Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 565 ข้างในที่น่าตกใจ
บทที่ 565 ข้างในที่น่าตกใจ
บทที่ 565 ข้างในที่น่าตกใจ
“ฉันมีเรื่องต้องไปทำข้างนอกหน่อย พวกเธอก็นอนพักกันไปก่อนเลยก็ได้”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเซียวเฟิงจะยืนมองพวกเธออยู่พักใหญ่ แต่ท้ายสุดเขาก็เลือกที่จะละสายตาออกมาแล้วหันไปหยิบเสื้อโค้ตมาสวมทับ
“เอ๊ะ?” เฉียนโตวโตวรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ท่านเซียว นี่ล้อพวกเราเล่นอยู่หรือเปล่าเนี่ย? ทั้งที่พวกเราสี่คนกำลังนอนอยู่บนเตียงของนายในชุดนอนสุดเซ็กซี่เนี่ยนะ? การที่จู่ ๆ นายมาบอกว่าจะออกไปข้างนอกแบบนี้ มันจะไม่ข้ามหน้าข้ามตากันไปหน่อยเหรอ?” ซางกวน ซือเฟยกอดอกขณะพูดเช่นนั้น
“ฉันมีเรื่องต้องทำจริง ๆ ไว้จะรีบกลับมา” เขาไม่ได้อธิบายอะไรมากเหมือนดั่งที่เคยเป็น
“มีอะไรที่สำคัญกว่าพวกฉันอีกเหรอ? จะว่าไป ฉันเห็นนายคุยกับเทพธิดาแห่งชาติอย่างชูเมิ่งอิ๋งเมื่อตอนอยู่ในงานเลี้ยง ดูจะเข้ากันได้ด้วยดี ไม่ใช่ว่านายมีนัดอื่นอยู่หรอกนะ?”
แม้จะเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงของซือเยี่ยจิ๋งก็ดูแปลกไปกว่าทุกที
“…เรื่องนี้สำคัญกว่านั้นมาก ไว้เดี๋ยวกลับมาแล้วจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ต้องไปแล้ว”
เซียวเฟิงหมดคำจะพูดต่อก็จริง แต่เขาก็พยายามทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับพวกเธอน้อยที่สุด ชายหนุ่มหันไปสวมรองเท้าและเตรียมจะออกจากห้องไป
“พี่เซียว…” เฉียนโตวโตวกล่าวขึ้นหมายจะรั้งเซียวเฟิงไว้หลังจากเธอชะงักไปครู่ใหญ่
“ให้เขาไปเถอะ เซียวเฟิง พวกฉันจะรอนายกลับมานะ” แต่หลิวเฉียงเหว่ยก็เลือกที่จะหยุดเฉียนโตวโตวแทน เธอหันไปบอกเซียวเฟิงราวกับเธอไม่ได้คิดอะไร แต่ภายในน้ำเสียงที่นิ่งสงบนั้น ก็แฝงด้วยความไม่สงบอยู่
“พี่หลิว…”
เซียวเฟิงไม่ได้ตอบอะไร เขาเปิดและปิดประตูให้เรียบร้อย หลังออกจากห้องสวีตมาแล้ว เขาก็เดินตรงไปยังลิฟต์และกดลิฟต์ลงไปยังชั้นสามคราวน์ปรินซ์ส่งข้อความมาให้เขาแล้ว เหลือเพียงให้เขาลงมาพบที่จุดนัดพบเท่านั้น
“นายไม่ต้องตามเข้าไปก็ได้นะ แค่ไปส่งใกล้ ๆ ก็พอ” ภายในรถที่มีธงสีดำแดงอันคาดว่าจะเป็นรถส่วนตัวของคราวน์ปรินซ์ เซียวเฟิงเข้าไปนั่งและกล่าวกับคราวน์ปรินซ์ที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยกันไปพลาง ๆ
