Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 559 ยุคสมัยใหม่แห่งการยึดอำนาจ
บทที่ 559 ยุคสมัยใหม่แห่งการยึดอำนาจ
บทที่ 559 ยุคสมัยใหม่แห่งการยึดอำนาจ
“มันต้องมีผลกระทบอยู่แล้วล่ะ อย่างปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจโลกกว่า 20% ก็ไหลเข้ามาอยู่กับโลกของเกมไปแล้ว แถม 20% นั้นก็มาจากผู้เล่นทั่ว ๆ ไปด้วย นั่นหมายถึง เกมกลายเป็นที่พึ่งเรื่องเศรษฐกิจของคนทั่วไปเพื่อให้มีชีวิตรอดแล้ว ผิดกับพวกเราที่มองเกมเป็นธุรกิจมาตลอด แต่ถึงแม้ว่าเราจะได้ผลประโยชน์จากเกม แต่มันก็ยังไกลห่างกับเงินทุนที่มาจากธุรกิจหลักอยู่ดี” คราวน์ปรินซ์พูด
“ก็ใช่น่ะสิ! ทุกอย่างในเกมน่ะ มันเป็นเงินเป็นทองหมดนั่นแหละ! จะขยายกิลด์ก็ต้องใช้เงิน อิฐทุกก้อนที่นำมาสร้างเมืองก็ใช้เงิน! ไหนจะหาของมาเติมคลังแสงก็ใช้เงินอีก! ของเสียก็ต้องใช้เงินซ่อม ยาหมดก็ต้องใช้เงินซื้อ คัมภีร์กลับเมืองก็ยังใช้เงินซื้อ ต่อให้จะไปสู้กับกิลด์เล็ก ๆ โง่ ๆ ก็ยังต้องใช้เงินเหมือนกัน! ค่าเทเลพอร์ตทางไกล และปัญหาที่ต้องใช้เงินแก้อีกร้อยแปดพันเก้าอย่าง ขนาดฉันมีธุรกิจอยู่ในโลกจริง ๆ แล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเกมนี้มันขูดรีดทรัพย์ชะมัด! ดังนั้นฉันต้องหาผลประโยชน์คืนจากมันให้หนักเลย โดยเฉพาะไอ้แหล่งขุดแร่รอบนอกเมืองจักรวรรดิ จะไม่มีใครมาแย่งมันไปได้ทั้งนั้น!”
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะพวกเขาเริ่มจะดื่มกันมากไปหรือเปล่า แต่จู่ ๆ วงสนทนานี้ก็กลายเป็นการระบายความในใจไปเสียแล้ว
“ใช่แล้ว! อีเวนต์แต่ละรอบของเกมเองก็ทำให้เราต้องใช้เงินกันเยอะขึ้นด้วย! ไม่ต่างอะไรกับเมืองแห่งความโศกเศร้าที่เพิ่งจะยกระดับเมืองใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้เลย! ฉันล่ะไม่อยากจะคิดว่าระบบได้เงินกลับคืนไปมากขนาดไหน!”
สักคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความปากพล่อย แต่ก็ชัดเจนว่าการอัปเกรดภายในเกมทำให้พวกเขาต้องทุกข์ระทมกัน หลาย ๆ คนเจอปัญหาเช่นนี้ แต่ไม่มีใครกล้าเห็นด้วย จะมีแค่บางคนที่พบเจอปัญหาการเงินเท่านั้นที่จะแอบเหลือบมองเซียวเฟิงกับเฉียนโตวโตว
ทุกคนรู้ดีว่าเงินที่ใช้ในการพัฒนาเมืองแห่งความโศกเศร้านั้นมีปริมาณมหาศาลขนาดไหน แต่มันก็พูดอะไรมากไม่ได้เพราะเงินทุกเหรียญที่ใช้ ก็มาจากภาษีที่เมืองเก็บตลอดทั้งนั้น
“ฉันลองคำนวณดูแล้ว รายจ่ายของพวกเราส่วนใหญ่ล้วนมาจากเมืองหลักของระบบทั้งนั้นเลย อย่างเช่น ค่าใช้เทเลพอร์ต ค่าซ่อมอุปกรณ์ รวมไปถึงค่ายา หากพวกเราสามารถยึดเมืองหลักของระบบมาเป็นของพวกเราได้ล่ะก็…”
เสียงของคราวน์ปรินซ์เบาลงราวกับเป็นเสียงกระซิบของปีศาจร้าย และมันทำให้ใครบางคนในกลุ่มถึงกับตบะแตก
“ไอ้บ้าเอ้ย! ฉันกะไว้แล้วเชียว! นายจะลากพวกเราไปตายกันหมดรู้มั้ย!?” หนึ่งในผู้ไม่พอใจลุกขึ้นยืน ณ จังหวะนั้นด้วยแววตาโกรธเคือง
