Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 557 โรงแรมในเมืองหลวง
บทที่ 557 โรงแรมในเมืองหลวง
บทที่ 557 โรงแรมในเมืองหลวง
ก่อนที่จะออนไลน์ เซียวเฟิงเข้าไปดูในฟอรั่มก่อน แล้วเขาก็พบว่าภายในนั้นไม่มีอะไรที่น่าสนใจนัก หลังจากสงครามระหว่างเขตแดนจบลง ผู้เล่นทั่วทั้งเซิร์ฟเวอร์ต่างก็รีบหาอุปกรณ์ชิ้นใหม่มาทดแทนอุปกรณ์ดั้งเดิมที่แตกสลายไป เพราะระหว่างที่สงครามกำลังดำเนินนั้น ผู้เล่นต่างก็ตายกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งมันแน่นอนว่าอุปกรณ์ของพวกเขาเองก็มีจุดจบเช่นกัน การเวียนว่ายตายเกิดกันอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดรอบ ทำให้พวกเขาต้องแยกตัวออกจากสงครามเพราะไม่มีอะไรจะให้เสียอีกแล้ว
ในส่วนของผู้เล่นเขตฮัวเซียเองก็ไม่ต่างกัน เมื่อสงครามจบลง พวกเขาก็เริ่มออกตามล่าอุปกรณ์ชิ้นใหม่กันทั่วทั้งเขต พวกเขาต้องหาของชิ้นใหม่มาแทนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
และนี่…ทำให้ร้านค้ามหาสมบัติได้รับโอกาสอันดีงามอีกครั้ง
นอกจากผู้เล่นที่ออกตามล่าอุปกรณ์ใหม่กันแล้ว ในส่วนของผู้เล่นที่พยายามเก็บเลเวลเองก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะด้วยผลกระทบจากสงครามระหว่างเขตแดนครั้งนี้ มันทำให้ช่องว่างความห่างเลเวลของผู้เล่นเพิ่มมากขึ้น หากตัดผู้เล่นระดับพระเจ้าออกแล้ว
เลเวลของผู้เล่นทั่วไปจะแบ่งได้สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือเลเวลเข้าใกล้ 60 ในขณะที่ผู้เล่นอีกกลุ่มเพิ่งจะเลเวล 50 ต้น ๆ กันเท่านั้น ผู้เล่นทั้งสองกลุ่มนี้มีช่องว่างห่างกันเกือบ 10 เลเวลแล้ว ผิดกับแต่ก่อนที่จะห่างกันเพียง 3 – 4 เลเวลเท่านั้น สิ่งนี้ถือว่าทำให้สมดุลเลเวลเกิดการเปลี่ยนแปลงหนักเลยทีเดียว
ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นกลุ่มแรกที่ต้องการจะสร้างความห่างของเลเวลให้มากขึ้น หรือจะเป็นผู้เล่นกลุ่มที่สองที่ต้องการจะตามผู้เล่นกลุ่มแรกให้ทัน มันก็ทำให้ภายในเขตฮัวเซียนั้นมีผู้เล่นมากมายที่พยายามจะเก็บเลเวลตนเองอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
ก่อนหน้านี้เซียวเฟิงคิดว่า พวกผู้เล่นคงจะพักผ่อนกันสักวันสองวัน หลังจากสงครามจบลงแล้ว ทว่าความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย รัฐบาลฮัวเซียได้ประกาศถึงเรื่องทรัพยากรของเขตที่ซึ่งได้รับผลพวงมาจากสงครามระหว่างเขตแดน เหล่าผู้เล่นในเขตฮัวเซียก็เหมือนจะเข้าใจในตัวโลกแห่งเกมมากขึ้น มันทำให้เวลาในการเล่นเกมของพวกเขาไม่ได้ลดลงเลย กลับกันมันกลับเพิ่มขึ้นอีกด้วย ไม่มีผู้เล่นคนไหนคิดจะพักผ่อนกันเลยแม้แต่นิด