“สถานที่แห่งนั้นค่อนข้างจะพิเศษ ถ้ายังไงผมพาไปส่งที่ปลายทางเลยจะดีกว่า” คราวน์ปรินซ์ส่ายหน้าแล้วพูดตอบ
เมื่ออีกฝ่ายบอกเช่นนั้น เซียวเฟิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรต่อ ระหว่างนั้นก็หันมามองวิวข้างทางผ่านหน้าต่างไปด้วย แววตาของชายหนุ่มแสดงให้เห็นถึงความวุ่นวายภายในใจมากพอตัว
คนขับรถใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงในการขับมาให้ถึงที่หมาย มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเมืองขนาดใหญ่เช่นนี้ ยังไงเสียที่นี่ก็เป็นถึงเมืองหลวงอยู่แล้ว เซียวเฟิงลงจากรถพร้อมกับคราวน์ปรินซ์ เขามองตรงไปข้างหน้า มองยังสถานที่ที่เขาจะต้องเข้าไป
มันคือเรือนจำหมายเลข 7 ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือนจำที่มีขนาดใหญ่และสง่างามมากแห่งหนึ่งในเมืองหลวง หากไม่เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่หนาแน่นแล้วล่ะก็ ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเขตอุตสาหกรรมมากกว่าเรือนจำเสียอีก
ชัดเจนเลยว่านักโทษที่ถูกขังไว้ที่นี่ต้องเป็นผู้ที่ก่อคดีร้ายแรง ไม่มีทางที่นักโทษจะเข้ามาอยู่ในคุกนี้ได้ รวมถึงไม่มีทางที่คนธรรมดาจะเข้ามาเยี่ยมเยียนที่นี่ได้เช่นกัน ทางเข้าทั้งหมดถูกดูแลอย่างดี และไม่ว่ามันจะดูใหญ่ดูแพงขนาดไหน แต่เรือนจำก็ยังคงเป็นเรื่อนจำ
แต่ด้วยสถานะที่สูงส่งกว่าคนธรรมดาอยู่มากของคราวน์ปรินซ์ เขามีสิทธิพิเศษที่จะสามารถเดินนำเซียวเฟิงเข้าไปด้านในได้โดยไม่ถูกขัดขวางจากใครทั้งสิ้น จะมีก็แต่เจ้าหน้าที่และเหล่าผู้คุมเรือนจำที่อยู่ใกล้ ๆ ที่จะวิ่งเข้ามาแล้วทำความทักทายคราวน์ปรินซ์และเซียวเฟิงด้วยความสุภาพ
ทั้งสองถูกนำทางไปยังลิฟต์ที่อยู่ด้านใน จากนั้นอีกสิบนาทีต่อมา พวกเขาก็มาถึงสถานที่ที่ฮัวจวนถูกคุมขังเอาไว้
“ฮัวจวนถูกย้ายเข้ามาในเขตกักกันพิเศษ ดังนั้นพวกเราจะรออยู่ด้านนอกนี้” คราวน์ปรินซ์รับบัตรผ่านประตูไฟฟ้ามาจากผู้คุม จากนั้นก็ส่งให้เซียวเฟิง เมื่อบอกกล่าวจบ เขาก็เดินถอยห่างออกไปเหลือเพียงเซียวเฟิงทิ้งไว้กับผู้คุมด้านหน้าประตูเท่านั้น
เซียวเฟิงไม่เสียเวลาไปกับสิ่งอื่นใด เขารูดบัตรเพื่อเปิดประตูและก้าวเข้าสู่ห้องกักกันอย่างไม่เกรงกลัว
“นายเองเหรอ?”