“ทุกคน อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ใจเย็นลงก่อน” คราวน์ปรินซ์พูดเกลี้ยกล่อม “อย่างที่ผมบอกไว้ก่อนหน้านั่นแหละ ว่าการโจมตีเมืองหลักของระบบ จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงอย่างแน่นอน มองจากในแง่เศรษฐกิจในโลกของเกมก่อนเลย ระบบเศรษฐกิจภายในนี้จะเสียหายอย่างนัก ความสมดุลจะหายไป ทุกอย่างจะกลับสู่ยุคลืมตาอ้าปากแบบตอนแรก ๆ อีกครั้ง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น รับรองได้ว่าระบบไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่ ๆ พวกเขาจะเริ่มกีดกันพวกเราด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อขจัดความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น การทำให้เมืองหลักหายไปก่อน หรือไม่อยู่ในสถานะที่โจมตีได้ หรือบางทีก็อาจจะส่ง NPC ระดับตำนานลงมา ไม่เพียงแต่พวกเราจะสู้ไม่ได้แล้ว อีกฝ่ายยังจะทำลายพวกเราจนเละไปหมดเลยก็ได้ หรือที่ร้ายแรงที่สุด หากเราทำการโจมตีเมืองหลวงของเผ่ามนุษย์ NPC มนุษย์ทุกคนในอาณาจักรแห่งนี้ก็อาจจะเป็นศัตรูกับเราหมดเลย เพราะงั้น ไม่มีทางที่ผมจะคิดแผนแบบนั้นอยู่แน่นอน”
หลังจากที่ได้ฟังคราวน์ปรินซ์พูด เหล่าคอเหล้าที่กำลังเมาได้ที่และพร้อมก่อสงครามเย็นทุกเมื่อก็เริ่มสงบลง
“นั่น…ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้หรอกนะ แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริง นั่นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ ด้วย การถล่มเมืองหลวงน่ะ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ด้วยศักยภาพของผู้เล่นในเขตพวกเรา แต่ในอนาคต หากพวกเราเป็นศัตรูกับ NPC ฝ่ายมนุษย์ทั้งหมด พวกเราจะไม่สามารถเปลี่ยนคลาสได้อีกเมื่อเลเวลถึงกำหนด…เรื่องนี้…ไม่มีทางปล่อยให้เกิดได้แน่ ๆ ”
สิ่งนี้นี่เองที่เป็นเรื่องคาใจของหลาย ๆ คนที่เห็นต่าง
“จริง ๆ เรื่องเปลี่ยนคลาสนั่นอาจจะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นก็ได้ ถ้ายังไงพวกนายลองถามเอาจากเจ้าแห่งฮีลเลอร์ดู เพราะเขาน่ะเป็นทั้งอันดับ 1 ของเซิร์ฟ และเป็นคนแรกที่กำลังจะเปลี่ยนคลาส 4 เขาน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนคลาสมากที่สุดแล้ว” ทันใดนั้น คราวน์ปรินซ์ก็โยนหัวข้อสนทนามาใส่เซียวเฟิงทันที และมันก็ทำให้คนอื่น ๆ หันมามองที่เซียวเฟิงกันอย่างพร้อมเพรียงกันด้วย
“อันที่จริง ในดินแดนแห่งพระเจ้านี้ ไม่ว่าจะเป็น NPC ฝ่ายไหนก็สามารถช่วยเปลี่ยนคลาสพวกเราได้แค่คลาส 3 เท่านั้นแหละ เท่าที่ฉันรู้ตอนนี้ คลาส 4 นั้นอยู่เหนือการควบคุมของ NPC ในดินแดนแห่งนี้ไปแล้ว ต่อให้เป็น NPC ในเมืองจักรวรรดิเองที่มีเลเวล 70 เหมือนกัน แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่แค่คลาส 3 เท่านั้น ยังไม่มี NPC คนไหนที่มีคลาส 4 สักคน” เซียวเฟิงอธิบาย
“เอ๊ะ? ถ้างั้น…พวกเราต้องทำยังไงหากจะเปลี่ยนเป็นคลาส 4 ไม่ก็ 5 หรือ 6 ในอนาคตล่ะ? หรือว่าเกมนี้เลเวลของพวกเราจะจบที่ 70?” ใครสักคนหนึ่งถามขึ้นทันที
“หลังจากที่เลเวลถึงระดับที่จะเปลี่ยนเป็นคลาส 4 ได้แล้ว พวกนายจะต้องหาพลังแห่งพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งพระเจ้า ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะยังไม่ได้เปิดแผนที่นั้น แต่เพราะรู้ว่าในแต่ละเขตแดนต่างก็มีพระเจ้าของตนเองอยู่ เช่น วิหารแห่งแสง มี เทพเจ้าแห่งแสง ดินแดนแห่งเอลฟ์ก็มีทั้งเทพเจ้าแห่งแสงและเทพเจ้าแห่งธรรมชาติ ส่วนดินแดนแห่งออร์คมีเทพเจ้าสงคราม เทพเจ้าเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในดินแดนแห่งพระเจ้าผืนนี้ ซึ่งอาณาจักรมนุษย์เองก็เช่นกัน พวกเขาจากเราไปตั้งนานแล้ว ในสายตาของพระเจ้า พวกเราถือเป็นสิ่งที่น่าดูถูก เอาเข้าจริง พวกนายก็ควรจะรู้ตั้งแต่ภารกิจเปลี่ยนคลาส 3 แล้ว ที่ 1 ในภารกิจนั้นเป็นภารกิจเลือกฝ่าย และสิ่งที่พวกเราเลือกก็ไม่ใช่ฝ่าย NPC แต่อย่างใด หากเป็นการเลือกฝ่ายพระเจ้า”