เซียวเฟิงและคนอื่น ๆ ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเองก็เช่นกัน หลังดูแล้วว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดระหว่างอยู่บนเครื่องบินที่จะถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ พวกเขาก็เริ่มเล่นเกมด้วยเช่นกัน แต่ตัวเซียวเฟิงที่เพิ่งกินน้ำกินอาหารไปก็ไม่ได้อยากจะสิงอยู่ในโลกแห่งเกมมากนัก เขาไม่ได้ทำภารกิจใด ๆ และถึงแม้จะออนไลน์ เขาก็แค่ไปหาสถานที่เก็บเลเวลเท่านั้น
เพราะตอนนี้เซียวเฟิงเลเวล 69 เข้าไปแล้ว อีกเพียง 1 เลเวลเขาก็สามารถเปลี่ยนเป็นคลาส 4 ได้ เพราะงั้นในเวลาแบบนี้ การเก็บเลเวลถือว่าจำเป็นสำหรับเขามากกว่าสิ่งใดแล้วทั้งสิ้น ทุกสิ่งอย่างถูกหยุดให้ความสนใจชั่วคราวขณะเก็บเลเวลอย่างขะมักเขม้น
สถานที่ที่เขาเลือกมาเก็บเลเวล คือ ดินแดนแห่งความมืด เนื่องจากที่นี่อยู่ใกล้เมืองหลักมากมายของจักรวรรดิแห่งความมืด และมันทำให้มอนสเตอร์ที่จะปรากฏในบริเวณนี้ล้วนเป็นมอนสเตอร์ธาตุมืดและเลเวลสูงกันหมดด้วย เหมาะกับการที่เซียวเฟิงจะเก็บเลเวลเป็นที่สุด
มันน่าเสียดายที่ผลลัพธ์จากการเก็บเลเวลกับมอนสเตอร์นั้น ห่างชั้นกับตอนเก็บเลเวลจากผู้เล่นแบบเมื่อตอนสงครามระหว่างเขตแดนราวกับฟ้าและเหว
หลังจากที่เขาใช้เวลาร่วม 10 ชั่วโมงไปกับการเก็บเลเวล หลอดค่าประสบการณ์ของเซียวเฟิงก็ถูกเติมเต็มขึ้นมาเพียง 5% เท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เซียวเฟิงละเหี่ยใจมาก ๆ เขาอยากกลับไปเก็บเลเวลให้ได้ประสิทธิภาพแบบเมื่อตอนเกิดสงครามแล้ว
เหล่าผู้นำของแต่ละกิลด์คงน่าจะกำลังอยู่ระหว่างทางไปเมืองหลวงกันอยู่ เพราะงั้นเมื่อเซียวเฟิงออนไลน์ มันจึงไม่มีใครส่งข้อความส่วนตัวมาหาเขา ทำให้ตลอดเวลาที่ออนไลน์ เซียวเฟิงได้แต่เก็บเลเวลเพียงคนเดียวโดยไม่มีใครมารบกวนขอให้ช่วยอะไร
เมื่อรุ่งเช้าเข้ามาถึง เซียวเฟิงก็ถูกปลุกให้ออกจากโลกของเกมโดยหลิวเฉียงเหว่ยเพื่อมารับประทานอาหารเช้าบนเครื่องบินพร้อม ๆ กับโจวเทียนห่าวและคนอื่น ๆ
ซึ่งจากอาหารเช้ามื้อนี้ บอกได้เลยว่าโจวเทียนห่าวนั้นดูแลประคบประหงมเขาเป็นอย่างดีเลย เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นอาหารเช้าบนเครื่องบิน แต่ความหรูหราและรสชาติก็เทียบเท่าได้กับโรงแรมหรูเลยทีเดียว
ถึงตัวโจวเทียนห่าวจะบอกไว้ว่ามื้ออาหารที่หรูหรานี้ถูกจัดเตรียมเพื่อเซียวเฟิงและคนอื่น ๆ โดยเฉพาะ แต่เซียวเฟิงก็คิดว่านั่นน่าจะแค่พูดเล่น ต่อให้ไม่มีพวกเขาอยู่ในชั้นเฟิร์สคลาสนี้ด้วย อาหารระดับนี้ก็น่าจะถูกนำมาเสิร์ฟให้โจวเทียนห่าวด้วยเช่นกัน
ช่วงที่เซียวเฟิงเพิ่งออฟไลน์ เขาพบว่าหนิงเคอเค่อไม่ได้ออนไลน์แต่อย่างใด เธอคนนั้นกำลังหลับอยู่ที่นั่งข้าง ๆ เขาโดยที่กอดแขนของเขาไว้แน่นด้วย หลังจากที่ตื่นขึ้นมาเพราะทุกคนในชั้นเฟิร์สคลาสเริ่มลุกเดินกันแล้ว เด็กสาวก็รีบปล่อยแขนเซียวเฟิงด้วยท่าทีเหมือนโดนไฟช็อตและเริ่มกลับมาตกใจกลัวเหมือนดังปกติทันที
