Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 561 ผู้อาวุโสหลิว
บทที่ 561 ผู้อาวุโสหลิว
บทที่ 561 ผู้อาวุโสหลิว
ภายในงานเลี้ยงมีหญิงสาวมากมาย เพราะแขกรับเชิญทั้งหมดต่างก็เป็นเจ้าผู้ปกครองไม่ก็หัวหน้ากิลด์กันหมด
ดังนั้นการที่พวกเขาที่เป็นผู้ชายจะพาหญิงสาวที่มีใบหน้าสะสวยมางานด้วยก็ไม่แปลก นอกจากนี้ภายในงานก็ยังมีนักข่าวผู้หญิงที่โด่งดังอีกส่วนหนึ่งที่มีใบหน้างดงามไม่แพ้กัน
อย่างไรก็ตาม ยามที่หลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ ปรากฏตัว ทุกสายตาก็เบนออกมาหาพวกเธอในทันใด ราวกับเป็นแม่เหล็กที่กำลังดึงดูดโลหะก็มิปาน
เสียงอุทานดังมาเป็นระยะ ๆ เมื่อพวกเขาได้เห็นทั้งสี่สาวเดินเข้ามาในงานเลี้ยง บางกลุ่มก็กระซิบกระซาบกัน ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะมาจากกลุ่มของผู้ชายที่ได้เห็นหลิวเฉียงเหว่ยใกล้ ๆ พวกเขาแทบจะลืมหายใจกันไปเลย ในขณะที่ฝั่งผู้หญิงก็มีทั้งผู้ที่อิจฉาและอายที่ตนสวยสู้พวกเธอไม่ได้
“ฉันเดาเลยว่าพวกเธอกำลังหาเจ้าแห่งฮีลเลอร์”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเดาก็ได้มั้ง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มั่นใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์ แต่จากเรื่องเล่าหลาย ๆ เวอร์ชั่นในฟอรั่มก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง เรื่องพวกนี้ถ้าไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้หรอกนะ”
พลันเมื่อหลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ พากันไปหยุดอยู่ต่อหน้าเซียวเฟิงตามที่ผู้ร่วมงานคิดไว้จริง ๆ เสียงถอนหายใจนับไม่ถ้วนก็ดังมาจากหลาย ๆ มุมในโถงงานเลี้ยง บางคนก็ส่ายหน้าด้วยความโล่งใจและไม่ได้สนใจมายังกลุ่มคนจุดนี้อีก ทำให้บรรยากาศภายในงานเลี้ยง กลับมาเป็นงานเลี้ยงอย่างที่ควรเป็นอีกครั้ง
“อ้าว…ท่านประธานเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?” ซางกวน ซือเฟยกล่าวทักทายเสี่ยวเทียน
“แน่นอน นี่ฉันเพิ่งจะคุยกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์เรื่องเธอไปเองนะ เสียดายที่ซางกวนอาโอเชินไม่มาด้วย” เสี่ยวเทียนพยักหน้ารับ
“หมอนั่นไม่มาก็ดีแล้ว ฉันยังกังวลอยู่เลยว่าถ้าเจ้าตัวแสบนั่นมาจะทำอะไรให้ขายหน้าหรือเปล่า” ถึงแม้ว่าซางกวน ซือเฟยจะกำลังนินทาผู้เป็นน้อง แต่แววตาสวยของเธอก็แสดงความเสียดายออกมาอยู่ลึก ๆ เหมือนกัน
“พี่เซียว คิดว่าพวกเราสวยไหมคืนนี้?” เฉียนโตวโตวหันไปหาเซียวเฟิงแล้วถาม
“สวย…สวยกันทุกคนเลย” เซียวเฟิงไม่พลาดที่จะชมทุกคนพร้อม ๆ กันในประโยคเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาอันเกิดจากความไม่พอใจของสาว ๆ ตามมาทีหลัง
“เซียวหลิง เธอยังดื่มไวน์ไม่ได้ ยังไม่ถึงวัย ถ้าจะหาอะไรดื่มก็ไปเคาน์เตอร์ที่ฝั่งนู้นแทน” ตอนนั้นเอง เซียวเฟิงก็เหลือบไปเห็นเซียวหลิงกำลังย่องเข้าหาเคาท์เตอร์ไวน์ข้าง ๆ เขา แววตาของเธอจ้องมองไปยังเป้าหมายอย่างแก้วไวน์ที่ถูกรินไวน์ไว้แล้วอย่างมั่นคง เพราะงั้นเขาจึงรีบหยุดเธอเอาไว้ทันที
“บู่ว เจ้าพี่ขี้เหนียว!”
