Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 553 เหนือเมฆ
บทที่ 553 เหนือเมฆ
บทที่ 553 เหนือเมฆ
แผนการของคราวน์ปรินซ์คือการเดิมพัน แต่ก็นับว่าเป็นแผนการที่น่าเสี่ยงดูไม่ใช่น้อย พวกเราจำเป็นต้องหวังพึ่งพลังของเขตฮัวเซียทั้งเขต เพื่อที่จะถล่มเขตอเมริกาเหนือให้เกิดความห่างชั้นขึ้นมาระหว่างสองเขตนี้ ถ้าสำเร็จ นั่นหมายถึง…เรายิงปืนครั้งเดียว แต่ได้นกถึงสองตัวเลย!
ด้วยพลังของเขตฮัวเซียนั้น เมื่อเทียบกับเขตอื่น ๆ แล้ว แม้แต่เขตอเมริกาเหนือเองก็ไม่สามารถเทียบเท่าได้ เพราะงั้นยุทธศาสตร์นี้จึงมีความเป็นไปได้สูง
แต่ปัญหาหลักนั้นอยู่ที่ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงแล้วก่อนที่สงครามระหว่างเขตแดนจะจบลง พวกเขาจะสามารถปิดช่องโหว่ 200 ล้านแต้มด้วยเวลาที่เหลืออยู่นี้ได้ทันหรือเปล่า
นี่แหละความเสี่ยง!
วันสุดท้ายของอีเวนต์นี้แน่นอนเลยว่ามันเป็นวันที่สำคัญที่สุด ในโลกแห่งความจริง ทางการของเขตฮัวเซียก็มีประกาศให้วันนี้เป็นวันหยุดของทุกหน่วยงานด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานเล็กหรือใหญ่รวมไปถึงโรงเรียนทั่วประเทศ ต่างก็ได้รับวันหยุดพิเศษหนึ่งวันกันทั้งหมด
มันถือเป็นวันหยุดแห่งชาติ! ชัดเจนเลยว่ามันถูกจัดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนพลังของเขตฮัวเซียแบบ 100% ประชาชนทุกคนเป็นทหารคนหนึ่ง!
แม้แต่พลังของเด็กวัยเรียนก็จำเป็น! เพราะนี่ถือเป็นก้าวสำคัญ!
เพราะพวกเขารู้ว่านี่เป็นวันสุดท้ายของสงคราม และมันจะไม่ใช่วันที่สงบสุขแน่นอน ทุกเขตแดนจะเริ่มโหมเข้าโจมตีกันอย่างดุดันและหนักหน่วงมากกว่าวันไหน ๆ!
ตอนนี้มีผู้เล่นราว ๆ ห้าสิบล้านคนในเขตฮัวเซียที่ก้าวขึ้นเป็นคลาส 3 ได้แล้ว ซึ่งตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็กำลังมุ่งหน้าไปยังเขตอเมริกาเหนือเพื่อต่อสู้อย่างไม่มีการออมมือ ต่อสู้กับศัตรูที่มีมากกว่าพวกเขาถึง 10 เท่า!
ส่วนเส้นทางข้ามเขตแดนทั้งเก้าของเขตฮัวเซียก็เริ่มทยอยส่งหน่วยสำรวจข้ามเขตแดนไปตรวจสอบสถานการณ์ที่อีกฝั่งหนึ่งกันแล้ว!
ภายใต้การนำทีมของเหล่ากิลด์หลัก ๆ และเหล่านักข่าวที่คอยเป็นหูเป็นตา ในวันสุดท้ายของสงครามระหว่างเขตแดนนี้ จะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
สงครามในเขตอเมริกาเหนือเริ่มขึ้นตอนตีสองในวันที่เจ็ดของอีเวนต์ นั่นหมายถึงมันเริ่มขึ้นก่อนที่อีเวนต์จะจบลงในอีก 22 ชั่วโมง และนี่เอง ก็ถือว่าสงครามชี้ชะตาได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!