โชคดีที่อาการลนลานของเธอนั้นถูกเซียวหลิงสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว เพราะงั้นเซียวหลิงจึงรีบเดินมาลากหนิงเคอเค่อไปยังห้องอาบน้ำเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเขินอายไปมากกว่านี้
มื้อเช้านั้นไม่ได้ใช้เวลานานนัก หลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันนิดหน่อยหลังมื้ออาหาร ทั้งหมดก็กลับไปออนไลน์พร้อม ๆ กัน ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอะไร พวกเขาก็ต้องถอดหมวกเล่นเกมออกอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าเครื่องกำลังแลนดิ้งลงพื้น หนึ่งในกลุ่มของเซียวเฟิงเปิดหน้าต่างออกไปดูก็พบว่า เครื่องบินกำลังลงจอดที่สนามบินของเมืองหลวงเสียแล้ว
“พวกเรามาถึงเมืองหลวงกันแล้วเหรอ?”
“นี่มันเพิ่งจะ 6 โมงเช้าเองนะ มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?”
“ไม่เร็วไปหรอก พวกเราต้องไปถึงโต๊ะลงทะเบียนตอน 11.30 จากสนามบินไปจนถึงใจกลางเมืองหลวงก็ยังต้องนั่งรถไปอีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมงด้วย”
“ไม่ใช่ว่าปาร์ตี้นั่นจัดกลางคืนเหรอ? ทำไมถึงต้องไปที่โต๊ะลงทะเบียนตอน 11 โมงด้วย?”
“คราวน์ปรินซ์จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเพื่อพี่เซียวกับพี่หลิวเลยนะ เขาบอกว่าเขาอยากจะออกมารับแล้วก็ต้อนรับพวกพี่ก่อน”
“ฮะ ๆๆ ท่านเซียว เลิกสงสัยได้แล้ว เหลือแค่นายกับฉันแล้วนะ หัวหน้าเฉียงเหว่ยเดินนำลิ่วไปนู่นแล่วเห็นไหม?”
กลุ่มของเซียวเฟิงเริ่มเก็บกระเป๋าเดินทางกันและพูดคุยกันตลอดทางระหว่างที่เดินลงจากเครื่องบิน ซึ่งโจวเทียนห่าวเองก็เดินตามพวกเขาไปด้วย ใจจริงตัวเขาเองก็อยากจะบริการเซียวเฟิงและสาว ๆ ไปจนกระทั่งถึงตอนลงทะเบียนช่วงเที่ยงเลยด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าคราวน์ปรินซ์ได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว
การจัดการของคราวน์ปรินซ์นั้นครอบคลุมไปเสียทุกเรื่อง เพียงแค่ไม่ถึง 1 ชั่วโมงที่เขารู้ว่าเซียวเฟิงและคนอื่น ๆ กำลังจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง รถบ้าน RV คันหรูก็ถูกส่งมารอที่รันเวย์แล้ว ซึ่งรอบ ๆ บริเวณนั้นก็มีรถตำรวจหลายคันขับมาจอดเรียงแถวเปิดเส้นทางไว้ด้วย มันทำให้พวกเขาทั้งหมดไม่จำเป็นต้องเดินเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น ที่เกทรับผู้โดยสาร คราวน์ปรินซ์เองก็กำลังยืนรอต้อนรับพวกเขาในชุดสูทตัวเนี้ยบอีกด้วย
“ยินดีต้อนรับ! ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่เมืองหลวง!”
