Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 564 ข่าวที่น่าสะพรึง
บทที่ 564 ข่าวที่น่าสะพรึง
บทที่ 564 ข่าวที่น่าสะพรึง
“ฉะ…ฉันไม่ใช่กระถางต้นไม้สักหน่อย! ฉันน่ะ เป็นรองหัวหน้ากิลด์ตำหนักกุหลาบเลยนะ!”
ชูเมิ่งอิ๋งพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย
“โอ้ จริงเหรอ? เกือบประหลาดใจแล้วนะเนี่ย แล้วรองหัวหน้ากิลด์แต่มาทำอะไรแถวนี้ไม่ทราบ?” เซียวเฟิงกระตุกมุมปากเล็กน้อยขณะที่พูดออกไปเช่นนั้น
“นายพูดอะไรกระทบตัวเองอยู่หรือเปล่า? เฮอะ บุคคลอันดับ 1 ของฮัวเซีย แต่กลับมานั่งอยู่ในมุมอับของงานเลี้ยงแบบนี้น่ะเหรอ?”
ด้วยความที่ไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้นชูเมิ่งอิ๋งจึงไม่ได้เกรงกลัวเซียวเฟิงเลยแม้แต่น้อย
“พรู่ด!!! อ๊ะ ขะ…ขอโทษจริง ๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ถ้ายังไงขอตัวก่อนละกัน”
ซือเยี่ยจิ๋งรีบยกมือขึ้นปิดปากโดยพลันเพื่อไม่ให้ตนเองหลุดขำออกมา และโชคชะตาเลือกที่จะช่วยเธอไว้ เพราะตอนนั้นเอง หลิวเฉียงเหว่ยที่อยู่กลางงานเลี้ยงก็โบกมือเรียกเธอเข้าไปพอดี ดังนั้นเธอจึงใช้เหตุผลนี้ในการปลีกตัวออกจากวงสนทนาได้อย่างฉิวเฉียด
“ว่ากันตามตรง ด้วยพลังกับอิทธิพลของนาย ทำไมนายถึงไม่ตั้งกิลด์เองซะเลยล่ะ? ฉันรู้ว่าเมืองแห่งความโศกเศร้านั้นเป็นของนาย แต่จากการที่ฉันเข้าไปแวะเวียนเที่ยวดูหนังในเมืองนั้นบ่อย ๆ มันก็ทำให้ฉันรู้ว่า เมืองแห่งความโศกเศร้าน่ะ เป็นเพียงเมืองธุรกิจเมืองหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ฐานทัพหรือกองกำลังแต่อย่างใด”
ชูเมิ่งอิ๋งไม่ได้รั้งตัวซือเยี่ยจิ๋งไว้แต่อย่างใด กลับกัน เมื่ออีกฝ่ายลุกออกไปแล้ว เธอก็เข้าไปนั่งสวมรอยนั่งฝั่งตรงข้ามเซียวเฟิงอย่างรวดเร็วแทนด้วย ใบหน้าสวยจ้องมองไปยังชายหนุ่มก่อนจะกล่าวถามเรื่องที่คาใจออกไป
“เธอสามารถดูหนังในเมืองแห่งความโศกเศร้าได้ด้วยเหรอ?” พลันเมื่อได้ยินเรื่องนั้น เซียวเฟิงก็เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“นี่นายไม่รู้เหรอ? เมืองแห่งความโศกเศร้าเพิ่งให้ความร่วมมือกับวันด้าเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนี้เอง พวกเขาสร้างโรงหนังขนาดใหญ่ไว้ใกล้ ๆ ใจกลางเมืองแห่งความโศกเศร้าและฉายหนังเหมือนกับว่าเป็นโรงหนังในโลกจริงเลยนะ เผลอ ๆ อาจจะดีกว่าโลกจริงด้วยซ้ำไป เพราะพื้นที่ที่กว้างขวางกว่าโลกจริงอยู่เยอะ ดังนั้นโรงหนังในเมืองแห่งนี้ก็จะฉายหนังได้หลายเรื่องกว่าแถมยังได้หลายรอบกว่าเป็นไหน ๆ ซึ่งมันสะดวกสบายมากสำหรับคนที่อยากดูหนังแต่ไม่อยากออกจากบ้าน นายลองคิดสภาพว่าหากนายอยากดูหนังสักเรื่อง เพียงแค่เทเลพอร์ตไปยังเมืองแห่งความโศกเศร้าแล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย โรงหนังก็อยู่ตรงหน้านายแล้ว แบบนี้คิดว่ามันสะดวกหรือเปล่าล่ะ? ถามจริงเหอะ นี่นายไม่รู้เรื่องอะไรในเมืองของนายเลยเหรอ?”
