Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 562 ความกังวลใจของซือเยี่ยจิ๋ง
บทที่ 562 ความกังวลใจของซือเยี่ยจิ๋ง
บทที่ 562 ความกังวลใจของซือเยี่ยจิ๋ง
“ท่านลุงหลิว เจ้าแห่งฮีลเลอร์มาแล้วครับ”
ภายในโถงที่อยู่ถัดจากโถงงานเลี้ยง ผู้อาวุโสหลิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ในท่าทีผ่อนคลาย ในมือเขามีชาร้อนอยู่แก้วหนึ่ง และก่อนที่เขาจะได้ดื่มมัน เสียงของคราวน์ปรินซ์ก็ทำให้เขาต้องวางแก้วลงแล้วยืนขึ้นเพื่อทักทายผู้เดินเข้ามา
“ฮะ ๆๆ ช่างเป็นคนที่หนุ่มแน่นและเปี่ยมด้วยความหวังเสียจริง สมแล้วที่เป็นลูกชายของปรมาจารย์จาง” ชายสูงวัยยิ้มและถ่อมตน ก่อนจะเดินเข้าหาเซียวเฟิงช้า ๆ
“ยินดีที่ได้ยินเช่นนั้นครับ ว่าแต่ท่านผู้อาวุโสหลิวรู้จักพ่อของผมด้วยเหรอ?” เซียวเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย ปรมาจารย์จางนั้นเป็นชื่อที่บุคคลในโลกภายนอกนี้แต่งตั้งให้จางจงเลี่ยง แน่นอนว่าจางจงเลี่ยงก็ยังเป็นจางจงเลี่ยง ใครก็ตามที่รู้จักเขา ย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นคนคนนี้ก็เช่นกัน
“เมื่อตอนฉันยังหนุ่ม ฉันเคยเป็นเลขาให้แม่ทัพใหญ่ ครั้งที่เขาไปพบปรมาจารย์จาง ฉันเลยมีโอกาสได้พบกับเขา ได้เห็นแนวคิดที่น่าทึ่งจนไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาต้องเป็นนักปราชญ์ที่โลกใบนี้ซ่อนเอาไว้แน่ ๆ ”
“ผู้อาวุโสหลิวจะชมเขาเกินไปแล้วครับ เขาก็แค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งในหมู่บ้านฉานโน” เซียวเฟิงตอบ
จางจงเลี่ยงเป็นคนที่มีความสามารถสูงมาก ๆ มิเช่นนั้นแล้วเขาคงจะไม่สามารถขึ้นเป็นผู้นำตระกูลได้ ว่ากันว่าเมื่อสมัยเขายังหนุ่ม เขาสามารถเชื่อมต่อโลกและสวรรค์ได้ ทลายขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์และก้าวเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์ด้วยตนเอง
เช่นนั้นการที่ผู้อาวุโสหลิวคนนี้เคยเป็นเลขาให้กับแม่ทัพนายพลมาก่อน คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเคยเจอจางจงเลี่ยง ยังไงเสียระดับแม่ทัพ การนัดพบจางจงเลี่ยงคงไม่ใช่เรื่องยาก อนึ่งก็เพราะตอนนั้นอายุพวกเขาน่าจะไล่ ๆ กันด้วย แต่จากมุมมองของเซียวเฟิงตอนนี้ เขารู้สึกว่าจางจงเลี่ยงจะดูอ่อนเยาว์กว่าแม่ทัพคนดังกล่าวเยอะพอสมควร
