Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 566 หนักหน่วง
บทที่ 566 หนักหน่วง
บทที่ 566 หนักหน่วง
“หลังจากที่ตระกูลบรีซได้ผลลัพธ์จากการทดลองครั้งแรกในโครงการของเฮฟเว่น พวกเขาก็แอบดำเนินการโครงการของเฮฟเว่นลำดับที่ 2 กันอย่างลับ ๆ แต่ครั้งนี้ฉันไม่รู้ว่าฐานนั่นตั้งอยู่ที่ไหน บางทีลูอิส มีน่าอาจจะรู้ ถ้านายอยากรู้ก็ไปถามจากเธอเอาเอง” ฮัวจวนพูด
เซียวเฟิงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร เขาเดาได้แล้วว่า ฐานทัพทหารที่สาวน้ำแข็งและสาวไฟบุกเข้าไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ น่าจะเป็นฐานที่ตระกูลบรีซใช้ทำการทดลองโครงการเฮฟเว่นลำดับที่ 2 แน่
“ตระกูลบรีซรวบรวมผลการทดลองที่ล้มเหลวจากโครงการแรกเอาไว้ จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะเริ่มโครงการลำดับที่ 2 จาก ‘วัตถุดิบ’ ของโครงการสมองชีวภาพ” เธอพูดเสริม “พ่อแท้ ๆ ของโนอาห์คือ เซี่ยเหอ หัวหน้าทีมเกมดีไซเนอร์ของมิธ แต่มีเพียงน้อยคนนักที่รู้ว่าเซี่ยเหอและเซี่ยกวงเหว่ยเป็นพี่น้องกัน ดังนั้น…การที่ลูอิส มีน่าเข้ามาในฮัวเซียและติดต่อกับเซี่ยกวงเหว่ยก็เพียงเพราะเธอต้องการยีนส์ที่ใกล้เคียงกับของโนอาห์”
“เพราะงั้น…เซียวหลิงที่เกิดมา…ก็เป็นเพียง ‘วัตถุดิบ’ งั้นเหรอ?”
ไม่ใช่แม้แต่เป็นเครื่องมือ แต่เป็นเพียงวัตถุดิบเพียงเล็กน้อยสำหรับการทดลองเท่านั้น!
เสียงของเซียวเฟิงแหบแห้ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปหมด ดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจภายในใจลึก ๆ ความรังเกียจนี้มันกระตุ้นให้เขาแผ่จิตสังหารออกมาจนภายในห้องนั้นอบอวลไปด้วยคาวเลือด
จิตสังหารนี้แม้แต่ฮัวจวนยังรู้สึกเสียวไปจนถึงกระดูก เธอไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อนเลย ความหวาดกลัวที่เกินกว่าจะรับมือไหว ทำให้หญิงสาวค่อย ๆ ขดตัวกลมและสั่นเทา แววตาของเธอที่มองไปยังเซียวเฟิงแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเธอกลัวเขาขนาดไหน
“พูดต่อ” โชคยังดีที่เมื่อรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของอีกฝ่าย เซียวเฟิงก็ใจเย็นลงในทันที บรรยากาศอึดอัดนั้นแม้ว่าจะค่อย ๆ หายไป แต่อย่างน้อยน้ำเสียงที่เขาพูดกับอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำให้เธอกลัวมากไปกว่านี้
“ละ…ลูอิส มีน่าใช้ข้ออ้างเรื่องการให้กำเนิดลูกเมื่อตอนจะกลับไปยังตระกูลบรีซ และทันทีที่เด็กทารกเพศหญิงในครรภ์ของเธอถือกำเนิด เด็กคนนั้นก็ถูกส่งเข้าไปยังห้องทดลองทันที ดังนั้นเซียวหลิงที่อยู่กับนายตอนนี้ก็เป็นเพียงร่างโคลนของทารกเพศหญิงคนนั้นเท่านั้น ซึ่งเทคโนโลยีโคลนนิ่งนี้ก็มาจากเฮฟเว่นด้วยเช่นกัน และมันก็ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้ลูอิส มีน่าใช้ตบตาเซี่ยกวงเหว่ย…”
ฮัวจวนพยายามข่มใจแล้วพูดต่อ
เซียวเฟิงเงียบนิ่งไปหลายนาทีคราวนี้ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ฮัวจวนกำลังรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ “ในสงครามระหว่างเขตแดนที่เพิ่งจบไป เธอเป็นคนยุยงให้พวกต่างชาติเข้ามา มันเป็นเรื่องไม่สมควรซักเท่าไหร่”