กำลังหลักของทัพที่เข้าโจมตีแนวหน้าของเขตอเมริกาเหนือ คือ หน่วยสำรวจที่สองที่ถอยทัพมาจากเขตอินเดีย เพื่อทดแทนหน่วยสำรวจที่หนึ่งที่ถอนตัวออกไปบางส่วน ผนวกกับเหล่าผู้เล่นที่เพิ่งจะขึ้นคลาส 3 ได้จากเขตฮัวเซีย ทั้งนี้ผู้เล่นจากหน่วยสำรวจที่หนึ่งบางคนนั้นจะบุกทะลวงเข้าไปในส่วนลึกสุดของเขตอเมริกาเหนือเพื่อใช้ยุทธการถล่มกองโจรในขั้นต่อไป
หนึ่งในสนามรบที่ใหญ่ที่สุด คงหนีไม่พ้น เส้นทางข้ามเขตแดนส่วนกลางเขตอเมริกาเหนือ ที่นั่นมีผู้เล่นจากเขตฮัวเซียกว่าสิบล้านคน ในขณะที่มีผู้เล่นของเขตตนเองประจำการอยู่ถึงร้อยล้านคนจนนับไม่ถ้วน กลุ่มของผู้คนสองกลุ่มที่มีปริมาณต่างกันราวกับฟ้าและเหวนั้นเริ่มเข้าห้ำหั่นกันทันทีหลังแตรแห่งสงครามดังขึ้น!
เปรี้ยง!
ทะเลสายฟ้าปรากฏขึ้นเพราะกับเสียงสายฟ้าฟาดที่ดังกระหน่ำ แน่นอนว่าสงครามชี้ชะตาระดับนี้ เหล่าผู้เล่นระดับเทพจะไม่มีทางพลาดแน่ ๆ แล้วยิ่งเป็นสงครามระหว่างสองเขตใหญ่ด้วย ยามที่เหล่าเทพทั้งสองฝั่งหันหน้าปะทะกัน มันทำให้ความรุนแรงของสกิลที่สาดใส่กันยิ่งใหญ่กว่าสงครามรอบอื่นเป็นไหน ๆ และในครั้งนี้ ฝ่ายอเมริกาเหนือได้พลาดไปแล้วหนึ่งครั้ง นั่นถือเป็นบทเรียนสำคัญ เพราะงั้นครั้งนี้พวกเขาจึงเตรียมตัวมาอย่างดี จะไม่ยอมให้ชัยชนะตกเป็นของเขตอื่นอีกเป็นครั้งที่สอง!
เซียวเฟิงไม่ได้เข้าร่วมกับศึกในครั้งนี้ด้วย สกิลโจมตีของเขาทั้งหมดถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ถึงสกิลเหล่านั้นจะพร้อมใช้งาน มันก็ไม่ได้ทำให้สงครามชี้ชะตานี้ได้เปรียบขึ้นมาแต่อย่างใด
อันที่จริง หากไม่มองว่าผู้เล่นเหล่านี้เป็นผู้เล่นระดับพระเจ้าแล้ว หากสกิลของพวกเขาไม่ได้มีพลังระดับที่ทำลายล้างได้ทั้งเมือง พวกเขาก็ไม่ได้เป็นวีรบุรุษแห่งสนามรบในช่วงเวลานี้กันขนาดนั้น
อย่างที่เห็นได้จากสถานการณ์ปัจจุบัน ถึงจะมีผู้เล่นระดับพระเจ้ากันทั้งสองฝ่ายที่กำลังเผชิญหน้ากัน และแม้ว่าเซียวเฟิงจะเป็นฝ่ายถอยกลับมาอยู่ที่กลางกลุ่มผู้เล่นจากเขตฮัวเซียแล้ว สนามรบก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด หรือต่อให้เขาไม่อยู่ที่นี่ตอนนี้ มันก็ไม่มีผลอะไรด้วย
เพราะสนามรบแห่งนี้มันใหญ่เกินไป!