คราวน์ปรินซ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็แอบตื่นตัวเล็กน้อย เขาเพิ่งจะรู้ถึงตัวตนของเซียวเฟิงมาเมื่อไม่นานนี้เอง หลังจากที่พยายามในการสืบหามาอย่างเนิ่นนาน แต่เพราะความลับระดับสุดยอดนั้นถูกเก็บไว้ในสถานที่ที่ได้รับการป้องกันสูงสุดภายในห้องทำงานของจอมพล การเข้าไปสืบค้นจึงค่อนข้างจะยุ่งยากมาก ๆ ทว่าก็ไม่ได้เกินความสามารถเขามากไปนัก นั่นเลยเป็นจุดที่ทำให้เขารู้ถึงตัวตนที่พิเศษกว่าคนอื่นของเซียวเฟิง แล้วก็รู้ด้วยว่าผู้บัญชาการสูงสุดนั้นมีความเกี่ยวข้องส่วนตัวกับพ่อของเซียวเฟิง
การมีความเกี่ยวข้องส่วนตัวกับแม่ทัพสูงสุดนั้นก็มากพอที่จะทำให้คนอื่น ๆ ในประเทศอิจฉาได้แล้ว
ไม่เพียงแต่คราวน์ปรินซ์เท่านั้นที่ตื่นตัว เพราะหลิวเฉียงเหว่ยและอีกสามสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเซียวเฟิงเองก็ยังแสดงความตกใจผ่านสายตา แน่นอนว่าพวกเธอรู้ชื่อพ่อของเซียวเฟิงกันอยู่แล้ว
“ฮะ ๆๆ เธอยังเด็ก” ผู้อาวุโสหลิวยิ้มแล้วส่ายหัวเบา ๆ “แต่พวกเราไม่ได้จะมาคุยกันเรื่องปรมาจารย์จางหรอกนะวันนี้ ฉันอยากจะคุยเรื่องของเธอ เจ้าแห่งฮีลเลอร์”
ขณะที่พูดออกมาเช่นนั้น สายตาของผู้อาวุโสหลิวก็กวาดมองเลยหลังเซียวเฟิงไปยังสาว ๆ ทั้งสี่คนที่มาด้วย เขาพยายามสื่ออะไรบางอย่างผ่านสายตานั้น เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ
“พี่เซียว ถ้ายังไงพวกเราจะกลับไปที่งานเลี้ยงก่อน” เฉียนโตวโตวพูดขึ้นมาก่อน ในขณะที่สาว ๆ คนอื่นต่างก็กำลังรู้สึกผิดกันอยู่ พวกเธอกล่าวโทษตัวเองแม้ว่ามือจะแอบกำหมัดด้วยความขุ่นเคืองกันอยู่ นั่นเพราะตอนนี้พวกเธอรู้แล้วว่าที่ผู้อาวุโสหลิวเรียกเซียวเฟิงมาคนเดียวก็เพราะมีเรื่องส่วนตัวจะคุยกัน
“ไม่ต้อง พวกเธอเป็นภรรยาของผมน่ะครับ เพราะงั้นท่านผู้อาวุโสหลิวไม่ต้องเป็นห่วง” เซียวเฟิงหยุดสาว ๆ ของตนไว้ก่อน เขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหลิวมีเรื่องที่อยากจะพูดเป็นการส่วนตัวแน่ ๆ ไม่งั้นคราวน์ปรินซ์คงไม่นำเขามายังห้องนี้ หากเซียวหลิงอยู่ที่นี่ด้วย เขาคงจะไม่ปฏิเสธให้เธอกลับไป แต่เพราะผู้ที่อยู่ในนี้กับเขาเป็นหลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ ดังนั้นไม่มีปัญหา ยังไงเสียเขาก็ไม่อยากจะปิดบังเรื่องอะไรจากพวกเธออยู่แล้ว
ถือเป็นโชคดีที่เซียวหลิงลากหนิงเคอเค่อไปเดินเล่นรอบงานเลี้ยงแล้วก่อนหน้านี้ แถมสถานะของเซียวหลิงในตอนนี้ก็เป็นที่จดจำของผู้คนทั้งฮัวเซียแล้วด้วย โดยเฉพาะกับผู้ที่เข้าร่วมงานในวันนี้ที่ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโต เซียวเฟิงจึงมั่นใจมาก ๆ ว่าการปล่อยให้เด็กสาวสองคนวิ่งเล่นอยู่ในงานเลี้ยงจะไม่เกิดปัญหาอย่างแน่นอน
“โอ้ งั้นฉันต้องขอโทษด้วยที่เสียมารยาทกับสาว ๆ นะ เชิญเลย เชิญนั่งกันก่อน!”