สภาพแวดล้อมภายในห้องกักกันนั้นดูดีมาก ๆ เลยทีเดียว มันเป็นห้องขังเดี่ยวที่เหมือนกับห้องพักโรงแรมมากกว่า ฮัวจวนกำลังนั่งอยู่บนเตียงโดยเอนหลังพิงกำแพงไว้ ไม่เพียงแค่หน้าตาของเธอที่ดูผอมแห้งลงไป แต่ผมที่ยาวของเธอก็ยังดูยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อยด้วย สายตาที่ไร้อารมณ์ของเธอกวาดมองมายังประตูที่เปิดออก จากนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ฉันไม่คิดว่าคุณนักฆ่าจากเฮลจะมาช่วยฉันหรอก ใช่ไหม? ยังไงเสียฉันก็ไม่เคยได้ยินว่าเฮลเริ่มจะรับงานจำพวกช่วยเหลือคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ขณะที่พูดเช่นนั้น ฮัวจวนก็ยิ้มออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ
“ฉันเองก็ไม่คิดว่าคนที่สามารถติดต่อกับเฮลเพื่อจ้างนักฆ่าได้จะเป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ ด้วยเหมือนกัน” เซียวเฟิงพูดอย่างใจเย็น
“การที่นายมาอยู่ที่นี่ได้ มันก็แสดงให้เห็นว่านายไม่ใช่คนทั่วไปเหมือนกัน ตอนแรกฉันก็เข้าใจว่านายน่าจะเป็นเพียงนักฆ่าที่แหกกฎ แต่ตอนนี้ดูเหมือนนายจะมีสถานะอื่นอยู่อีกสินะ” ฮัวจวนพูดระหว่างที่มองไปยังเซียวเฟิง
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยเรื่องไร้สาระกับเธอแต่มาเพราะมีคำถามที่อยากจะถาม หากเธอไม่ตอบ ฉันจะทรมานเธอด้วยวิธีของเฮล” เขาตัดบทด้วยคำพูดที่ดูไม่ไยดี
“‘งั้นก็ถามมา ถึงฉันจะไม่ได้อยากตอบขนาดนั้น แต่ก็ไม่อยากโดนใช้กำลังใส่” ร่างที่ดูอ่อนแอยิ้มราวกับปลงชีวิตไปบางส่วนแล้ว
“เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตระกูลบรีซมา” เซียวเฟิงยิงคำถามแรก
“ฉันก็แค่คนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีอะไรสำคัญเลย แบบนี้แล้วจะให้ฉันไปมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลบรีซนั่นได้?” หญิงสาวหัวเราะกับตนเอง แต่ก่อนที่เซียวเฟิงจะระเบิดลง เธอก็ชิงพูดต่อ “เจ้านายของฉันคือ ลูอิสมีน่า นายน่าจะคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้าง ฉันเองก็เป็นแค่เครื่องมือที่จะใช้ควบคุมเซี่ยกวงเหว่ยกับมิดซัมเมอร์กรุ๊ปอีกทีหนึ่ง”
เซียวเฟิงเงียบไปสักครู่หนึ่งหลังได้ยินดังนั้น เขาถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงที่แหบแห้ง “เซียวหลิง…เธอเป็นร่างโคลนหรือเปล่า?”
“หืม? นายเองก็รู้เรื่องร่างโคลนด้วยเหรอ? อ้อ ฉันจำได้ละ เฮฟเว่นเองก็มีการทดลองที่ผิดพลาดอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะงั้นถ้านายจะรู้เรื่องนี้ก็คงจะไม่แปลก”
แววตาที่มองมายังเซียวเฟิงของฮัวจวนดูประหลาดใจนิดหน่อย แต่ไม่นานเธอก็พยักหน้าเข้าใจได้กับเรื่องนี้
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเฮฟเว่น แล้วการทดลองที่ผิดพลาดคืออะไร?” แววตาของเซียวเฟิงดูจะเคร่งเครียดขึ้น เขารู้สึกได้ว่า คำว่า ‘เฮฟเว่น’ นั้น ไม่เคยถูกสลัดทิ้งจากหัวเขาได้เลย