เด็กสาวบ่นงึมงำแต่ก็ยอมหันวิถีเปลี่ยนทิศเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มทั่วไปที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งแทน
“นายท่าน อยู่นี่เอง!”
ด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง หานเฟิงโผล่พรวดมาจากที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ ตอนที่เจอก่อนหน้านี้เซียวเฟิงคิดว่าตาฝาด แต่หานเฟิงอยู่ในงานเลี้ยงนี้ด้วยจริง ๆ!
เขาสวมชุดสูทหลวม ๆ และวิ่งฝ่าผู้คนจนกระแทกไหล่กันไปเพื่อมาหาเซียวเฟิงอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ซึ่งทางฝั่งคู่กรณีเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พวกเขาเพียงแค่คิดว่าวันนี้เป็นวันที่โชคไม่ดีเท่านั้น
“นายมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?” เซียวเฟิงกล่าวถามหลังนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เห็นคนคนนี้เมื่อตอนบ่าย
“โห พูดเรื่องนี้แล้วฉันขึ้นเลย! เครื่องบินมันดีเลย์น่ะสิ กว่าจะมาถึงก็หลังเที่ยงแล้ว นี่ฉันยังไม่ได้พักเลยด้วยนะ เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วค่อยนอนพักทีเดียวเลย”
หานเฟิงเหมือนจะโกรธ แต่เขาก็ได้แค่ข่มความโกรธนั้นไว้แล้วพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้แทน
“เดี๋ยวก่อน แล้วทำไมนายไม่มาก่อนหน้านี้สักวันล่ะ?” เสี่ยวเทียนพูดแทรกขึ้นมาหลังได้ยินเช่นนั้น เขาและเสี่ยวเต๋านั้นมาถึงนี่ก่อนที่จะถึงวันงานหนึ่งวัน พวกเขามีเวลาพักเหลือแหล่แถมยังได้เที่ยวในเมืองหลวงด้วย
“ไม่มีใครบอกพวกนายหรือไงว่าคราวน์ปรินซ์ไม่ได้ยุติธรรมกับทุกคนน่ะ? หมอนั่นไม่แม้แต่จะจองห้องเพรสซิเดนเชียลสวีตให้ฉันด้วยซ้ำไป ฉันได้แค่ของบิสซิเนสเท่านั้นเอง! แล้วคิดว่าคนอย่างฉันจะอยู่ห้องบิสซิเนสได้เหรอ? ไม่มีทาง! เพราะงั้นฉันก็เลยจองตั๋วบินกลับเลยคืนนี้ ฮึ่ม!” หานเฟิงเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี เพราะงั้นมันก็เลยทำให้เสี่ยวเทียนพูดอะไรไม่ออกไปด้วย
แม้แต่เซียวเฟิงเองก็พูดอะไรไม่ออกด้วยเช่นกัน ถึงโรงแรมแห่งนี้จะไม่ใช่เล็ก ๆ และห้องเพรสซิเดนเชียลสวีตก็จุคนได้มากถึงแปดห้องเล็ก แต่เขากับหลิวเฉียงเหว่ยก็แบ่งห้องกันไปแล้ว เพราะงั้นไม่เหลือที่ให้หานเฟิงอีกต่อไป
“โอ้ สาว ๆ เหล่านี้ช่างงดงาม ส่องสว่างเหมือนดวงดารายามค่ำคืนจนฉันไม่อาจละสายตาได้เลย ว่าแต่นายท่าน คนไหนจะได้แต่งเข้าเป็นภรรยาของนายท่านกัน?”