จากการร่ายยาวของชูเมิ่งอิ๋ง มันชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของเมืองแห่งความโศกเศร้าที่แท้จริง
“ฉันไม่ค่อยได้เข้าไปที่เมืองนั้นน่ะ” แม้จะประหลาดใจ แต่เซียวเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรนัก นั่นเพราะการพัฒนาเมืองนี้นั้น เซียวเฟิงมั่นใจในศักยภาพของเฉียนโตวโตวอยู่แล้ว
“กลับมาเรื่องที่ฉันถามก่อน นายไม่คิดจะสร้างกิลด์จริง ๆ เหรอ? ถ้าสมมติว่านายสร้างกิลด์ กิลด์นายจะต้องได้เป็นกิลด์ที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับ 1 ของเขตฮัวเซียเลยก็ได้นะ แถมฉันยังสามารถเข้ามาช่วยนายในการขยายกิลด์ให้ใหญ่กว่าเดิมด้วยชื่อเสียงของฉันก็ยังได้ ไม่สนใจแน่เหรอ?” หญิงสาวกล่าวถามอีกครั้ง และในประโยคสุดท้าย เธอก็ไม่ลืมยืดอกตนด้วยความภาคภูมิใจในชื่อเสียง
“ไม่ใช่ว่าเธอเป็นรองหัวหน้ากิลด์กุหลาบ ๆ อะไรสักอย่างอยู่เหรอ? ฉันไม่สนใจเรื่องตั้งกิลด์อะไรนั่นหรอก” แทบจะไม่ต้องคิด เซียวเฟิงส่ายหน้าแทบจะทันทีหลังจากอีกฝ่ายพูดจบ
“ฉะ…ฉันก็พยายามเป็นอยู่น่า! นี่ ฉันอุตส่าห์ชี้ทางให้นายขนาดนี้แล้ว ไม่คิดจะสนใจหน่อยเหรอ!”
เมื่อเซียวเฟิงปฏิเสธเธอทุกอย่าง มันก็ทำให้ชูเมิ่งอิ๋งเริ่มจะโมโหขึ้นมาแล้ว
“ฉันชินกับการเป็นอิสระแบบนี้ไปแล้ว แล้วก็ไม่มีความคิดที่จะเอาอิสระของตัวเองไปผูกมัดกับใครแล้วตั้งกิลด์ด้วย” เซียวเฟิงพูดย้ำ
“นาย…ฮึ่ม! นายกำลังมองข้ามผลประโยชน์ของตัวเองอยู่นะ! จะไม่คิดทำอะไรหน่อยหรือไง!” ยิ่งได้ฟังเซียวเฟิงพูด เทพธิดาแห่งชาติก็ยิ่งรู้สึกเสียดายโอกาสที่เซียวเฟิงมีแทน
“ฮะ ๆๆ ท่านเจ้าแห่งฮีลเลอร์ ช่างสง่างามเสียจริง ๆ เลยนะครับ” ขณะนั้นเอง หวงฟู ตงไลก็เดินเข้ามาและแทรกกลางระหว่างบทสนทนาของเซียวเฟิงและชูเมิ่งอิ๋งไว้
“นายเองก็เหมือนกัน” เซียวเฟิงตอบรับง่าย ๆ อันที่จริงเขาสังเกตเห็นว่าหวงฟู ตงไลเดินไปเดินมาอยู่แถว ๆ นี้มาพักใหญ่ ๆ แล้วกว่าจะเข้ามาในครานี้
“ว่าไปนั่น ฉันเข้ามารบกวนหรือเปล่า?” หวงฟู ตงไลหันมองชูเมิ่งอิ๋งแล้วหันมาถามเซียวเฟิง
“พูดธุระมาได้เลย” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจหญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“โอเค ถ้างั้น…นายพอจะรู้หรือเปล่าว่าท่านหญิงจางจะกลับมาเมื่อไหร่?” หลังจากได้รับคำอนุญาต หวงฟู ตงไลก็พูดธุระของตนออกมา
“น่าจะเร็ว ๆ นี้แหละ ฉันเองก็ไม่ชัวร์สักเท่าไหร่” เซียวเฟิงคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องที่จางจิ่วจิ่วพูดไว้ก่อนที่เขาจะกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าเธอจะปล่อยตัวจางเสี่ยวหยู
หลังจากคำนวณดูแล้ว บางทีเธอน่าจะกลับถึงบ้านตระกูลจางในเร็ว ๆ นี้
ไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางหรือเปล่าเพราะจางจิ่วจิ่วนั้นเป็นพวกขี้เล่นมาก ๆ ไม่เช่นนั้นแล้วตัวเขาเองคงไม่รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้กลับไปบ้านเมื่อหลายปีก่อนหรอก อันที่จริงเพราะจางจิ่วจิ่วอยู่ที่บ้าน มันจึงอยากทำให้เขากลับบ้านด้วยซ้ำไป นี่อาจจะเป็น ‘กุญแจ’ อมตะที่โลกนี้ไม่ได้บอกใครเอาไว้ จนบางทีเขาเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยว่าควรจะกลับไปที่ไหนดี
“เข้าใจแล้ว งั้นในเมื่อตระกูลจางเองก็ได้เข้าร่วมสนธิสัญญาโบราณด้วยเหมือนกัน ในกรณีที่ท่านหญิงจางยังไม่ออนไลน์ เจ้าแห่งฮีลเลอร์สนใจที่จะเข้าร่วมในฐานะตัวแทนของตระกูลจางแทนหรือเปล่า?”
หวงฟู ตงไลถามต่อหลังจากได้ยินคำตอบก่อนหน้า
สนธิสัญญาโบราณเหรอ?
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เซียวเฟิงได้ยินคำนี้ แต่ชายหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่ามันน่าจะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คนเฒ่าคนแก่สืบทอดกันลงมาในหมู่ตระกูลโบราณแน่ ๆ ถึงอย่างนั้น เพราะเซียวเฟิงไม่ได้อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลจางมากนัก รวมไปถึงพัวพันกับคนในตระกูลโบราณอื่น ๆ ด้วย อาจเรียกว่าต่อต้านเลยก็ว่าได้
“รออีกสักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวเสี่ยวหยูก็คงกลับมาแล้ว” เมื่อทบทวนดีแล้ว เซียวเฟิงจึงส่ายหน้าแล้วตอบปฏิเสธไป
“โอเค ไม่เป็นไร งั้นฉันไม่รบกวนเจ้าแห่งฮีลเลอร์แล้ว” หวงฟู ตงไลพยักหน้าและจากไปด้วยสีหน้าเศร้าเล็กน้อย
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากเขาจะเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหากแอนติคิวตี้ได้เจ้าแห่งฮีลเลอร์เข้าร่วมในฐานะตัวแทนของตระกูลจาง มันจะทำให้กิลด์นี้โด่งดังขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอนแล้วยังเปี่ยมไปด้วยเกียรติยศที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่น่าเสียดายที่เจ้าแห่งฮีลเลอร์นั้นไม่สนใจเข้าร่วม ถึงหวงฟู ตงไลจะพยายามเกลี้ยกล่อมบ้างแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผลลัพธ์อื่นใดนอกจากล้มเหลว
“ท่านเจ้าแห่งฮีลเลอร์ พวกเราต้องไปแล้ว ต้องขอโทษเรื่องวันนั้นอีกครั้งจริง ๆ ค่ะ หากท่านเจ้าแห่งฮีลเลอร์มีอะไรให้พวกเรากิลด์วูล์ฟช่วยเหลือในอนาคต โปรดติดต่อมาได้ทันทีเลย!” คิทเท่นเดินเข้ามาและกล่าวกับเซียวเฟิง
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วว่าแต่พวกเธอจะไปกันคืนนี้เลยเหรอ?” เซียวเฟิงตอบรับแล้วถามกลับไป
“ใช่แล้ว เที่ยวบินคืนนี้เลย พวกเรามาถึงเมืองหลวงกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพราะงั้นเที่ยวเล่นเมืองหลวงสองวันก็ถือว่ามากโขแล้ว ถึงเวลาต้องกลับไปสักที” ซิงเซียเดินตามมาพยักหน้า