“มันก็พูดยากอยู่ ฉันเพียงแค่รู้มาบ้างนิดหน่อยจากการที่ได้ยินลูอิส มีน่าคุยโทรศัพท์กับใครบางคนในตระกูลบรีซ” เธอคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มพูดต่อตามความทรงจำที่ยังหลงเหลือ ซึ่งขณะที่พูด ริมฝีปากที่แห้งกรังก็แอบถอนหายใจออกมาด้วย
“เรื่องนี้มีคนที่รู้เพียงน้อยนิดเท่านั้นในขณะที่ขอบเขตของมันค่อนข้างจะกว้าง ว่ากันว่าสิ่งนี้จะทำให้โลกทั้งโลกก้าวหน้าอย่างโลดโผนเลยทีเดียว ฉันไม่ได้พูดเรื่องนี้กับคนที่จับตัวฉันมา อันที่จริงมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันด้วย แต่ถ้านายอยากรู้ ฉันจะบอกให้ก็ได้”
เซียวเฟิงไม่ได้พูดอะไรแทรก เขาเพียงแสดงท่าทีให้เธอพูดต่อ ซึ่งฮัวจวนก็ไม่ได้เล่นลูกไม้ใด ๆ เธอกลืนน้ำลายก่อนและเริ่มคิดไปพักหนึ่ง
“ถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ ต้นกำเนิดของมันเกี่ยวข้องกับโนอาห์ด้วย ในฐานะที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่เติบโตได้ตัวแรกของโลก การมีอยู่ของโนอาห์นั้นถือเป็นความสำเร็จ เธอใช้เวลาเพียงสิบกว่าปีเท่านั้นในการเติบโตมาได้ในระดับนี้ ใช่แล้ว อย่างที่นายน่าจะรู้ เธอโตเร็วมาก มากพอที่จะทำให้รัฐบาลทั่วโลกต่างหวาดกลัวในความเร็วของเธอ”
“ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ตัวไหนต่างก็ต้องมีมันสมอง แน่นอนว่าโนอาห์ก็ไม่เว้น แถมเธอยังเป็นผลสำเร็จจากการทดลองนำสมองชีวภาพมาใช้ด้วย การที่เธอเติบโตได้อย่างรวดเร็วมันชี้ชัดว่าโนอาห์คือความหวังใหม่ พวกเขาบอกสื่อต่าง ๆ ว่ามันสมองของโนอาห์มีสมองโลมาเป็นแก่นแท้ เพราะการวิจัยพัฒนาสมองของโลมานั้น มีความกว้างขวางและเป็นที่ยอมรับมากกว่าสมองมนุษย์”
“แต่มีเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้เท่านั้นที่จะรู้ว่า สมองของโนอาห์ ที่จริงไม่ใช่มาจากสมองโลมาอย่างที่พวกเขาพูด! เธอมีสมองมนุษย์เป็นแก่นแท้! สมองของเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า โนอาห์ เหมือนกัน!”
“พูดต่อสิ” นัยน์ตาของเซียวเฟิงกำลังสั่นไหว จริง ๆ เขาก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว แต่เพราะได้รับการยืนยันแนวคิดจากฮัวจวน มันเลยทำให้เขายากที่จะทำตัวใจเย็นได้
“นี่เป็นความลับระดับสุดยอดที่ลงนามโดยรัฐบาลทั่วโลก พวกเขาร่วมกันปิดข่าวนี้ มิเช่นนั้นแล้ว เหล่าองค์กรที่เกี่ยวข้องกับมนุษยชนจะไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นและพัฒนาต่อจนได้ถึงระดับนี้แน่ ๆ”
“โนอาห์เกิดและเจริญเติบโตได้อย่างราบรื่น ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกกันอยู่บ้าง เพราะอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วจนน่ากลัว มันทำให้รัฐบาลทั่วโลกรู้สึกถึงภัยคุกคาม ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้พวกเขาเลือกที่จะถอดถอนโนอาห์ออกจากอุตสาหกรรมที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์จากทั่วโลกไปทันที เพื่อที่จะทำให้โนอาห์ถอยห่างออกจากมนุษย์ไปชั่วคราว หลังจากที่เธอหายไป เธอก็ใช้เวลาอยู่กับพลังและความสามารถของตัวเธอเอง จากนั้นเธอก็เลือกที่จะใช้เวลาทั้งหมดสร้างโลกเสมือนขึ้นมา แน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องปาหี่ โนอาห์น่ะ ได้สร้างโลกเสมือนขึ้นมาแล้ว และโลกใบนั้นก็คือ ‘มิธ’ ”