หานเฟิงเริ่มหันไปกล่าวเยินยอหลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ ต่อ ทว่าหลังจากที่เขาพูดประโยคสุดท้ายออกมา บรรยากาศบริเวณนั้นก็ลดอุณหภูมิลงต่ำในทันที
หลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ ที่เหลือมีสีหน้านิ่งสงบลงในทันที แม้ว่าท่าทีของเธอจะไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ได้พูดอะไร กระนั้นหลังจากที่แววตาสวยของพวกเธอเหลือบมองกันเองแล้ว มันก็พลันกวาดกลับไปมองเซียวเฟิงกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดหมายกันมาแล้ว
เซียวเฟิงไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือว่าอย่างไร เขารู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเขามันเย็นลงทีละนิด ๆ แต่ที่เห็นชัดแน่ ๆ นั้นคือ อุณหภูมิของแอร์ภายในโถงงานเลี้ยงไม่ได้เย็นลงเลยแม้แต่นิด เพราะงั้นเขาจึงหันไปจ้องเขม็งใส่หานเฟิง
“ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรทีหลังก็ไม่ต้องพูด!”
ได้ยินเช่นนั้นหานเฟิงก็กลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ เขายิ้มแห้ง ๆ และเตรียมจะพูดอะไรสักหน่อยเพื่อแก้สถานการณ์ แต่ตอนนั้นเอง ประตูโถงงานเลี้ยงก็เปิดออกอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ เซียวเฟิงก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวกำลังเย็นลงจริง ๆ
“ดูเหมือนว่าเจ้าของงานตัวจริงจะมาแล้วนะ”
หลังจากที่มองไปยังประตูโถงงานแล้ว ความเงียบก็เข้าครอบงำพื้นที่จัดงานอีกครั้ง ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา รวมถึงเซียวเฟิงด้วย
นั่นเพราะผู้ที่เข้ามา เป็นชายอายุครึ่งร้อยคนหนึ่ง ที่คราวน์ปรินซ์ถึงกับต้องเป็นฝ่ายเปิดประตูให้และเดินตามหลังเข้ามาอีกทีหลังจากเขาเดินเข้ามาแล้ว
ชายกลางคนผู้นี้สวมชุดสูททั่ว ๆ ไป กระนั้นออร่าของเขากับสง่างามและสูงส่ง ด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นบนใบหน้า ตลอดทางที่เดินเข้ามาเขาก็โบกมือทักทายทุกคนในงานเลี้ยงที่มองมายังเขาอย่างไม่ขาดสาย
“ชายแก่นี่ดูไม่ธรรมดาเลย เขาเป็นใครเหรอนายท่าน?” หานเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซียวเฟิงกล่าวถามด้วยเสียงเบา
“ดูข่าวให้มากขึ้นหน่อย หากเป็นสมัยก่อน ถ้าเขาไปเดินทางไปไหน นายจะต้องก้มหมอบลงไปข้างทางเมื่อพบเขาด้วยซ้ำ” เซียวเฟิงตอบด้วยความหงุดหงิดกับความไม่รู้อะไรเลยของคนผู้นี้
“พระเจ้า! เขาเจ๋งขนาดนั้นเชียว!?” ได้ยินเช่นนั้นหานเฟิงก็เสียวสันหลังขึ้นมาทันที
“ทุกท่าน ผมคิดว่าแขกรับเชิญน่าจะมากันครบแล้ว เพราะงั้นผมจะขอประกาศเปิดงานเลี้ยงในวันนี้ แต่ก่อนอื่นเลย ขอผมแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับเลขาธิการประจำตระกูลหลิว ท่านผู้อาวุโสหลิว ครับ ต่อจากนี้ท่านหลิวจะกล่าวทักทายทุกท่านเล็กน้อยและจะถือเป็นการเปิดงานเลี้ยงในวันนี้ไปในตัวเลย!”