ผู้อาวุโสหลิวกล่าวขอโทษก่อนจะเชิญให้ทุกคนหาที่นั่ง ส่วนคราวน์ปรินซ์เพียงแค่พยักหน้าแล้วก็เดินออกไปจากห้องนี้แทน และเขาก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องให้สนิทด้วยเพื่อกันไม่ให้มีใครเดินเข้าไปได้อีก
“หนุ่มน้อยตระกูลจาง ฉันมีสองเหตุผลที่เรียกเธอมาในวันนี้ อย่างแรกคือเพื่อกล่าวชม และสองคือเพื่อลงโทษ” ชายสูงวัยไม่ร่ายอารัมภบทให้ยื่นยาว หลังจากที่ทุกคนนั่งลงและเขาได้จิบชาให้ลำคอเริ่มอุ่นขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็เริ่มเข้าประเด็นหลักในทันที
“เชิญท่านผู้อาวุโสหลิวชี้แจงได้เลยครับ” เซียวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วจึงพูดตอบ
“เริ่มจากชื่นชมก่อนก็แล้วกัน ฉันต้องขอบคุณเธอที่พยายามอย่างหนักในสงครามระหว่างเขตแดนจริง ๆ กล้าพูดได้เลยว่าการที่เขตฮัวเซียของพวกเราสามารถขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอีเวนต์นี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ และอย่างที่ฉันได้ให้สัญญาไว้ก่อนหน้า ประเทศชาติจะต้องยินดีที่จะตอบแทนเธอแน่ ๆ ไม่ว่าสิ่งใดที่เธอขอ พวกเราจะจัดการให้ดีที่สุด”
เมื่อพูดออกไปแล้ว ผู้อาวุโสก็เงียบลงไปครู่หนึ่งและถอนหายใจ “อันที่จริง เมื่อห้าปีที่แล้ว เธอก็ควรจะได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกแบบนี้ เพราะฉะนั้น นี่ก็จะถือเป็นการชดเชยสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอด้วย”
“ท่านผู้อาวุโสเยินยอผมมากไปแล้วครับ ในฐานะที่ผมเป็นประชาชนฮัวเซียคนหนึ่ง นี่ถือเป็นการรับใช้ชาติอย่างหนึ่ง เรามาเข้าเรื่องที่ท่านบอกจะลงโทษเลยดีกว่า”
เซียวเฟิงไม่ได้ตกใจกับที่อีกคนรู้เรื่องของเขานัก เพราะรู้ดีว่าตนเองน่ะ ถูกสืบสวนมานานแล้ว หลังจากที่เขามาอยู่ในประเทศนี้เป็นเวลานาน หากเขาไม่โดนสืบค้นเลย แสดงว่าฝ่ายความมั่นคงระหว่างประเทศของประเทศคงจะมีปัญหาแล้วล่ะ
“ดูเหมือนว่าเธอจะพากลุ่มคนเข้ามาจากยุโรป แล้วคนกลุ่มนั้นก็ดูจะมาจากองค์กรใต้ดินด้วย ไม่เพียงแต่เธอนำพวกเขาเข้ามายังประเทศนี้ด้วยวิธีที่ผิด พวกเขาที่เธอพามายังก่อเรื่องผิดกฎหมายฮัวเซียกันอีก! ดังนั้นตอนนี้ กลุ่มคนเหล่านั้นถือเป็นกลุ่มคนอันตรายสำหรับพวกเราเป็นอย่างมาก!” รอยยิ้มบนใบหน้าผู้อาวุโสหลิวหายไปแล้ว ขณะนี้เขากำลังจ้องมองเซียวเฟิงด้วยสีหน้าจริงจัง
“เรื่องจริงครับ” ผิดคาด เซียวเฟิงไม่ได้คิดจะปิดบังมันเลย
“งั้นเธอก็คงจะรู้ถึงสถานะของคนเหล่านั้นมากกว่าที่ฉันรู้ เช่นนั้นเธอควรรู้ด้วยว่าชาวฮัวเซียจะไม่อดทนต่อการมีอยู่ของพวกเขาอีกต่อไป!” น้ำเสียงของผู้อาวุโสหลิวเริ่มดุดันขึ้นมาทีละขั้น
“ผมได้ตักเตือนพวกเขาไปแล้ว และจะคอยดูแลพวกเขาให้อยู่ในกฎหมายครับ ต่อจากนี้พวกเขาจะไม่ออกมาสร้างความเดือดร้อนหรือทำให้สังคมต้องตื่นกลัวอีก อีกทั้งตอนนี้พวกเขาก็ใช้เวลาอยู่ในโลกของเกมเป็นหลักด้วย” เซียวเฟิงอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ไม่นานมานี้ ฉันได้ข่าวว่ามีผู้แอบอ้างเป็นตำรวจสองนายตายโดยไม่ทราบสาเหตุในเมืองเฉิงไห่ หลังจากการตรวจสอบแล้วก็พบว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้ เช่นนี้แล้วเธอยังรับปากว่าพวกเขาไม่อันตรายอยู่อีกหรือ?”