เมื่อเห็นเซียวเฟิงและสาว ๆ ปรากฏตัวขึ้นมา คราวน์ปรินซ์ก็ไม่รอช้าที่จะทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ช่างเป็นเกียรติจริง ๆ ที่คราวน์ปรินซ์อุตส่าห์มารับพวกเราถึงสนามบินแบบนี้”
เซียวเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มและเดินเข้าไปโอบกอดคราวน์ปรินซ์เมื่อได้พบเจอ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันจริง ๆ ถึงแม้ว่าภายนอกของคราวน์ปรินซ์นั้นจะไม่ได้ต่างอะไรกับคนรวยทั่ว ๆ ไปนัก แต่ความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากตัวของเขาก็ทำให้รับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีตัวตนที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่!
“ฮ่า ๆๆ เจ้าแห่งฮีลเลอร์ นายเองก็พูดเวอร์ไป การที่ผมมารับพวกนายที่สนามบินเนี่ย มันเรื่องเล็กน้อยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปรับตั้งแต่ที่เฉิงไห่เลยด้วยซ้ำ อดใจรอพบไม่ไหวเลยเชียว”
เมื่อเทียบกับในโลกของเกมแล้ว คราวน์ปรินซ์ตัวจริงนั้นดูร่าเริงกว่ามาก ๆ
“คราวน์ปรินซ์ ในสายตาของนายน่ะมีแค่เจ้าแห่งฮีลเลอร์หรือไง? แม้แต่เทพธิดาอันดับ 1 แห่งเขตฮัวเซียของพวกเรายังถูกเมิน มันจะข้ามหน้าข้ามตากันไปแล้ว ในฐานะเพื่อนร่วมชาติ นายมีความผิดโทษฐานเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของเทพธิดาแน่ ๆ”
โจวเทียนห่าวที่เดินเข้ามาทีหลังพูดคุยกับคราวน์ปรินซ์พลางส่ายหน้า จากนั้นพวกเขาก็พากันหัวเราะกับมุกตลกที่พูดใส่กัน
“โอ้ หัวหน้ากิลด์ดูมส์เดย์ นั่นสิ ผมนี่มันแย่จริง ๆ ต้องขอประทานอภัยด้วย แต่เหตุผลที่ผมไม่ได้กล่าวทักทายเทพธิดาคนสวยตั้งแต่แรก เพราะออร่าความสวยของทุกคนมันเปรียบเสมือนแสงไฟที่ระยิบระยับจนผมไม่กล้ามองน่ะ แถมจะให้พูดทักทายก็เขินมาก ๆ ด้วย เอาล่ะนะ…งั้นเธอก็ต้องเป็น หัวหน้ากิลด์มิดซัมเมอร์หลิวเฉียงเหว่ยสินะครับ? ทุก ๆ คนในฮัวเซียต่างก็เล่าขานกันถึงความงดงามของคุณ ไม่คาดคิดเลยว่าตัวจริงจะสวยกว่าที่เขาลือเสียอีก สมแล้วที่ได้รับสมญานามว่า เทพธิดาอันดับ 1 แห่งเขตฮัวเซีย อา…”
คราวน์ปรินซ์รีบกล่าวขอโทษแล้วหันไปเชยชมและทักทายหลิวเฉียงเหว่ยแทน
“สวัสดี”
ทว่าหลิวเฉียงเหว่ยก็ยังคงทักทายกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นดังเดิม แต่มันก็สมเป็นเธอดีอยู่แล้ว ใครก็ตามที่รู้จักเธอก็จะรู้ว่าเธอมีท่าทีเช่นนี้ตลอดเวลา หลังจากที่ยื่นมือไปจับกับคราวน์ปรินซ์แล้ว เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“นี่คราวน์ปรินซ์ พี่หลิวเป็นผู้หญิงสาวคนเดียวในสายตานายเหรอ?” เฉียนโตวโตวพูดแทรกขึ้นมา เธอกอดอกตนเองแน่นและจ้องไปยังคราวน์ปรินซ์ด้วยแววตาที่ไม่พอใจนัก
“มันต้องไม่ใช่อย่างงั้นอยู่แล้วครับ ถ้าผมไม่เห็นสาวสวยคนอื่นด้วย ผมคงต้องตาบอดไปแล้วแน่ ๆ! ประธานเฉียน จักรพรรดินีแห่งการสังหาร จืออี้ แล้วก็องค์หญิงน้อยอีกสองคน ยินดีต้อนรับสู่เมืองหลวงนะครับ!”