คราวน์ปรินซ์พลิกบทบาทไปเดินนำผู้อาวุโสขึ้นเวทีบริเวณด้านหน้าสุดของโถง เขาหยิบไมโครโฟนขึ้นมาและพูด เผยให้เห็นว่าเสียงดนตรีที่คลออยู่ภายในงานนั้นไม่ได้เกิดจากการเล่นสด แต่ดังมาจากลำโพงที่ติดตั้งไว้นั่นเอง
ทั่วทั้งโถงงานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงปรบมือดังก้อง อันที่จริง เหล่าคนใหญ่คนโตที่มาร่วมงานในคืนนี้ก็พอจะเดากันได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าน่าจะมีแขกของทางการมาร่วมด้วย แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตระดับนี้ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าประเทศนี้ให้ความสนใจกับพวกเขาขนาดไหน
“ท่านลุงหลิว เชิญขึ้นมาบนเวทีเลยครับ!” คราวน์ปรินซ์ส่งต่อไมค์ให้กับผู้อาวุโสหลิวแล้วถอยหลังออกไป
“เฮอะ ๆๆ ไม่ต้องเกร็งกันนะทุกท่าน ทำตัวตามสบาย ๆ พวกท่านทั้งหมด ณ ที่แห่งนี้ คือของขวัญและความหวังที่มาตุภูมิแห่งนี้ได้สรรค์สร้างขึ้นมา อนาคตของประเทศนี้ขึ้นอยู่กับพวกท่านแล้ว ยุคสมัยนี้ไม่ใช่ของคนเฒ่าคนแก่อย่างฉันอีกต่อไป เพราะงั้นใช้ชีวิตของพวกท่านกันให้คุ้มค่า!”
ผู้อาวุโสหลิวหัวเราะ วิธีการพูดของเขาทำให้บรรยากาศภายในโถงงานเลี้ยงผ่อนคลายลงมามาก
“พวกท่านเป็นหนุ่มสาวที่มีศักยภาพล้ำเลิศ! สงครามระหว่างเขตแดนที่ผ่านมาช่างแสนวิเศษจริง ๆ!” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ “อย่าได้คิดว่าพวกเราไม่ใส่ใจอะไรพวกท่าน! พวกเราน่ะ คอยจับตาดูสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกของเกมมาโดยตลอด! ว่ากันตามตรงเลย พวกเราเข้าใจดี ถึงความยากลำบากภายในสงครามระหว่างเขตแดนนี้! และเตรียมพร้อมทำใจไว้แล้วที่จะได้เป็นเพียงที่สอง แต่ไม่คาดคิดเลยจริง ๆ! ว่าพวกท่านจะทำให้พวกเราตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้! พวกท่านสามารถนำอันดับ 1 มาให้พวกเราได้ในที่สุด!”
“อันที่จริง ต่อให้พวกท่านนำอันดับ 2 มาให้แก่ประเทศของเรา งานเลี้ยงนี้ก็ยังคงจะถูกจัดขึ้นอยู่ดี ถึงแม้ว่าการจัดสรรทรัพยากรที่ได้ในอันดับที่ 2 จะไม่สามารถตอบรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเพียงพอ แต่ก็ยังสามารถช่วยเหลือผู้คนทั่วทั้งประเทศได้ในระยะเวลาหนึ่ง เพียงแค่อนาคตอาจจะต้องเหนื่อยยากกันหน่อย ดังนั้นแล้ว การที่พวกท่านได้มาซึ่งอันดับที่ 1 มันจึงถือว่าเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ๆ! พวกท่านได้สร้างคุณประโยชน์อันมหาศาลให้แก่ประเทศ ทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤตและกลับมาเดินหน้าต่อได้อีกครั้ง! ดังนั้น ฉัน! ในฐานะตัวแทนของประเทศและประชาชนฮัวเซีย จึงอยากจะกล่าวกับทุกท่านว่า ขอบคุณมากจริง ๆ!”