ผู้อาวุโสหลิวยังซักถามไม่หยุดหย่อน น้ำเสียงของเขาดุดันราวกับกำลังเค้นความจริงจากนักโทษ
หลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ ได้แต่มองหน้ากันด้วยแววตาสับสน พวกเธอพอจะรู้ได้ว่าคนของเฮลนั้นคอยปกป้องพวกเธออย่างลับ ๆ นอกจากนั้นพวกเธอก็รู้ถึงตัวตนของพวกเฮลทั้งหมดด้วย
“ไม่เกี่ยวกับพวกเขาหรอกครับ ผมเป็นคนลงมือกับคนพวกนั้นเอง” เช่นเดิม เซียวเฟิงยังคงตอบอย่างไม่ลังเลภายใต้ความใจเย็น
“เธอกำลังปกป้องคนพวกนั้นเหรอ? ทั้ง ๆ ที่เธอรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าคนพวกนั้นจะอาจจะเป็นระเบิดเวลาที่รอวันทำลายความมั่นคงของฮัวเซียน่ะเหรอ?” ได้ยินเช่นนั้น น้ำเสียงของผู้อาวุโสหลิวก็เยือกเย็นขึ้นมาทันที
“เธอน่ะมีบุญคุณต่อประเทศนี้ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เธอสามารถกระทำเรื่องผิดกฎหมายของฮัวเซียได้หรอกนะ!” เขาทุบไปที่โต๊ะเสียงดังพร้อมทั้งกวาดตามองไปยังหลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ อีกสามคนด้วย
“ไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอกครับ” มีเพียงเซียวเฟิงเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่งอยู่
“ฮึ่ม! หากเธอยังพยายามปกป้องพวกนั้น ฉันก็จะยกเลิกการตบรางวัลให้เธอซะ!” ชายชราหลิวเหลียวกลับมามองเซียวเฟิงอีกครั้ง
“ไม่ขัดข้องครับ” ยามที่แววตาของทั้งสองฝ่ายได้สบกันเอง เซียวเฟิงก็ไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด
“ฉันผิดหวังในตัวเธอจริง ๆ!” อีกครั้งที่ผู้อาวุโสหลิวทุบโต๊ะ เขาลุกขึ้นและพูดอย่างเยือกเย็นขณะเดินไปยังทางออกห้อง “แล้วเธอจงจำไว้เลยนะ! เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะสามารถลบเลือนได้ แต่ในอนาคต ถ้าพวกนั้นกล้าที่จะละเมิดกฎบ้านกฎเมืองอีกครั้งล่ะก็ รัฐบาลจะไม่ยอมทนอีกแน่!”