คราวน์ปรินซ์รีบหันไปทักทายเฉียนโตวโตวและคนอื่น ๆ อีกทีละคน ๆ แต่สายตาของเขากลับมาหยุดอยู่ที่เซียวหลิงครู่หนึ่งก่อนจะทักทายเธอไป
“ไปกันเถอะ ผมไม่อยากรบกวนเวลาพวกคุณนานสักเท่าไหร่ อย่างน้อย ๆ ขึ้นรถกันไปก่อนแล้วค่อยคุยต่อก็ได้ หลาย ๆ คนน่าจะไปถึงโรงแรมที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว บางทีกลางวันนี้เราน่าจะได้เจอคนเยอะขึ้น”
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา หลังจากกล่าวทักทายทุกคนแล้ว คราวน์ปรินซ์ก็พากลุ่มของเซียวเฟิงขึ้นรถบ้าน RV คันหรูอีกครั้งและมุ่งหน้าตรงไปยังกลางเมืองหลวงต่ออย่างไม่รีรอ
“นายนี่ติดนิสัยเล่นใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย เอาอำนาจส่วนตัวมาใช้เพื่อเรื่องแบบนี้เลยเหรอ? มันจะไม่มีผลกระทบอะไรใช่ไหม?”
พลันเมื่อรถ RV วิ่งออกจากสนามบิน รถตำรวจที่จอดเรียงรายก็เริ่มขับออกไปด้วย พวกเขาเหล่านี้ขับเลียบสองฝั่งทางเพื่อเว้นเป็นทางวิ่งให้กับรถ RV ตรงกลาง ทำให้กลายเป็นที่สนใจจากเหล่าผู้ที่สัญจรไปมาไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ขับรถผ่านหรือเดินผ่านก็ตาม เมื่อเซียวเฟิงเห็นเช่นนั้นผ่านหน้าต่าง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความสงสัย
“นี่มันใช่อำนาจส่วนตัวซะที่ไหน นายน่ะเป็นฮีโร่ของประเทศนี้แล้วนะ เพราะงั้นสิ่งนี้น่ะเป็นสิ่งที่นายควรจะได้รับอยู่แล้ว ดูที่นี่สิ ขนาดเป็นเมืองหลวง รถยังหายไปเยอะเลย ว่ากันว่าเพราะผู้คนต่างให้ความสนใจกับโลกของเกมมากขึ้น จนใช้รถใช้ถนนกันน้อยลง รถกว่า 90% ก็เลยหายกันไปหมดเลย ปัญหาการจราจรก็ลดลงด้วย” คราวน์ปรินซ์พูดอธิบาย
เซียวเฟิงพยักหน้ารับและไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงมองสองฝั่งทางที่รายล้อมไปด้วยรถตำรวจ การที่มีเสียงไซเรนดังตลอดทางนั้นทำให้เซียวเฟิงรู้สึกว่าตนเองมีเกียรติขึ้นมาบ้าง บางทีหากเมื่อห้าปีที่แล้วเขาไม่ถูกลอบสังหาร เขาเองก็น่าจะได้รับการต้อนรับเช่นนี้หรือเปล่านะ?