ร่างที่สูงใหญ่และสง่างามของเสี่ยวเสวียสยายปีกกว้าง และด้วยปีกที่ทรงพลังนี้ ตัวมันได้ทะยานขึ้นน่านฟ้าเหนือสนามรบได้เพียงชั่วพริบตา มุ่งขึ้นสู่เพดานบินที่สูงที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ นั่นคือ ระดับเดียวกับชั้นเมฆ
เซียวเฟิงที่นั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวเสวียนั้นพยายามมองลงมายังเบื้องล่างอย่างใจเย็น แม้ว่าตัวเองจะขึ้นสูงถึงระดับนี้แล้ว แต่เขาก็ยังเห็นสนามรบไม่ทั่วอยู่ดี เขาสามารถมองเห็นได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
กลุ่มคนทั้งหมด มีปริมาณเยอะกว่าที่จะมองเห็นอยู่ในกรอบสายตาเสียอีก!
กลุ่มคนข้างล่างเบียดกันแออัดจนเหมือนกลุ่มก้อนเนื้อที่กำลังขยับกันไปมา พวกเขาผสมปนเปกันจนมั่วไปหมด สิ่งเดียวที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายแยกออกจากกันได้นั้น มีเพียงสีของพลังชีวิตที่อยู่เหนือหัวเท่านั้น
พื้นที่ขนาดใหญ่ที่เบื้องล่าง แบ่งได้เป็นกลุ่มสีแดงที่อยู่รอบนอกวงกลม เป็นกลุ่มของผู้เล่นเขตอเมริกาเหนือที่ออกมาป้องกันเขต ส่วนกลุ่มสีเขียวที่ถูกล้อมไว้อยู่ตรงกลางเป็นหน่วยสำรวจที่มาจากเขตฮัวเซีย ถ้าจะให้อธิบายให้ง่ายกว่านั้น เสมือนว่าเบื้องล่างนี้คือทะเลสาบสีดำ ที่เบื้องบนมีตะไคร่น้ำสีแดงกำลังห้องล้อมตะไคร่น้ำสีเขียวอยู่…
เซียวเฟิงถอนหายใจเบา ๆ และโบกมือที่ถือค้อนแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปมาเบา ๆ เขาไม่อยากจะใช้สกิลนี้สักเท่าไหร่ เพราะมันกินแรงมากเกินไป แถมผลลัพธ์ของมันเองก็อาจจะทำให้สมดุลของเกมเสียเลยด้วย ประการที่สอง ร่างกายของเขาจะต้องรับภาระอย่างหนัก ดังนั้นผลที่ตามมาของมันถือว่าใหญ่หลวงยิ่งนัก
แต่เดิมแล้ว หากสถานการณ์ของสงครามระหว่างเขตแดนนี้ยังคงราบรื่นเหมือนตอนแรก และพวกเขาจะสามารถแย่งชิงการเป็นอันดับ 1 มาได้ เซียวเฟิงคงไม่ต้องใช้สกิลนี้ แต่เพราะตอนนี้พวกเขาติดอยู่กับอันดับที่ 2 โดยที่อันดับแรกทิ้งห่างไปถึง 200 ล้านแต้มนั่นเอง
แผนของคราวน์ปรินซ์ไม่ได้ผล ในวันสุดท้ายของอีเวนต์นี้ การโต้กลับของเขตอื่น ๆ มันเหนือกว่าจินตนาการมาก ๆ ถึงแม้ว่าทั่วทั้งเขตฮัวเซียจะมีผู้เล่นเตรียมพร้อมกันอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ที่เส้นทางข้ามเขตแดนทั้งเก้าแห่งกลับไม่มั่นคงนัก พวกเขากำลังโดนกดดันจากฝ่ายที่กำลังรุกกลับมา
ตัวคราวน์ปรินซ์รู้ผลลัพธ์ของแผนการนี้มาตั้งนานแล้วว่ายังไงมันก็ไม่ได้ผล เขาพนันกับมันเอาไว้ ด้วยโอกาสชนะที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ๆ เพราะงั้นเขาจึงได้พูดประโยคนั้นไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว และพวกเขาเองก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นอีก…
“ฟู่….”
เซียวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพ่นมันออกมา เขาหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่ด้วยดวงตาที่เยือกเย็นและเฉียบคม
มันเป็นเรื่องจริงที่สกิลโจมตีของเขาถึงลิมิตกันหมดแล้ว นี่ถือเป็นข้อเสียเปรียบของคลาสจำพวกนักบวชเลย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถอุดข้อด้อยตรงจุดนี้ได้
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเซียวเฟิง ก็หาใช้การโจมตีไม่ แต่คือการสนับสนุนต่างหาก!