“โอเค งั้นเดินทางปลอดภัยนะ” ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็กล่าวลาอีกฝ่าย
“ไปก่อนนะคะ!” คิทเท่นเองก็โบกมือเล็ก ๆ ของเธอให้เซียวเฟิงด้วยก่อนจะเดินตามหลังซิงเซียออกจากงานไป
ดูจากการที่พวกเขาออกจากงานไปเลย คาดว่าพวกเขาน่าจะกล่าวลากับผู้จัดงานอย่างคราวน์ปรินซ์ไปแล้วก่อนจะมาถึงจุดนี้
อันที่จริงนอกจากซิงเซียแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ตั้งใจจะบินกลับบ้านเกิดคืนนี้เลย เพราะหลังจากซิงเซียเดินออกไปแล้ว ผู้นำกิลด์มากมายต่างก็กล่าวอำลาคราวน์ปรินซ์แล้วเดินตรงไปยังประตูทางออกกันทั้งนั้น
และด้วยความที่จุดที่เซียวเฟิงนั่ง ณ ปัจจุบันนี้อยู่ใกล้ประตูทางออกงาน มันเลยทำให้ทุกคนที่เดินผ่านต้องวกมากล่าวทักทายและบอกลาเซียวเฟิงกันทั้งสิ้น แถมยังล้วนเป็นคนที่ชายหนุ่มคุ้นตาเสียด้วย
ระหว่างนั้น ชูเมิ่งอิ๋งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเซียวเฟิงก็เฝ้ามองคนใหญ่คนโตจากกิลด์ต่าง ๆ เข้ามาทักทายเซียวเฟิงอย่างสุภาพไม่ขาดสาย เธอรู้สึกอิจฉาลึก ๆ นั่นเพราะเธอเองก็เป็นถึงดาราดังคนหนึ่งในเขตฮัวเซียแท้ ๆ แต่กลับไม่มีใครหมายจะเดินเข้ามาพูดคุยเธอบ้างเลย ไม่แม้แต่จะทักทายด้วยซ้ำ! อย่างมากก็แค่ผงกหัวให้หลังจากคุยกับเซียวเฟิงเสร็จแล้ว!
เซียวเฟิงหันมองเวลาก่อนจะพบว่าตอนนี้มันก็ห้าทุ่มเข้าไปแล้ว นี่เขาอยู่ในงานเลี้ยงมาเกือบห้าชั่วโมงเลยเหรอเนี่ย ไม่แปลกใจเลยที่หลาย ๆ คนเริ่มจะทยอยกลับกัน
ผู้ที่จองเที่ยวบินกลับในคืนนี้เลย คิดเป็นหนึ่งในสามของจำนวนคนทั้งหมดที่มาร่วมงาน ในขณะที่หนึ่งในสามของงานที่เหลือก็ยังดื่มกันต่ออีกนิดหน่อย ดังนั้นโถงงานเลี้ยงแห่งนี้จึงยังคงมีสีสันอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งทุกคนอิ่มและสนุกกันพอแล้ว
“ไปกันเถอะ ถึงเวลากลับแล้ว” เซียวเฟิงขยับคอไปมาก่อนจะลุกขึ้นแล้วพูด
“คราวน์ปรินซ์อยู่ที่นี่ด้วย ดูเหมือนเขาจะหาตัวนายอยู่นะ” ชูเมิ่งอิ๋งเองก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน เธอมองไปยังด้านหลังของเซียวเฟิงก่อนจะบอกกล่าว
ด้วยคำพูดนั้น เซียวเฟิงจึงหันหน้ากลับไปมองด้านหลังแล้วก็พบว่าคราวน์ปรินซ์กำลังเดินเข้ามาทางเขาจริง ๆ ด้วยสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อมั่นใจแล้วว่าคราวน์ปรินซ์มาที่นี่เพื่อหาตัวเขาแน่ ๆ เซียวเฟิงก็ถามออกไปยามที่เขามายืนอยู่ต่อหน้า