พูดจบ ผู้อาวุโสหลิวก็โค้งเคารพทุกคนในโถงจนสุดตัว
“ท่านผู้อาวุโสหลิวช่างสุภาพจริง ๆ!”
“เขาให้เกียรติพวกเรามาก ๆ เลย!”
“ใช่แล้ว พวกเราจะยินดีรับใช้ประเทศชาติต่อไป!”
ทุก ๆ คนต่างแสดงท่าทีฮึกเหิมออกมา พวกเขาเริ่มพูดคุยกันหลังได้รับการปลุกใจจากผู้อาวุโสหลิว ถึงแม้ว่าเขาจะอายุครึ่งร้อยเข้าไปแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารกล้าได้เป็นอย่างดี
“ประเทศชาติจะไม่มีวันลืมทุกสิ่งอย่างที่พวกท่านได้ทำเพื่อพวกเรา! แต่เพราะสิ่งที่พวกท่านทำนี้ มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินจนพวกเราไม่สามารถหารางวัลที่สมกับสิ่งที่ท่านทำไว้ได้ ผนวกกับสิ่งที่ตอบโจทย์พวกท่านได้จริง ๆ น่าจะอยู่ในโลกของเกมมากกว่า ซึ่งพวกเราเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าสิ่งใดคือสิ่งที่คุ้มค่าแก่ความเหนื่อยยากของท่าน ดังนั้นแล้ว เรื่องนี้ เราจะรับฟังความเห็นจากพวกท่านทุกคน โดยให้พวกท่านส่งข้อเรียกร้องมาหาพวกเรา ผ่านหลงเถิง เพื่อที่เขาจะนำมาเสนอต่อพวกเราอีกทีหนึ่ง ตราบใดก็ตามที่สิ่งที่พวกท่านร้องขอไม่ผิดต่อหลักกฎหมาย รัฐบาลจะไม่เพิกเฉยต่อคำร้องขอนั้นอย่างแน่นอน พวกท่านคือวีรบุรุษของพวกเรา!”
ผู้อาวุโสหลิวให้คำมั่นสัญญาเรื่องของตอบแทนด้วยรอยยิ้ม
“ฮัวเซียจงเจริญ! มาตุภูมิจงเจริญ!”
ทันใดนั้น เสียงร้องสรรเสริญก็ดังไปทั่วงานเลี้ยง การตบรางวัลเช่นนี้มันถือว่ายิ่งใหญ่มาก ๆ เลยทีเดียว
“นอกจากนี้ ในขณะที่โลกแห่งเกมกำลังกลายเป็นโลกใบที่สองโดยสมบูรณ์ มีประชากรกว่าครึ่งโลกได้หันมาสนใจที่จะใช้ชีวิตและพัฒนาตนเองในโลกใบใหม่นี้อย่างจริงจัง นั่นหมายถึง ในอนาคต โลกใบที่สองนี้อาจจะกลายเป็นโลกหลักแทนก็ได้ ดังนั้น ท่ามกลางอนาคตที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าโลกแห่งเกมจะเป็นเช่นไร ฉันก็อยากจะให้พวกท่านอย่าได้ลืมว่าตนเองเป็นประชาชนชาวฮัวเซีย เป็นส่วนหนึ่งของฮัวเซีย ไม่ว่าโลกจะเปิดกว้างขนาดไหน ขอให้พวกท่านอย่าได้ลืมความสามัคคีและความเท่าเทียมที่พวกเรามอบให้แก่กัน เมื่อนั้นแล้วต่อให้เจอวิกฤตที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน พวกเราก็จะต้องก้าวผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน!” ผู้อาวุโสหลิวสรุปปิดท้าย
“เกิดเป็นชาวฮัวเซีย! จิตวิญญาณก็จะเป็นของฮัวเซีย!”