ผู้คนบนรถพูดคุยกันตลอดทางจนกระทั่ง รถบ้าน RV คันโตขับมาถึงปลายทาง นั่นคือ โรงแรมที่คราวน์ปรินซ์จัดไว้ให้ตอน 8 โมงเช้า ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมที่มีดาวเยอะที่สุดในเมืองหลวง ทว่ามันไม่ได้ถูกสร้างไว้เพื่อบริการลูกค้าทั่วไปแต่อย่างใด ลูกค้าที่จะมาใช้บริการห้องพักที่นี่ได้ ต้องเป็นแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญเท่านั้น ดังนั้นนี่จึงแสดงให้เห็นถึงความพิเศษของคราวน์ปรินซ์ที่สามารถจองห้องโรงแรมขนาดนี้ได้
พวกเขาจัดห้องให้เซียวเฟิงและสาว ๆ เป็นห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทสองห้องที่อยู่บนชั้นบนสุดของโรงแรม โดยมีแพลนเดิมคือให้เซียวเฟิงหนึ่งห้อง ส่วนอีกห้องเป็นของหลิวเฉียงเหว่ย เพราะการจองห้องสวีทขนาดใหญ่เช่นนี้ จะต้องอิงจากสถานะของผู้เข้าพัก แม้จะเป็นสถานะภายในเกมแต่ระดับหัวหน้ากิลด์ผู้ปกครองก็ถือว่ายิ่งใหญ่พอจะได้รับห้องนี้ไป
ทว่าการจัดการก็คือการจัดการ เพราะภายหลังจากที่คราวน์ปรินซ์และโจวเทียนห่าวแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่นแล้ว หลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ คนอื่นก็พากันมุ่งหน้ามายังห้องของเซียวเฟิงทันที
“ในนี้มีห้องเล็กสี่ห้อง เพราะงั้นก็แบ่ง ๆ กันไปแล้วกัน งานปาร์ตี้จะจัดตอนกลางคืน พวกเราจะต้องอยู่ในโรงแรมนี้อย่างน้อยก็ทั้งวัน แล้วกลางคืนก็ต้องกลับมานอนที่นี่ด้วย”
เซียวเฟิงโยนกระเป๋าเดินทางของตนไปบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่นและพูดขึ้น จริง ๆ ในกระเป๋าเขาก็มีแค่หมวกเล่นเกมเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นอยู่เลย
“ถ้างั้นก็ให้เซียวหลิงกับเคอเค่ออยู่ด้วยกัน พี่หลิวอยู่กับจิ๋งจิ๋ง ฉันจะอยู่กับพี่ซือเฟย ส่วนพี่เซียวก็อยู่คนเดียว โอเค๊?” เฉียนโตวโตวอาสาเป็นคนแบ่งคนให้อย่างรวดเร็ว
“โอเค ไม่มีปัญหา” ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องตอบรับง่าย ๆ
“งั้นให้เซียวหลิงเลือกห้องก่อน” เมื่อได้รับคำยินยอม เฉียนโตวโตวก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เซียวหลิงรีบลากตัวหนิงเคอเค่อไปยังห้องที่ตนเองสนใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว ส่วนเซียวเฟิงก็ยืนบิดตัวไปมาด้วยความขี้เกียจที่จะพูดอะไรต่อ เขาเห็นสภาพห้องแล้วก็อดนึกไม่ได้เลยว่ามันจะต้องใช้เงินเท่าไหร่กันเพื่อให้ได้ห้องนี้มา
“ฉันเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว พวกเรากินข้าวเช้ากันก่อนดีไหม? กินเสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นกัน ฉันเห็นห้างใหญ่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ โรงแรมระหว่างที่นั่งรถมาด้วยนะ” ซือเยี่ยจิ๋งเสนอแนวคิด