“ชูร่าไร้เทียมทาน!”
ด้วยเสียงที่แผ่วเบา ดวงตาของเซียวเฟิงเปลี่ยนสีในทันที ตาซ้ายของเขาเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีแดง ในขณะที่ตาขวาก็เปลี่ยนจากสีดำเป็นสีทอง!
ดวงตาต่างสีทั้งสองข้างนี้กำลังเปล่งแสงสว่างในตนเอง!
ไม่เพียงแต่นัยน์ตาทั้งสองข้างเท่านั้นที่เปลี่ยนสีและเปล่งแสง แต่พวกมันกำลังกลืนกินส่วนที่เป็นตาขาวไปด้วย ซึ่งทำให้ตอนนี้ ดวงตาทั้งลูกของเซียวเฟิงนั้น เปล่งแสงคนละสีโดยสมบูรณ์!
ห้วงกระแสของเวลารอบตัวของเขาหยุดช้าลงโดยพลัน การรับรู้ของเขากำลังพุ่งสู่จุดสูงสุด ขอบเขตและระยะสายตาของเซียวเฟิงในการมองสนามรบเบื้องล่างนั้นกำลังขยายกว้างขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
นี่เป็นการกระทำที่บ้าบิ่นที่สุดในการใช้พลังของตนเอง เซียวเฟิงสามารถมองเห็นสนามรบที่มีผู้เล่นกว่าสิบล้านคนได้เพียงการมองครั้งเดียว!
ใช่แล้ว ไม่เพียงแค่พัน ไม่ใช่แค่หมื่น แต่มากถึงสิบล้านในคราเดียว!
จากนั้นก็…
ที่พำนักแห่งทวยเทพ!
ค่ายกลคุ้มกันศักดิ์สิทธิ์!
การอวยชัยแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์
การคืนชีพศักดิ์สิทธิ์!
อวยพรอาวุธ!
อวยพรความกล้า!
อวยพรคุ้มครอง!
อวยพรชีวิต!
น้ำพุมนตรา!
…
แสงสว่างของภาพโฮโลแกรมปรากฏขึ้นเหนือสนามรบเบื้องล่าง มันเป็นร่างของเทวทูตขนาดยักษ์ที่กำลังลอยอยู่บนฟ้าและกำลังค่อย ๆ ลงมาใกล้พื้น ตามปกติแล้ว สกิลต่าง ๆ ที่สาดใส่กันในสนามรบจะไม่เป็นที่สนใจของผู้เล่นคนอื่น ๆ ทว่าเทวทูตตนนี้กลับไม่ใช่
ด้วยขนาดที่มหึมาราวกับเสาที่สูงเสียดฟ้า ร่างกายของเธอเทียบเท่าได้กับสนามรบครึ่งหนึ่ง และเมื่อเทียบกับทะเลสายฟ้าฟาดของเทพเจ้าสายฟ้าแล้ว สกิลนั้นมีขนาดเพียงฝ่ามือของเธอเท่านั้น!
เพราะงั้นแล้ว สิ่งนี้จึงไม่อาจหลุดรอดจากสายตาของผู้เล่นทุกฝ่ายไปได้เลย! พวกเขาไม่สามารถหยุดที่จะมองมายังเทวทูตตนนี้ได้!
มันจะใหญ่โตเกินไปแล้ว! น่าเกรงขาม! น่าเหลือเชื่อ! ไม่ว่าจะเป็นคำไหนต่างก็ไม่เพียงพอที่จะมาอธิบายสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ได้เลย!
นี่มันสกิลอะไรกัน? เจ้าของสกิลอัญเชิญเทวทูตองค์ยักษ์นี้ลงมาจริง ๆ เหรอ? ทั้งที่สนามรบแห่งนี้มีผู้เล่นกว่าร้อยล้านคนเนี่ยนะ!
ด้วยจำนวนผู้คนขนาดนี้ ต่อให้มีเรือบรรทุกเครื่องบินลำโตถูกโยนลงมากลางวงยังไม่รู้สึกว่าคนน้อยลงเลยแท้ ๆ แต่เทวทูตตนนี้กลับทำให้สนามรบดูเล็กลงได้เสียอย่างนั้น!?