เซียวเฟิงพูดเสริม เขานำเรื่องที่พอจะรู้มาพูดโดยไม่ให้เกินเลยไปนัก
“เป็นงั้นเองเหรอเนี่ย!?” ทุกคนเหมือนได้เห็นแสงธรรมจากฟ้าพร้อม ๆ กัน แสงธรรมนั้นนำปัญญามามอบให้ พวกเขาเข้าใจสิ่งที่เซียวเฟิงเล่าได้โดยง่าย แม้แต่คราวน์ปรินซ์เองก็ยังพยักหน้ารัว ๆ
“มีทริปอะไรที่นายได้จากเนื้อเรื่องเกมที่อยากจะเผยให้พวกเรารู้อีกไหม?”
“ใช่แล้ว ในฐานะที่เป็นบุคคลอันดับ 1 ในโลกแห่งเกม นายน่าจะต้องรู้ข้อมูลอีกมากมายที่เราไม่รู้แน่ ๆ สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ต่อพวกเรามาก ๆ เลย ช่วยบอกให้เรารู้หน่อยสิ เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมไง!”
เหล่าบุรุษหัวใสรีบหันเหเป้าหมายมาหาเซียวเฟิงทันที พวกเขาต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ หากเป็นไปได้ พวกเขาก็อยากจะพิชิตเนื้อเรื่องเกมตามเซียวเฟิงให้ทันด้วย เพื่อที่จะได้รู้เนื้อเรื่องของเกมมากไปกว่านี้ และหาลู่ทางทำเงินได้เพิ่ม
“มันไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรมากมายนักหรอก ส่วนที่ฉันรู้ก็มีแค่ตอนนี้ NPC แต่ละฝ่ายกำลังไม่ลงรอยกันเอง บางทีในอนาคตอาจจะมีสงครามเกิดขึ้นก็ได้ หากพวกนายคิดจะเข้าจู่โจมเมืองหลักล่ะก็ รอโอกาสตอนที่เกิดสงครามกลางเมืองแล้วค่อยทำดีกว่า”
หลังจากที่พูดออกมาเช่นนี้แล้ว เซียวเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ซึ่งทุกคนเองก็ได้แต่ส่ายหน้าแม้พวกเขาจะเป็นคนขอให้เซียวเฟิงพูดก็ตาม นี่ไม่ใช่เพราะเซียวเฟิงไม่อยากจะพูด แต่เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรจริง ๆ
ความคืบหน้าภายในเกมของเขานั้นไม่ใช่ความผิดพลาด แต่ปัญหาเพราะมันอยู่เหนือคำว่าเกมไปแล้วต่างหาก การหายตัวไปของหัวหน้าทีมดีไซเนอร์ของเกม เซียเหอ ในอาณาจักรแห่งพระเจ้า เด็กผู้หญิงลึกลับที่เรียกตัวเองว่าโนอาห์ แผนการร้ายของจางจิ่วจิ่ว สิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวของเซียวเฟิงเต็มไปหมด จนไม่รู้จะพูดเรื่องเกมออกมาอย่างไรดี
ไม่ว่าใครจะถามซ้ำสักอีกกี่ครั้ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้คำตอบเช่นเดิม ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ล้มเลิกความพยายามไป สาเหตุก็เพราะพวกเขาหันไปมองทางหลิวเฉียงเหว่ยผู้เป็นหัวหน้ามิดซัมเมอร์แล้ว แต่เธอผู้นี้ก็ดูจะไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน เพราะงั้นถึงได้เข้าใจว่า เซียวเฟิงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครจริง ๆ
“ถ้ายึดเอาตามที่เจ้าแห่งฮีลเลอร์พูด นั่นหมายถึง ผู้เล่นที่เลเวลมากกว่า 50 และเปลี่ยนเป็นคลาส 3 แล้ว ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องที่ NPC จะชอบหรือเกลียดเขาก็ได้ เพราะยังไงซะ NPC พวกนี้ก็ไม่สามารถช่วยให้พวกเราเปลี่ยนคลาส 4 ได้ในท้ายที่สุด แบบนี้ถูกไหม?”