“เห็นด้วย!” ซางกวน ซือเฟยเข้าร่วมอย่างไม่รีรอ
“งั้นเดี๋ยวฉันจะสั่งอาหารมาให้เอง!” เฉียนโตวโตวรีบวิ่งไปคว้าโทรศัพท์มาทันที
“พวกเธอจะไปช็อปปิ้งกันเหรอ?” เซียวเฟิงที่เตรียมจะแอ้งแม้งบนโซฟาเอ่ยถามขึ้นแบบลอย ๆ
“ใช่แล้ว พี่เซียวเองก็ควรจะมากับพวกเราด้วย” เฉียนโตวโตวพูดเสียงดังจากอีกฟากหนึ่งของห้องนั่งเล่น
“ขี้เกียจไป อีกอย่างหลังกินข้าวเช้าเสร็จฉันจะไปเก็บเลเวลต่อด้วย” โดนพูดเช่นนั้นเซียวเฟิงก็รีบปฏิเสธพร้อมส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก! พวกเราจะซื้อเสื้อผ้าให้นาย เพราะงั้นนายก็ต้องไปลองชุดด้วยตัวเองสิ! ท่านเซียวจะกลับมาเก็บเลเวลเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไม่ใช่เช้านี้!” ซางกวน ซือเฟยเองก็รีบพูดเสริมด้วย
“ซื้อเสื้อผ้าอะไร? ตัวฉันไม่ได้สกปรกอะไรอยู่แล้ว แถมฉันไม่ได้จะอยู่ในเมืองหลวงหลายวันด้วย” เซียวเฟิงขมวดคิ้วประหลาดใจ
“นายมีชุดสูทแล้วหรือไง? นายคงไม่ได้จะพูดว่าจะใส่เสื้อยืดเข้างานปาร์ตี้คืนนี้หรอกนะ?” หลิวเฉียงเหว่ยนวดขมับตนเอง
“แล้วมันจะทำไมเล่า ใครมันจะมาดูถูกฉันกัน?” น้ำเสียงของเซียวเฟิงนั้นไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยหากคนอื่นจะเดาคำพูดของเขาถูก เพราะเขาน่ะแสดงให้เห็นมาตลอดว่าอย่าดูถูกที่ภายนอก แถมตัวเขาเองก็ยังเชื่อด้วยว่าความแข็งแกร่งและความมั่นใจของแต่ละคน ไม่ได้มาจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ดังนั้นเขาจึงชอบที่จะสวมเสื้อผ้าสบาย ๆ อยู่เสมอ
“ไม่ต้องมาอ้าง! นายต้องไป!” ซือเยี่ยจิ๋งพูดตัดบทด้วยเสียงแข็ง
“ฉันไม่อยากไปจริง ๆ นี่นา” เซียวเฟิงเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตจนชาไปทั้งตัว เขาล้มตัวลงนอนบนโซฟาและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ เพียงแค่คิดว่าต้องไปเดินห้างกับสาว ๆ เหล่านี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัวไปหมดแล้ว
“ท่านเซียว ถ้านายยอมไป มันจะเป็นผลดีกับนายด้วยนะ” ซางกวน ซือเฟยแทรกตัวเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มพราวเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอเอง
“ผลดีอะไรน่ะ?” ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็หันไปมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ
“ก็เพราะท่านเซียวจะได้เลือกชุดให้พวกเราทั้งสี่คนเพื่อให้ใส่มาที่ห้องของท่านเซียวคืนนี้ไง” จิ้งจอกสาวเลียริมฝีปากตนเองด้วยความเย้ายวนหลังพูดจบ
“จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเธอจะใส่หรือไม่ใส่อะไรหรอกนะ แต่ที่ยอมไปด้วยก็เพราะฉันชอบช็อปปิ้งหรอก” เซียวเฟิงลุกขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีทะมัดทะแมงควบคู่กับใบหน้าที่จริงจัง