก ๆ อย่างน้อย ๆ การบินจากชายแดนเข้าไปถึงใจกลางเขตก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่
ซึ่งระหว่างทางที่กำลังบิน หลิวเฉียงเหว่ยและหานเฟิงที่เลเวลถึง 50 แล้วก็ออกจากปาร์ตี้ไปตาม ๆ กัน ไม่ได้อยู่ในปาร์ตี้ต่อเพื่อแย่งค่าประสบการณ์จากเซียวเฟิง
เมื่อเค้าโครงของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กสามารถมองเห็นได้จาง ๆ ระยะเวลาของประตูสวรรค์ก็หมดลงพอดี และมันก็ทำให้จอเล็ก ๆ ที่ฉายภาพของเขตแดนฟากตะวันตกของเขตฮัวเซียนั้นหายไปด้วย เลเวลของเซียวเฟิงเพิ่มจาก 66 เป็น 68 แล้ว ส่วนค่าจิตวิญญาณของเขาก็แตะ 3,350 หน่วยเป็นที่เรียบร้อย และสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ พลังชีวิตของเขา มันทะลุ 11,200 หน่วยเข้าไปแล้ว!
จากการคำนวณคร่าว ๆ ของเซียวเฟิงนั้น ความสามารถในการกวาดล้างของประตูสวรรค์นั้นสูงกว่าของหอกศักดิ์สิทธิ์ลองกินัสมากมายเลยทีเดียว หากไม่เทียบเรื่องขนาดของสกิลที่สามารถทำลายพื้นที่บริเวณกว้างได้ในพริบตาเดียว และทำให้ผู้เล่นกว่าล้านชีวิตตายในทันที ประตูสวรรค์ที่มีระยะเวลาการแสดงผลสกิลที่ยาวนานกว่า 5 ชั่วโมง กับบอสระดับสูงอีกนับพันตัวที่กระจายตัวไปในทุกหนทุกแห่งเพื่อเข่นฆ่าศัตรูตามคำสั่ง
ดังนั้นแล้วความเสียหายที่สกิลนี้สร้างได้ จึงมีมากกว่าหอกลองกินัสที่ทำความเสียหายเพียงครั้งเดียวและไม่ต่อเนื่อง
จุดสังเกตที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ ค่าประสบการณ์ปริมาณมหาศาลที่ทำให้เซียวเฟิงเลเวลอัปเป็น 68 ได้นั่นแหละ เพราะเมื่อเทียบกับค่าประสบการณ์ที่ต้องใช้ช่วงเลเวล 59 นั้นคนละเรื่องกันเลย ขนาดที่มีหลิวเฉียงเหว่ยและหานเฟิงคอยแบ่งค่าประสบการณ์ไปบางส่วน เซียวเฟิงก็ยังสามารถเลเวลอัปได้ถึง 2 เลเวลอยู่ดี!