“นายจะทวงความเป็นธรรมให้พวกนั้นด้วยหรือไง? เฮอะ หากนายรู้ว่าฉันต้องเจออะไรมาบ้าง นายจะไม่คิดว่าฉันยุยงพวกต่างชาตินั่นเลย ผู้คนล้วนเกิดมาพร้อมกับคุณค่าในตัวเอง บางคนโชคดีก็เกิดมาพร้อมกับคุณค่าอันสูงส่ง แต่โทษทีนะ ฉันดันเกิดมาเป็นได้แค่หมาตัวเมียตัวหนึ่ง นายไม่ต้องมาเข้าใจฉันก็ได้ รู้ไว้แค่ว่าฉันเพียงแค่ทำตามคำสั่งของลูอิส มีน่าก็พอ” ฮัวจวนยิ้มอย่างเย้ยหยัน
“อย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่ควรให้ชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้” เซียวเฟิงไม่สามารถคัดค้านอะไรในคำพูดของฮัวจวนได้ เพราะเขาเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอได้บ้าง
“ก็แค่กลุ่มของพวกสมองพิการจิตใจไม่ปกติแค่นั้น ในเมื่อคนพวกนี้เหมาะที่จะใช้งาน ทำไมถึงจะใช้ไม่ได้ล่ะ?” หญิงสาวหัวเราะในลำคอ
“แต่ทำไปแล้วมันก็ทำให้เธอต้องมาติดคุกอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือไง?” เซียวเฟิงยังถามต่อหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“บางทีสำหรับฉัน ที่นี่ยังมีอิสระมากกว่า อย่างน้อย ๆ ฉันก็ไม่ต้องถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมืออีกต่อไป” ราวกับว่านี่เป็นแผนการของเธอ ฮัวจวนพูดเรื่องนี้ออกมาได้โดยไม่ต้องคิดตริตรองอะไรเลย
ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้ต่อ เขาได้ถามเรื่องที่ต้องการจะถามไปหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาหมดธุระตรงนี้แล้ว แต่ก่อนที่เขาจะได้เดินออกไป เพียงแค่สองก้าวหลังจากหันหลังมาเท่านั้น เซียวเฟิงก็หันกลับไปหาฮัวจวนอีกครั้งและถามด้วยเสียงเบา “เซียวหลิง…รู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นร่างโคลน?”
“เธอไม่รู้หรอก ตอนที่เกิดมาเธอก็ยังเป็นแค่เด็กทารก แล้วก็ไม่มีความทรงจำอะไรตอนนั้นด้วย เทคโนโลยีการโคลนนิ่งของโลกใบนี้น่ะยังมีข้อบกพร่องเยอะนัก ถึงแม้จะเป็นของเฮฟเว่นก็ตาม มันสมบูรณ์แค่การโคลนร่างของต้นแบบที่โตเต็มวัยแล้วเท่านั้น ดังนั้นเด็กคนนี้คือร่างโคลนที่ไม่สมบูรณ์ ปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอวัยวะที่โตไม่เต็มวัย หรืออายุที่ไม่เทียบเท่าคนปกติ มีเพียงการรักษาระดับพันธุกรรมเท่านั้นที่จะสามารถยืดชีวิตเธอออกไปได้ เมื่อครั้งนั้นฉันเคยบอกให้นายฆ่าเซียวหลิงไปแล้ว เพราะฉันเองก็ไม่อยากให้เธอต้องทุกข์ทรมานมากไปกว่านี้” ฮัวจวนตอบหลังได้ยินคำถาม
“เข้าใจแล้ว” ร่างกายของเซียวเฟิงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ น้ำเสียงของเขาฟังดูหนักอึ้งขณะพูดประโยคทิ้งท้ายนั้นไว้ จากนั้นเขาก็เปิดประตูห้องขังแล้วเดินออกไปทันที
ร่างกายของหมิงนั้นแตกต่างออกไป ซึ่งเซียวเฟิงเคยเห็นด้วยตาตนเองไปแล้ว ในขณะที่ร่างกายของเซียวหลิง…เหตุผลที่เธออ่อนแอตลอด ตอนนี้เขาเข้าใจหมดแล้ว
“เรียบร้อยดีไหม? สีหน้านายดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่เลย” คราวน์ปรินซ์ที่ยืนรออยู่ด้านนอกห้องขังรีบเดินเข้ามาเมื่อเห็นว่าเซียวเฟิงออกมาแล้ว ซึ่งสีหน้าของเซียวเฟิงมันก็บ่งชี้ชัดเจนว่าเขาไม่โอเคสักเท่าไหร่
ต่อให้ไมค์หรือจอมอนิเตอร์ภายในห้องนั้นจะถูกปิดหลังจากที่เซียวเฟิงเข้าไปแล้วก็จริง แต่เขาก็ยังพอรู้ได้ว่ามันไม่น่าจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นภายในนั้นแน่ สีหน้านี้ตีความได้ไม่ยากนัก