พูดจบ ผู้อาวุโสหลิวก็เปิดประตูและเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
“ขอบคุณครับ ท่านผู้อาวุโสหลิว” เซียวเฟิงกล่าวขอบคุณตามหลังอีกฝ่ายไป ไม่มั่นใจว่าชายชราหลิวนั้นจะได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า
“เซียวเฟิง นายจะบ้าบิ่นเกินไปแล้ว!” ทันทีที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้อีกนอกจากพวกเธอ เธอก็หันไปเอ็ดเซียวเฟิงอย่างไม่รีรอ
“ใช่แล้ว พี่เซียว! ชื่อเสียงของพี่ต้องถูกริบไปหมดเลยนะ แบบนี้มันถือว่าเราขาดทุนยับเลยนะ!” เฉียนโตวโตวเองก็ไม่อยู่นิ่งเช่นกัน หลังจากเธอคำนวนจากเรื่องที่เกิดแล้วมองว่าเซียวเฟิงขาดทุน
“ไม่ต้องกังวล ท่านเซียวเองก็คงจะมีแผนอะไรอยู่แล้วล่ะ” จากประสบการณ์ ซางกวน ซือเฟยยังคงเชื่อว่าเซียวเฟิงไม่ใช่พวกที่กระทำการใดโดยไม่มีแผนมารองรับ
“ชื่อเสียงนั่น ฉันเอาไปใช้แลกของรางวัลแล้วต่างหาก” ดูเหมือนเธอจะคิดถูก เซียวเฟิงไม่ได้มีท่าทีที่รู้สึกว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาดเลย
“แลกของรางวัล? พี่หมายความว่ายังไงน่ะ?” เฉียนโตวโตวขมวดคิ้วสงสัยอีกครั้ง
“การทำให้สมาชิกของเฮลมีสถานะถูกกฎหมายไง ชื่อเสียงของฉันแลกกับสิ่งนี้แหละ”
“นายกำลังหมายถึง…” หลิวเฉียงเหว่ยเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลย
“พวกเธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเฮลน่ะไม่เป็นภัยความมั่นคงกับฮัวเซียหรอก แต่ตอนนี้พวกเราทำได้แค่โอนอ่อนไปก่อนเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ฉันแลกเปลี่ยนมา เพราะมันอยู่นอกเหนือกฎหมาย หากชื่อเสียงของฉันสามารถทำให้พวกเขาอยู่ในประเทศนี้ต่อได้ ฉันก็ไม่ถือว่าตัวเองขาดทุน” เซียวเฟิงอธิบายสำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจ
“เป็นแบบนี้เองเหรอ…” คนที่เหลือเริ่มเข้าใจกันหมดแล้ว แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพวกเธอก็กลับไปงดงามอีกครั้งขณะจ้องมองมายังเซียวเฟิงด้วย
“เอะเถอะ กลับไปสนุกกับงานเลี้ยงกันต่อดีกว่า งานพบปะกันแบบนี้หาได้ยากนะ ถ้าเธอไม่รีบสนุกคืนนี้ บางทีพรุ่งนี้อาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้นะ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและเดินมุ่งหน้ากลับไปยังงานเลี้ยงก่อน
สี่สาวที่ถูกทิ้งไว้ได้แต่มองหน้ากันเองแล้วค่อย ๆ คลี่ยิ้มสดใสออกมาให้กันและกัน พวกเธอกลับไปยังงานเลี้ยงตามหลังเซียวเฟิงและสนุกไปกับงานเลี้ยงที่ไม่ได้พบเจอบ่อย ๆ นี้กันให้เต็มที่
เซียวเฟิงที่เข้ามาในโถงงานเลี้ยงแล้วเริ่มเดินตามหาเซียวหลิงและหนิงเคอเค่อ แต่แล้วนั่นก็ทำให้สีหน้าของเขาทะมึนลง ที่ปลายสายตาของเซียวเฟิง เขาเห็นหานเฟิงกำลังวิ่งเข้าห้องเด็กสาวทั้งสองโดยที่ไม่รู้เลยว่าเทพแห่งความตายกำลังจ้องมองเขาอยู่แล้ว
ทว่าสัญชาตญาณของหานเฟิงก็เหมือนจะยังทำงานได้ดีอยู่ เขาหยุดชะงักไปกลางทางด้วยใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อ
“อะ ฮะ ๆๆ หะ…ห้องน้ำอยู่ทางนั้นสินะ?”
สัญชาตญาณระวังภัยของเขาบ่งบอกว่าอันตรายอยู่ทางไหน ดังนั้นเขาจึงสามารถหนีเซียวเฟิงไปได้โดยที่ไม่ต้องหันไปมองหาเพื่อเช็กความถูกต้องเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าพี่ตัวเหม็น ไปไหนมาน่ะ ทำไมถึงปล่อยให้หนอนแมลงนั่นมาวุ่นวายกับองค์หญิงหลิงได้?”