สีหน้าของคราวน์ปรินซ์นั้นไม่เพียงแค่ดูลังเลเท่านั้น แต่มันยังบ่งบอกว่าตัวเขากำลังกังวลใจมาก ๆ เลยทีเดียว ราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“งั้นก็คุยกันไปเถอะ ฉันจะกลับโรงแรมแล้ว ฝากบ๊ายบายคนอื่นด้วยล่ะ” เห็นเช่นนั้นชูเมิ่งอิ๋งก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน หลังจากเธอกล่าวอำลาคราวน์ปรินซ์ไปแล้ว หญิงสาวก็จากไปแต่โดยดี เห็นได้ชัดว่าเธออ่านสถานการณ์ออก แต่ไหนแต่ไรชูเมิ่งอิ๋งก็ไม่ใช่คนสวยแต่รูปอยู่แล้ว
“ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือเปล่า…” คราวน์ปรินซ์กล่าวขึ้นมาด้วยความลังเล
“ในเมื่อพูดเปิดมาขนาดนี้แล้วก็พูดต่อให้จบเถอะ” เซียวเฟิงกระตุ้นให้เขาพูดต่อ
“มันเกี่ยวกับองค์หญิงน้อยเซียวหลิงน่ะ” เมื่อเซียวเฟิงให้เขาพูด คราวน์ปรินซ์ก็หันกลับไปมองในงานเลี้ยงแล้วกล่าวออกมา
“เซียวหลิงน่ะเหรอ?” เซียวเฟิงหันมองตามแล้วก็พบว่าปลายสายตาของคราวน์ปรินซ์นั้น กำลังมองไปที่เซียวหลิงที่กำลังทานเค้กอยู่ เขาเริ่มรู้สึกประหลาดใจออกมาเล็กน้อยจนคิ้วขมวด
“พวกเราได้ทำการสอบสวนฮัวจวนแล้วได้ข้อมูลบางอย่างมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงน้อยด้วย”
แม้จะพูดมาขนาดนี้แล้ว แต่คราวน์ปรินซ์ก็ยังคงมีความลังเลอยู่ในน้ำเสียง
“เธอคนนั้นพูดถึงเซียวหลิงว่ายังไง?” ในตอนนี้ คิ้วของเซียวเฟิงขมวดกันเป็นปมแล้ว
“คนของผมถามฮัวจวนไปว่า ในเมื่อเธอเป็นแม่เลี้ยงของเซียวหลิงและมรดกของเซี่ยกวงเหว่ยก็อยู่ในมือของเธอแล้ว ทำไมเธอถึงไม่ดูแลเซียวหลิงให้ดีอย่างที่ควรเป็น ฮัวจวนตอบพวกเราว่า…’ของจำลองก็เป็นได้แค่ของจำลอง ทำไมต้องเลี้ยงดูให้เหมือนมนุษย์…’ ”
คราวน์ปรินซ์พูดต่อ น้ำเสียงของเขามันยิ่งฟังดูสั่นเครือมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้มันจะไม่ได้ต่างจากเสียงปกติก็ตาม
“เธอหมายความว่ายังไง?” คราวนี้เป็นคราวของแววตาเซียวเฟิงบ้างที่แข็งตึง เขารีบถามกลับด้วยเสียงเบา
“ผมไม่ได้ถามซอกแซกในเรื่องนี้เลย เพราะจุดประสงค์หลักที่เข้าไปสอบสวนครั้งนั้น พวกเขาแค่ต้องการจะรู้ว่าผู้เล่นจะต้องทำอะไรต่อในอนาคตเท่านั้น” คราวน์ปรินซ์ส่ายหน้า
“แล้วตอนนี้ฮัวจวนอยู่ไหน?” สีหน้าของเซียวเฟิงตอนนี้ดูไม่ปกติสุด ๆ เขาไม่เหมือนเซียวเฟิงที่ทุกคนรู้จักอีกต่อไป
“ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในเขตกักกันภายในเมืองหลวงแล้ว” คราวน์ปรินซ์ตอบ
“งั้นช่วยจัดการให้ที ฉันอยากจะเจอเธอคืนนี้เลย!” รู้เช่นนั้นเซียวเฟิงก็พูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“โอเค” หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ คราวน์ปรินซ์ก็หันหลังแล้วเดินจากไป นั่นเพราะเขาเห็นว่าหลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ คนอื่นกำลังเดินมาทางเซียวเฟิงพอดี