เทวทูตยักษ์เพียงแค่ยืนสง่ามองลงมาเบื้องล่างด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเท่านั้น เธอไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น มันเลยทำให้ผู้เล่นเขตอเมริกาเหนือไม่รู้ว่าพวกตนควรจะรับมืออย่างไรดี
ไม่รู้ว่าเทวทูตตนนี้ทำอะไรได้ ไม่รู้แม้แต่ว่าใครเป็นคนร่ายด้วยซ้ำ ผิดกับทางฝั่งผู้เล่นเขตฮัวเซีย หลังจากที่พวกเขาพากันตกใจไปครู่หนึ่ง ความฮึกเหิมที่หายไปก็กลับมาเปี่ยมล้นอีกครั้ง!
นั่นเพราะหลังจากที่เทวทูตยักษ์ปรากฏตัวขึ้นได้ไม่นาน บัฟจำนวนมากมายก็ถูกติดตั้งเข้ามาที่ตัวพวกเขา ตามด้วยเสียงประกาศจากระบบที่ดังขึ้นในหูทำให้พวกเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?
เจ้าแห่งฮีลเลอร์ร่ายบัฟให้พวกเขาแล้ว!
“นี่มัน…”
“พระเจ้า! ไม่จริงใช่ไหม? อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของเจ้าแห่งฮีลเลอร์น่ะ!?”
“จริงเหรอเนี่ย!? เจ้าแห่งฮีลเลอร์จ่ายบัฟให้พวกเราทั้งหมดในสนามรบพร้อมกันเนี่ยนะ!?”
ความตกใจนี้กัดกินเข้าไปถึงใจกลางสมรภูมิ ณ จุดที่เหล่าแม่ทัพที่รับผิดชอบในสมรภูมิมารวมตัวกันอยู่ด้วย พวกเขาเหล่านี้เป็นหัวหน้ากิลด์หลัก ๆ กันทั้งหมด ที่คราวนี้มาด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น คราวน์ปรินซ์ หลิวเฉียงเหว่ย หวงฟูตงไล หลางฉิงเทียน หยู่หลง และคนอื่น ๆ อีก ซึ่งแต่ละคนต่างก็โด่งดังในฐานะหัวหน้ากิลด์มากฝีมือกันทั้งสิ้น
ยามที่ร่างของเทวทูตปรากฏขึ้นบนพื้นโลก พวกเขาก็ตกใจไม่ต่างกัน และหลังจากที่เห็นแสงสว่างของการได้รับบัฟ สว่างขึ้นจากตนเอง พวกเขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดอุทานออกมาไม่ได้
“ไม่น่าเชื่อเลย…พวกเรามีประชากรมากกว่าสิบล้านคนในสนามรบเลยนะ…สิบล้านคนถูกร่ายบัฟพร้อมกันในพริบตาเดียว…นี่มัน…จริงเหรอเนี่ย?”
ใครบางคนพูดขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ
“หลักฐานในแชตกิลด์นั่นยังไม่เพียงพอหรือไง? เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นความฝันได้หรอก พวกเราทุกคน เพิ่งจะได้รับบัฟของเจ้าแห่งฮีลเลอร์ไป!”
“พระเจ้า! นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าแห่งฮีลเลอร์งั้นเหรอ!? ฉันไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นอันดับ 1 ของทั่วทุกเซิร์ฟเวอร์ได้! นี่มันไร้เทียมทานจริง ๆ !”
“นี่คือพลังระดับพระเจ้า! สมแล้วที่เป็นเจ้าแห่งฮีลเลอร์! เขาคู่ควรกับคำว่าพระเจ้าที่สุดแล้ว!”
“ใช่แล้ว! ธอร์น่ะใช้เวลาถึงหกวันกว่าจะฆ่าได้ยี่สิบล้านคน! ในขณะที่เจ้าแห่งฮีลเลอร์สามารถฮีลผู้คนได้ถึงสิบล้านคนเพียงพริบตาเดียว! นี่มันก็ชัดเจนแล้วว่าเขาน่ะแข็งแกร่งกว่าธอร์!”