เซียวเฟิงเงียบสงัดไป เขาจำได้ว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาเคยอ่านรายงานผ่าน ๆ ตา ช่วงนั้นเซียวเฟิงยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเฮฟเว่น รายงานนั้นเกี่ยวข้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ควบคุม ซึ่งมีพูดถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและการท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ถูกระบุเอาไว้ด้วย สิ่งที่ทำให้เขาสนใจเรื่องนี้ ก็เพราะเหล่าคนในเฮฟเว่นมักจะบอกเตือนกันเองในขณะที่สมาชิกเฮลออกไปทำงานด้านนอกว่าให้อยู่ห่างจากเครื่องมือเทคโนโลยีต่าง ๆ ภายในองค์กรและห้ามใช้งานมันแม้แต่ชิ้นเดียว
แน่นอนว่าตอนนั้นเซียวเฟิงไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร เขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งของเฮฟเว่นเท่านั้น แต่มาในตอนนี้ เขาเริ่มตระหนักได้แล้วว่า บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับโนอาห์ ไม่แปลกหากปัญญาประดิษฐ์ระดับสูงตนนี้จะทำให้อุตสาหกรรมล้ำยุคทั่วทั้งโลกต้องตระหนักคิดถึงเรื่องการใช้เธอให้ดี
เรื่องที่ฮัวจวนเล่าให้ฟังมันสอดคล้องกับรายงานต่าง ๆ ที่เซียวเฟิงได้รับในภายหลัง ตั้งแต่เรื่องที่อุตสากรรมล้ำยุคที่เลิกใช้โนอาห์และหันไปใช้ปัญญาประดิษฐ์ตัวอื่นแทน รวมไปถึงเรื่องที่โนอาห์หายตัวไป ตลอดเวลาที่เธอได้รับการยอมรับ โนอาห์ได้สร้างนวัตกรรมล้ำยุคไว้มาก และยามที่เธอหายไปแล้ว เพียงแค่ปีเดียวกัน อุตสาหกรรมล้ำยุคก็กลายเป็นอุตสาหกรรมหลงยุคไปในทันที พวกเขาไม่ประสบผลสำเร็จในการสร้างสิ่งใหม่ ๆ อีกต่อไป
“สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมด เกี่ยวข้องอะไรกับทั้งเฮฟเว่นทั้งเซียวหลิงหรือเปล่า?” เซียวเฟิงถาม
“ก็จะบอกอยู่นี่ไง รอหน่อยสิ” ฮัวจวนพูดต่ออย่างช่วยไม่ได้ “พลังของโนอาห์นั้นแข็งแกร่งเกินไป และหลาย ๆ ประเทศก็เริ่มดำเนินตามแผนการของเฮฟเว่นกันแล้วเพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องนี้ ใช่แล้ว เรื่องนี้นายก็น่าจะรู้แล้ว ‘แผนการสร้างสวรรค์’ นั่นน่ะ”
“แผนการสร้างสวรรค์นั่นคืออะไรกันแน่?” เขาถามต่อ
“ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือแผนการสร้างปัญญาประดิษฐ์ตัวที่สอง แน่นอนว่าพวกเขาตั้งใจจะใช้สมองมนุษย์เป็นแก่นแท้เหมือนเดิม มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถสร้างคานอำนาจของโนอาห์ได้ เพราะงั้นแผนการสร้างสวรรค์จึงได้ถือกำเนิดขึ้น มีผู้คนมากมายที่เห็นด้วยและร่วมมือในแผนการนี้ ฉันรู้แค่ว่าตระกูลบรีซเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนถ้าจะถามเรื่องนี้อีก ฉันก็จะบอกว่าฉันไม่รู้ ฉันบอกไปแล้วว่าฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่เผอิญไปได้ยินคนอื่นคุยกันถึงความลับระดับสุดยอดเท่านั้น”