“ถ้างั้นพวกเราควรจะรีบเก็บเลเวลให้เกิน 50 กันก่อน อย่างน้อย ๆ ก็ให้พวกระดับสูงเลเวลสัก 60 ก็ได้ จากนั้นเราค่อยรวมหัวกันไปยึดเมืองหลักของระบบ”
“ไม่ต้องรีบร้อนไป เจ้าแห่งฮีลเลอร์ก็เพิ่งบอกเองว่าตอนนี้พวก NPC ดูเหมือนจะกำลังมีปัญหากันภายใน เรารอให้สงครามกลางเมืองเกิดก่อนแล้วค่อยยึดเมืองก็ได้ อีกอย่างนี่ก็เพิ่งจบสงครามระหว่างเขตแดนไป พักกันสักหน่อยจะดีกว่านะ”
“งั้นเราส่งคนไปทำภารกิจยั่วยุปลุกปั่น NPC แต่ละฝ่ายแทนดีไหม? เพื่อให้พวกนั้นผิดใจกันมากขึ้น สงครามกลางเมืองจะได้เกิดขึ้นเร็วที่สุด!”
เหล่าคนใหญ่คนโตที่ยังคงไฟแรงเริ่มรวมหัวกันเพื่อวางแผนชั่วร้ายแล้ว
“ดูเหมือนว่ายุคสมัยใหม่แห่งการยึดดินแดนจะกำลังใกล้เข้ามาแล้วสิเนี่ย” ท้ายที่สุด ใครคนหนึ่งก็ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมา
“พวกเราเป็นทองแผ่นเดียวกัน มีแค่พวกเราที่รู้แผนนี้ ด้วยความคืบหน้าในเกม ณ ปัจจุบัน ยุคสมัยใหม่จะต้องคืบคลานเข้ามาอย่างแน่นอน และพวกเราปรึกษากันก็เพื่อให้สามารถหาผลประโยชน์สูงสุดได้เมื่อวันนั้นมาถึง” คราวน์ปรินซ์พูดแทรกและกำชับเรื่องนี้ให้มั่น
“ไม่ต้องห่วงคราวน์ปรินซ์ ทั้งหมดมันก็เพื่อพวกเรานั่นแหละ ยังไงพวกเราก็ไม่ได้อยากจะแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเองอยู่แล้วแหละน่า”
ทุกคนต่างเข้าใจความหมายที่คราวน์ปรินซ์อยากจะสื่อ พวกเขาจึงแสดงความคิดเห็นออกมากันก่อน
หลังจากงานเลี้ยงดำเนินมาพักใหญ่ ๆ การประชุมขนาดย่อมภายใต้ชื่องานเลี้ยงก็จบลงด้วยบทสนทนาอันดีงาม และเมื่องานเลี้ยงจบลง ทุกคนก็พากันกลับห้องพักของตนเองไป
“นายคิดว่าแผนการยึดครองเมืองหลักของระบบพวกนั้นเป็นไปได้หรือเปล่า?” เมื่อกลับถึงห้อง หลิวเฉียงเหว่ยก็เอ่ยถามกับเซียวเฟิงที่นั่งพักอยู่บนโซฟาซึ่งกำลังรินน้ำใส่แก้วอยู่ทันที
“ทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? มันเป็นแผนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย ในขณะที่ผู้เล่นกำลังเติบโตขึ้น ความแข็งแกร่งของเขาก็จะอยู่เหนือ NPC ไปเรื่อย ๆ ด้วย แบบนี้แล้วเขาจะยอมให้เมืองหลักของระบบขูดเงินของเขาไปเรื่อย ๆ ได้เหรอ?”