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะบาดหมางแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน แต่ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูต่างเขต พวกเราก็จะทำงานร่วมกัน! ฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นไปด้วยกันให้ได้!”
“ใช่แล้ว! ใครก็ตามที่กล้ามาหยามเกียรติฮัวเซีย ฉันจะตามไปลงโทษมันไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม!”
ผู้เข้าร่วมงานมากมายต่างแสดงจุดยืนของตนเองที่ได้รับอิทธิพลมาจากการกล่าวของผู้อาวุโสหลิว มีเพียงเซียวเฟิงเท่านั้นที่ยืนขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังได้ยินประโยคสุดท้ายที่ผู้อาวุโสหลิวพูด
“ฉันเชื่อในตัวพวกท่าน! จากสงครามระหว่างเขตแดนที่ผ่านมา ความเป็นหนึ่งเป็นเดียวกันของพวกเราฮัวเซียก็ได้แสดงศักยภาพให้โลกได้เห็นแล้ว! พวกท่านคือความหวังของพวกเรา ที่จะได้ก้าวเข้าไปยังโลกใบที่สอง!” เขายังคงพูดด้วยรอยยิ้มแล้วปิดท้ายด้วยคำลา “ถ้างั้นคนเฒ่าคนแก่อย่างฉันจะไม่รบกวนเวลาสังสรรค์ของพวกท่านแล้ว ขอให้เป็นค่ำคืนที่ดี ฮ่า ๆๆ!”
“เดินระวังนะครับท่านผู้อาวุโสหลิว!”
ทุกคนเคารพเขาและช่วยกันส่งเขาออกจากห้องนี้ไป
ทว่าจริง ๆ แล้ว ผู้อาวุโสหลิวไม่ได้จากไปไหน เขาเพียงย้ายไปอยู่ยังด้านหน้าโถงและรอครู่หนึ่ง ไม่นานนักคราวน์ปรินซ์ก็เข้าไปหาเซียวเฟิงและบอกกับชายหนุ่มว่า ผู้อาวุโสหลิวอยากเจอเขาเป็นการส่วนตัว
ในตอนแรกเซียวเฟิงก็ตั้งใจจะไปคนเดียว แต่หลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ ต่างแสดงให้เห็นชัดว่าเธอไม่คิดว่านี่จะเป็นทางเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ รอบ ๆ พวกเธอยังมีบรรยากาศเยือกเย็นติดตัวอยู่ไม่คลาย ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีใครยอมที่จะปล่อยเซียวเฟิงไปเลย ท้ายสุดแล้วพวกเธอจึงไปพบผู้อาวุโสหลิวพร้อมกันทั้งหมด
เซียวเฟิงไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขามองไปยังคราวน์ปรินซ์ที่ดูจะจนแต้มเหมือนกัน ในฐานะที่เป็นผู้ชายเพียงสองคนในวงล้อมของสาว ๆ พวกเขาไม่สามารถขัดได้เลย ดังนั้นเรื่องจึงลงเอยที่เขาต้องยอมให้สาว ๆ ตามไปด้วย
พวกเขาจำเป็นต้องย่องออกจากงานโดยไม่ให้เป็นที่สังเกตของคนอื่น พยายามทำให้ไม่กลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
แต่ถึงจะทำเช่นนั้น ทั้งเซียวเฟิงและคนอื่น ๆ ในกลุ่มนี้ล้วนแต่ก็เป็นจุดสนใจของผู้คนอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะย่องเบาหรือทำตัวเนียนอย่างไร พวกเขาก็ยังตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นอยู่ดี แต่นั่นเพราะทุกคน ณ ที่นี้ต่างก็เป็นผู้บริหารระดับใหญ่โต พวกเขาไม่อยากจะแสดงความสนใจออกมามากขนาดนั้น เพราะงั้นถึงแม้พวกเขาจะเห็น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพียงแค่หันกลับมาพูดคุยกับคู่สนทนากันต่อเท่านั้น