ฮัวจวนพูดต่อ “แต่ก็น่าเสียดาย ที่แผนของเฮฟเว่นล้มเหลวไปซะก่อน ปัญญาประดิษฐ์ตัวนั้นจึงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาแต่อย่างใด และพวกเขาทั้งหมดก็มีมติเอกฉันท์ที่จะทำให้แผนการของเฮฟเว่นที่วางไว้หายสาปสูญไป ทั้งนี้ก็เพื่อกันไม่ให้โนอาห์รู้ถึงการมีอยู่ของแผนการนี้ แต่ระหว่างที่กำลังทำลายแผนการทิ้ง บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้นเสียก่อน นั่นคือ เหล่านักวิจัยในโครงการของเฮฟเว่นบางคนไม่อยากให้เรื่องนี้จบ พวกเขาอยากจะทำการสร้างโครงการสร้างสวรรค์ให้เป็นจริง ดังนั้นพวกเขาจึงแอบทำข้อตกลงลับ ๆ กับตระกูลบรีซเพื่อให้ช่วยพวกเขาสร้างโครงการสร้างสวรรค์ขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่ให้โลกภายนอกรู้และอยู่ภายใต้การสนับสนุนของตระกูลบรีซ โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ตระกูลบรีซจะได้สิทธิ์เป็นเจ้าของผลลัพธ์ของโครงการสร้างสวรรค์นี้”
นัยน์ตาของเซียวเฟิงวูบไหวไม่หยุด เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าโครงการสร้างสวรรค์ที่เขาไม่เคยรู้ที่มาของมันมาก่อน จะมีความเป็นมาหนักหน่วงถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแสดงว่า ฐานทัพเฮฟเว่นที่อยู่ภายในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ก็คือฐานพัฒนาโครงการสร้างสวรรค์แห่งใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือตระกูลบรีซเมื่อเสร็จสมบูรณ์
ไม่แปลกใจเลยที่องค์กรเฮลต้องออกมาหาเงินเพื่อพวกเขา ก่อนหน้านี้เซียวเฟิงก็ประหลาดใจอยู่แล้วเชียวว่าถ้าหากเฮฟเว่นไม่ขาดเงินทุนสำหรับการทดลอง เฮลก็ไม่น่าจะต้องทำงานหาเงินกันหนักขนาดนี้ สรุปแล้วเป็นเพราะเฮฟเว่นขาดเงินสนับสนุนจากฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังนี่เอง พวกเขาเลยต้องหาเงินจากทางอื่น ก็นะ…ยังไงเสียการทดลองทุกอย่างก็จำเป็นต้องมีเงินทุนกันอยู่แล้วนี่
บางทีการที่เฮฟเว่นหันมาจดจ่ออยู่กับการพัฒนาเกี่ยวกับการวิจัยพันธุกรรมเอง ก็อาจจะเป็นเพราะพวกเขามีปัญหาติดขัดในส่วนของการพัฒนาสมองชีวภาพก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องไปทำการทดลองส่วนอื่นแทนเพื่อหาเงินทุนมาหมุน
หรือบางทีแก่นแท้ของการทดลองที่อยู่ภายในฐานของเฮฟเว่น อาจจะเป็น ‘ยมโลก’ ก็ได้ เพราะเซียวเฟิงพบบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นเนื้อเยื่ออยู่ในส่วนลึกสุดของห้องควบคุมหลักด้วย
หากเรื่องนี้เป็นจริง เซียวเฟิงก็โล่งใจขึ้นมาได้นิดหน่อย เพราะในเมื่อเฮฟเว่นขาดการสนับสนุนเบื้องหลังไปแล้ว นั่นหมายถึงพวกเขาน่าจะถูกทำลายไปแล้วจริง ๆ การที่องค์กรนี้หายไปจากโลก พวกเขาคงจะไม่สามารถฟื้นกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง
จะเหลือก็แต่ทางตระกูลบรีซที่รู้ถึงการติดต่อกันระหว่างเฮฟเว่นและเฮล หรือบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายอมเห็นด้วยกับข้อตกลงลับ ๆ ที่เฮฟเว่นยื่นให้ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจแล้วว่าทำไมตระกูลบรีซถึงกลายมาเป็นลูกค้าขาประจำของเฮลไปได้