“กลับห้องกันเถอะ งานเลี้ยงจบแล้ว” หลิวเฉียงเหว่ยเดินเข้ามาหาเซียวเฟิงแล้วพูด ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พวกเธอต่างก็ทยอยเดินออกจากประตูโถงงานเลี้ยงไปทีละคน ๆ
“อืม…กลับกันเถอะ” เซียวเฟิงพยักหน้าและเดินตามพวกเธอออกจากงานเลี้ยงไป
ลิฟต์ที่หน้าโถงงานเลี้ยงพาพวกเขากลับขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม เมื่อเข้าห้องแล้วทุกคนก็ตัดสินใจจะอาบน้ำก่อนที่จะแยกย้ายกันไปยังห้องส่วนตัวที่จัดแจงไว้ ด้วยเหตุนี้มันเลยทำให้พวกเธอได้เห็นว่า ห้องน้ำของห้องสวีตนี้ กว้างใหญ่พอจะให้คนหลายคนเข้าไปอาบพร้อมกันได้โดยไม่ต้องรอคิว ดังนั้นแล้วสี่สาวใหญ่และสองเด็กสาวจึงเข้าไปอาบน้ำพร้อมกันเพื่อประหยัดเวลา
ก่อนจะเข้าห้องอาบน้ำไป ซางกวน ซือเฟยขยิบตาส่งสัญญาณลับให้เซียวเฟิง ซึ่งมันชัดเจนมากว่าเธอจะสื่ออะไร แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เซียวเฟิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้นแล้ว หรือต่อให้เขามีอารมณ์ร่วม เซียวหลิงและเคอเค่อก็เข้าไปอาบน้ำกับพวกเธอด้วย ดังนั้นไม่ว่าอย่างไหน เขาก็ไม่สามารถเข้าไปในห้องน้ำนั่นได้อยู่ดี
เซียวหลิงและเคอเค่อเป็นฝ่ายออกมาจากห้องอาบน้ำก่อนพร้อมกับสีหน้าที่ดูจะแปลกไปมาก ๆ โดยเฉพาะเซียวหลิงที่หน้าแดงแปร๊ดและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองอะไร ราวกับว่าเธอกำลังอิจฉาอะไรบางอย่างจนแน่นไปทั้งใจ
จากนั้นไม่นานหลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ ก็พากันเดินออกมา นอกจากรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้าของซางกวน ซือเฟยแล้ว สาว ๆ คนอื่นต่างก็หน้าแดงกันหมด ไม่มั่นใจนักว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นภายในห้องน้ำ
และเมื่อถึงคราวของเซียวเฟิง เขาก็เลือกที่จะลงไปแช่น้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่อยู่ชั่วโมงหนึ่งเต็ม ๆ ซึ่งมันนานกว่าตอนนี้สาว ๆ เข้าไปอาบน้ำกันอีก
“ท่านเซียว เซอร์ไพรซ์!!”
เมื่อกลับมาในห้องของตนเอง ไฟในห้องก็ถูกเปิด บนเตียงของเขาก็ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป นอกจากซางกวน ซือเฟยที่สวมชุดนอนเซ็กซี่อวดรูปร่างที่น่าหลงใหลของตนเองแล้ว หลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ อีกสองคนก็กำลังซ่อนตัวเองอยู่ในผ้าห่ม โผล่แค่หัวออกมาเท่านั้น พวกเธอทั้งหมดต่างก็แก้มแดงเหมือนลูกเชอร์รี่กันทั้งสิ้น
เขารู้ดีว่าพวกเธอสวมชุดอะไรกันอยู่ นั่นก็เพราะเซียวเฟิงเป็นคนเลือกชุดให้พวกเธอเองเมื่อตอนไปซื้อของช่วงสายของวัน
“ฉันเพิ่งเช็กเมื่อครู่นี้ ตอนนี้เซียวหลิงกับเคอเค่อกำลังอยู่ในเกมกันแล้วล่ะ” ซางกวน ซือเฟยเลียริมฝีปากตนเองเบา ๆ เธอดูน่าลุ่มหลงราวกับปีศาจซัคคิวบัสสาวมากกว่าทุกวันในชุดนี้