ที่ปลายจมูกของเซียวหลิงเปรอะไปด้วยครีมสีขาวแต้มเล็ก ๆ ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่รู้เรื่องนี้ก็เลยไม่ได้เช็ดมันออก อันที่จริงมันก็ทำให้เธอดูน่ารักไม่หยอกเลย ยามที่เธอเห็นเซียวเฟิงเดินเข้ามาหา เด็กสาวก็บ่นออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เคอเค่อ ไปเร็ว! ขนมหวานจานใหม่มาแล้ว!” แต่ก่อนที่เซียวเฟิงจะได้พูดอะไร ดวงตาสีสวยของเซียวหลิงก็เป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง เธอจับมือหนิงเคอเค่อและออกวิ่งไปอีกรอบ ทิ้งให้เซียวเฟิงยืนอยู่คนเดียวโดยที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“เซียวเฟิง…”
ระหว่างนั้น ซือเยี่ยจิ๋งก็เดินเข้ามาหาเขา รอบนี้ข้างกายเธอไม่มีหลิวเฉียงเหว่ยหรือใครอื่นอยู่ด้วย เธอมาด้วยตนเองและมาพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสน
“เป็นอะไรไป? เธอดูไม่ร่าเริงเลยนะวันนี้” เซียวเฟิงสังเกตเห็นแววตานั้นได้และถามด้วยความประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกไปปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าของเธออยู่ไปทัดไว้หลังหูแทนด้วย
“ฉัน…” บางทีอาจจะเป็นเพราะการกระทำของเซียวเฟิงเมื่อครู่นี้ มันเลยทำให้ใบหูของหญิงสาวแดงขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อหันไปมองรอบ ๆ ตัวแล้วเห็นว่าไม่มีใครกำลังมองมายังตน เธอก็เริ่มลังเลที่จะพูดสิ่งที่คาใจอยู่ออกมา
“วิธีพูดแบบนั้นไม่เหมาะกับเธอเลยนะ” ใบหน้าอ่อนโยนของเซียวเฟิงกำลังยิ้มให้สาวงามแห่งฮัวเซีย เขาเอื้อมหยิบค็อกเทลมาสองแก้วจากเคาน์เตอร์ไวน์ข้าง ๆ เขา และส่งแก้วหนึ่งให้ซือเยี่ยจิ๋ง
“ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี…” ถึงอย่างนั้นซือเยี่ยจิ๋งก็ยังคงลังเลอยู่
“ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเรา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พูดได้ทั้งนั้น” เซียวเฟิงหรี่ตาลง รอยยิ้มของเขาดูชั่วร้ายขึ้นเล็กน้อย
“ฉันไม่ใช่พวกติดสัดทั้งวันสักหน่อย!” เหมือนเธอจะรู้ว่าเขาจะสื่ออะไร ซือเยี่ยจิ๋งมองเซียวเฟิงด้วยแววตาหน่ายใจก่อนจะก้มหัวลงไปสักพักและพูดออกมาด้วยเสียงเบา “ฉันไม่มีค่าอะไรสำหรับนายเลยหรือเปล่า?”
“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” เซียวเฟิงประหลาดใจ
“ก็พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว พี่เฉียงเหว่ยก็เป็นหัวหน้ากิลด์มิดซัมเมอร์ที่สูงส่ง โตวโตวก็มีตำหนักขุมทรัพย์ หรือแม้แต่พี่ซือเฟยก็ยังมีเงินมากมาย…แถมเธอคนนั้นยังมีร่างกายที่แสนวิเศษที่เหมาะสมกับนายอีก แล้วนายลองดูที่ฉันสิ ตัวฉันไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ทุกวันนี้ก็เป็นแค่บอร์ดี้การ์ดให้พี่เฉียงเหว่ยเท่านั้น…”
จากสิ่งที่เธอพูด มันชัดเจนเลยว่าอารมณ์ของซือเยี่ยจิ๋งนั้นค่อนข้างตกต่ำมากเลยในวันนี้