เซียวเฟิงพูดและดื่มน้ำเข้าไป เขาน่ะคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนหน้านานมากแล้ว
“แต่มันจะง่ายอย่างที่คิดกันจริง ๆ เหรอ? ถ้าเกิดเราเป็นศัตรูกับ NPC ต่อให้เมืองหลักของระบบจะถูกยึดมาได้ก็จริง แต่พวก NPC ก็สามารถโต้กลับได้นะ” หลิวเฉียงเหว่ยพูดต่อหลังจากคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะงั้นพวกเราถึงต้องรอโอกาส รอให้ NPC ก่อสงครามกันเองก่อน เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะมีกำลังเหนือกว่าการโต้กลับของ NPC อยู่มากเลย” เซียวเฟิงดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้วส่งแก้วเปล่าให้หลิวเฉียงเหว่ย
“อยากได้อีกแก้วไหม?” หลิวเฉียงเหว่ยเดาเอาจากท่าทีของเซียวเฟิง
“ไม่เอาแล้ว” ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาใช้จังหวะที่เธอยื่นมือมาจะหยิบแก้วในมือเขานั้น คว้าแขนของเธอและออกแรงดึงเล็กน้อยเพื่อให้ร่างของหลิวเฉียงเหว่ยลงมานั่งบนโซฟา จากนั้นมือข้างเดิมก็เข้าไปคล้องเอวบางของหญิงสาวไว้ทันที
“ฉันรู้สึก…ว่าถ้าเวลานั้นมาถึงจริง ๆ การยึดเมืองหลักจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ยังไงซะเรื่องนี้ก็จะต้องกระทบกับสมดุลเศรษฐกิจภายในเกมอย่างแน่นอน หากระบบไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้ เศรษฐกิจทั้งสองโลกจะต้องปั่นป่วนแน่ ๆ ”
ร่างอันเย้ายวนของหลิวเฉียงเหว่ยเอนเข้าหาเซียวเฟิงอย่างไม่ขัดขืน เธอซบหัวลงไปบนไหล่ของเขาพลางพูดด้วยความลังเล
“เพราะงั้นฉันถึงได้พูดไว้ก่อนแล้วไงว่า ถ้าเธอแข็งแกร่งเกินไป ระบบจะพยายามปรับสมดุลเกมใหม่ และนั่นคือการโจมตีอย่างหนักหน่วงที่ระบบส่งลงมา ต่อให้จะเป็นกิลด์ที่ใหญ่ที่สุดในเกมก็ไม่สามารถรับมือได้ ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีทางรับมือการโจมตีจากระบบได้เลย เหล่าเจ้าผู้ปกครองจะล่มสลาย พวกเขาไม่มีทางเอาชนะระบบได้ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรืออนาคต”
เซียวเฟิงหัวเราะเล็กน้อย เขาสูดดมเอากลิ่นหอมกล้วยไม้จากตัวหญิงสาว ขณะเดียวกันก็โอบเอวเธอไว้ให้กระชับขึ้นด้วย
“เจ้าผู้ปกครองจะล่มสลายเหรอ?” แม้หลิวเฉียงเหว่ยจะไม่ได้สงสัยในคำพูดของเซียวเฟิง แต่เธอก็อดที่จะตกใจในสิ่งที่เขาพูดไม่ได้ ร่างเล็กขยับไปมาในอ้อมแขนที่โอบตนไว้เพราะเจ้าของร่างเริ่มจะตระหนักได้แล้วว่ามือของอีกฝ่ายกำลังซุกซน
“ในอนาคต ยุคของพระเจ้าจะมาถึง ผู้เล่นบางคนที่ก้าวขึ้นสู่การเป็นพระเจ้าในเกมจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เจ้าผู้ปกครองล่มสลาย ทุก ๆ คนที่ไม่ได้เก่งระดับพระเจ้าไม่เว้นแม้แต่เธอก็จะถูกกดลงต่ำ” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของเซียวเฟิงก็หนักแน่นขึ้นมานิดหน่อย
“เหล่าผู้ปกครองจะล่มสลาย…แล้วมิดซัมเมอร์ล่ะ?” หลิวเฉียงเหว่ยเหมือนจมลงไปในห้วงความสูญเสียไปแล้วตอนนั้น แววตาสวยของเธอดูหมดหวังขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ฉันยังอยู่กับเธอ มิดซัมเมอร์จะยืนหยัดเป็นแนวหน้าตลอดไป ฉันจะคอยจัดการอุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางความก้าวหน้าของมิดซัมเมอร์ให้เอง”