ใครบางคนตะโกนด้วยความตื่นเต้น!
“ช่างเป็นการฮีลที่รุนแรงเสียจริง ๆ! แล้วบัฟนี่ก็ทำให้พลังของพวกเราเพิ่มขึ้นมาเกือบ 10 เท่าเลยแน่ะ!” คราวน์ปรินซ์ยิ้ม เขาส่ายหน้า “ดูเหมือนในสนามรบจะไม่มีอะไรน่าสนใจสินะ”
“ท่านหัวหน้าโรส!”
หลางฉิงเทียนเดินตรงเข้าไปหาหลิวเฉียงเหว่ยผู้ที่มีเรือนร่างงดงาม “ได้โปรดช่วยไปขอโทษเจ้าแห่งฮีลเลอร์แทนฉันที เมื่อตอนประชุมกันครั้งที่แล้ว ฉันมันโง่เองที่ดูถูกเขาไว้ ฉันไม่อยากให้เขามองฉันไม่ดี”
“นายอยากจะขอโทษเขาแล้วมาบอกฉันทำไมน่ะ?” น้ำเสียงของหลิวเฉียงเหว่ยนั้นเยือกเย็น ในขณะเดียวกันสายตาของเธอก็ไม่ได้สนใจที่จะมองมายังสิ่งที่อยู่บนพื้นโลกเลย เธอกำลังจ้องมองไปบนฟากฟ้าไกล
แม้ว่าจะไม่เห็นเซียวเฟิงด้วยสายตา แต่เธอก็รับรู้ได้ว่าเขาอยู่บนฟากฟ้านั้น
“เอ่อ อ้อ พะ…เพราะว่าไม่มีใครหรอกที่จะไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าเฉียงเหว่ยกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์น่ะมีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน จริงไหม? ครั้งที่แล้วฉันก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะไปบาดหมางกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์ เพราะงั้นเลยอยากจะขอให้ท่านหัวหน้าเฉียงเหว่ยช่วยขอโทษเขาให้หน่อยน่ะ แล้วก็พวกเรากิลด์เดอะวูล์ฟเองก็หวังว่าท่านหัวหน้าเฉียงเหว่ยและกิลด์มิดซัมเมอร์ช่วยอย่าถือสาพวกเราด้วยได้หรือเปล่า?”
เดอะวูล์ฟนั้นเป็นกิลด์ที่มีศักยภาพในการต่อสู้สูง พวกเขาไม่เคยเกรงกลัวที่จะบาดหมางกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์ก็จริง แต่เจ้าตัวก็ไม่ใช่คนเช่นนั้น พวกเขากล้าที่จะมีปัญหากับกิลด์หรือคนอื่นได้โดยไม่เกรงใจ
แต่กับเจ้าแห่งฮีลเลอร์ การไม่มีปัญหาด้วยจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า ซึ่งครั้งนี้พวกเขาก็เข้ามาด้วยความรู้สึกผิดและอยากจะขอโทษจากการกระทำครั้งก่อนที่เหมือนจะเป็นการดูหมื่นเจ้าแห่งฮีลเลอร์เอาไว้
“งั้นแสดงว่าการที่มิดซัมเมอร์เลือกที่จะผูกมิตรกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์ไว้ตั้งแต่ต้นเกมถือเป็นทางเลือกที่ฉลาดสินะ”
“เฮ้ ๆ ถ้าพวกเราผูกมิตรกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์ไว้ตั้งแต่ต้นเกม ป่านนี้พวกเราอาจจะกลายเป็นมิดซัมเมอร์สาขาสองแล้วก็ได้” ไม่ต้องสงสัยเลย ยังมีคนอิจฉากิลด์มิดซัมเมอร์กันอยู่อีกหลายคนเลยทีเดียว
หลิวเฉียงเหว่ยยังคงไม่ละสายตาจากฟากฟ้า แต่ระหว่างนั้น บนใบหน้าของเธอก็ยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นมาให้เห็น
เธอไม่เคยเสียใจเลยที่เลือกหนทางนี้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกนั้นจะต้องพบกับความโชคร้ายและถูกเหยียดหยามก็ตาม…