“เรียบร้อยดี ช่วยพาฉันกลับไปทีนะ” กระนั้นแล้วเซียวเฟิงก็เลือกที่จะไม่ตอบคำถามดังกล่าวโดยละเอียด เขาเพียงส่ายหน้าและกล่าวสั้น ๆ โดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก
คราวน์ปรินซ์ทำได้เพียงพยักหน้าโดยไม่ถามอะไรเพิ่ม อันที่จริง เขาเองก็พอจะเดาเรื่องของเซียวหลิงได้บ้างแล้วเหมือนกัน
การเดินทางกลับไปยังโรงแรมประจำเมืองหลวงนั้นใช้เวลากว่าค่อนชั่วโมงเหมือนเมื่อตอนขามา แต่เพราะว่านี่มันดึกมากแล้ว รถบนถนนจึงน้อยลงไปจนเห็นได้ชัด ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถกลับถึงที่หมายได้เร็วกว่าตอนขามานิดหน่อย
ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนรถ เซียวเฟิงไม่ได้พูดอะไรเลยทั้งสิ้น เขาเอาแต่มองไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนด้านนอกหน้าต่าง ในขณะที่แววตาของเขาเต็มไปด้วยเรื่องให้คิดมากมาย
เซียวหลิงอายุเกือบจะสิบสี่ปีแล้ว หากโนอาห์คือเด็กผู้หญิงลึกลับที่เซียวเฟิงเจอบ่อย ๆ เธอคนนั้นก็น่าจะแก่กว่าเซียวหลิงอยู่นิดหน่อย ไม่ถึงระดับทิ้งห่าง ให้อารมณ์เหมือนลูกพี่ลูกน้อง อย่างมากสุดก็แค่แก่กว่ากันสักหนึ่งหรือสองปีเท่านั้น
แสดงว่าระยะเวลาที่โครงการลำดับที่ 2 ของเฮฟเว่นถูกนำกลับมาทดลองใหม่นั้น สั้นกว่าที่เซียวเฟิงคิดไว้ มันน่าจะถูกเริ่มโครงการตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ดีไม่ดีตอนนั้น โนอาห์เองก็เพิ่งถูกสร้างขึ้นได้ไม่นานด้วยซ้ำ เธอยังไม่กลายเป็นที่แพร่หลายและถูกใช้งานอยู่ในอุตสาหกรรมบางแห่งเท่านั้น แต่เพราะการมีอยู่ของเธอ ทำให้ผู้คนบางกลุ่มอิจฉา ดังนั้นโครงการเฮฟเว่นจึงถูกขับเคลื่อนและเก็บซ่อนไว้จนถึงปัจจุบัน
“ฉันได้ยินมาว่าระหว่างที่สงครามระหว่างเขตแดนกำลังดำเนินในวันสุดท้าย มีพวกต่างชาติเข้ามาแสดงอิทธิพลและสร้างความเสียหายไว้มาก นายทำอะไรกับพวกนั้นบ้าง?”
รถยนต์ธงดำแดงของคราวน์ปรินซ์จอด ณ ที่จอดรถบริเวณชั้นสองของโรงแรม ขณะที่เซียวเฟิงลงมาจากรถ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่เงียบมาตลอดทาง
เพราะเซียวเฟิงใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของสงครามระหว่างเขตแดนไปกับอาการโคม่าหนึ่งวันเต็ม เขาเลยไม่รู้ว่าภายในวันนั้นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอะไรขึ้นมาบ้างนอกเสียจากเรื่องที่หลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ เล่าให้ฟังนิดหน่อย
“เรื่องนั้นผมจัดการไม่ได้หรอก…” คราวน์ปรินซ์ไม่ได้ลงรถตามมาด้วย เพราะเขาไม่ได้พักที่โรงแรมนี้ เมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าผ่านหน้าต่างรถที่ถูกลดลงมา สีหน้าของเขานั้นดูไร้พลังเสียเหลือเกิน
เซียวเฟิงพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นเขาก็ไม่ได้ยื้อเวลาอยู่ตรงนี้แต่อย่างใด ชายหนุ่มหันหลังแล้วเดินตรงกลับไปยังลิฟต์โรงแรมในทันที
“เจ้าแห่งฮีลเลอร์ ดูแลตัวเองดี ๆ นะ” คราวน์ปรินซ์กล่าวอำลาขณะมองตามหลังเซียวเฟิงไปด้วยแววตาที่สับสน
ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคราวน์ปรินซ์อยากให้เขาดูแลตัวเองจากอะไร ถ้าเดาง่าย ๆ ก็น่าจะเป็นเพราะเขาเพิ่งจะโดนบังคับออฟไลน์ไปเมื่อวันสุดท้ายของสงครามระหว่างเขตแดน อีกฝ่ายกลัวว่าร่างกายเขาจะยังไม่หายดี แต่ถ้าไม่ใช่ แสดงว่ามันน่าจะมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นแฝงอยู่
ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นบนสุดของโรงแรม เซียวเฟิงหยิบรูมการ์ดขึ้นมาและรูดเพื่อเปิดประตูห้องสวีตของตน เมื่อเขาเข้ามาในห้องของตัวเองแล้ว เขาก็พบว่าทั้งสี่สาวยังคงนอนอยู่บนเตียงของเขา แต่พวกเธอทุกคนต่างก็สวมหมวกเล่นเกมอยู่ บางทีดูท่าจะรอนานจนหันไปเล่นเกมแทนแล้ว
เห็นเช่นนั้นเซียวเฟิงก็ไม่ได้รบกวนอะไรพวกเธอ เขาไม่ได้หยิบหมวกเล่นเกมของเขาขึ้นมาด้วย สิ่งที่เขาทำคือ เดินออกจากห้องนี้และไปยังห้องที่เป็นของพวกเธอจริง ๆ แทน ซึ่งการที่พวกเธอทั้งหมดมาอยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่าห้องนั้นจะว่าง ณ ตอนนี้ และเมื่อเข้าไปในห้องนั้นได้ เซียวเฟิงก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มพร้อมกับหลับตาลงในไม่ช้า
เช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง เซียวเฟิงถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงโทรศัพท์ของเขาเอง และผู้ที่โทรมาก็คือหลิวเฉียงเหว่ย หลังจากพูดคุยกันนิดหน่อยแล้ว หลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ ต่างก็มารวมตัวกันที่ห้องที่เซียวเฟิงกำลังนอนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ณ ปัจจุบัน แววตาของพวกเธอดูกังวลและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
โชคดีที่ไม่มีเวลาให้เซียวเฟิงได้รู้สึกผิดมากนัก เพราะในตอนนั้น เซียวหลิงและเคอเค่อต่างก็ลุกขึ้นมาด้วยความงัวเงียพร้อม ๆ กัน และเพียงไม่นานพนักงานโรงแรมก็โทรมาเรียกพวกเขาให้ลงไปรับประทานอาหารเช้า ก่อนจะกลับขึ้นมาเก็บกระเป๋าเพื่อจะเดินทางกลับบ้านกัน
ตลอดเวลาที่เก็บกระเป๋า สายตาของเซียวเฟิงเหลือบไปมองเซียวหลิงอยู่หลายครั้ง เขามองร่างของเธอด้วยความคิดมากมายภายในหัว
พวกเขาต้องกลับไปยังเมืองเฉิงไห่กันเช้านี้เลย ซึ่งเที่ยวบินสำหรับบินกลับนั้นก็ได้ความช่วยเหลือจากก็อดออฟวอร์ในการจัดแจงให้ด้วย แน่นอนว่าว่าเพราะเป็นสายการบินที่ดูมส์เดย์ลีกส์ดูแลอยู่ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด
“ไปกันเถอะ ถึงแม้ว่าเมืองหลวงจะดูเจริญหูเจริญตาก็จริง แต่ก็ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าเฉิงไห่หรอก”
หันกลับไปมองทัศนียภาพของเมืองหลวงที่อยู่เบื้องหลัง เซียวเฟิงและคนอื่น ๆ ก็เดินเข้าไปยังสนามบินพร้อม ๆ กับก็อดออฟวอร์ที่มารออยู่แล้ว
ด้วยการที่เจ้าของสายการบินเป็นผู้จัดการเรื่องเที่ยวบินเอง ทำให้คราวนี้การเดินทางเข้าไปในส่วนของเฟิร์สคลาสนั้นลื่นไหลเป็นอย่างดี และเมื่อเข้าไปประจำที่นั่งกันได้แล้ว ทั้งหมดก็หยิบหมวกเล่นเกมขึ้นมาเตรียมตัวไว้
เซียวเฟิงเองก็เช่นกัน เพราะเช้านี้เขาได้นอนเต็มอิ่มและทานข้าวเช้าจนแน่นท้อง การที่ต้องรับมือกับการเดินทางที่ยาวนานนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเล่นเกมอีกแล้ว
เมื่อเขากลับมาออนไลน์ สถานที่รอบ ๆ ตัวของเขายังคงเป็นป่าในเขตแดนแห่งความมืดเหมือนเดิม เหนือหัวเขาเป็นกิ่งไม้ที่งอกมาจากต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้วขนาดใหญ่ เมื่อครั้งที่เขาออฟไลน์ครั้งสุดท้าย เซียวเฟิงขี้เกียจที่จะเทเลพอร์ตกลับไปยังเมืองมาก ๆ เพราะงั้นก็เลยให้ตัวละครของเขามาซ่อนตัวที่นี่ซึ่งทำให้ต่อให้มีผู้เล่นหลงเข้ามาในเขตนี้ เขาก็จะไม่ถูกพบตัว
หันมองไปยังหลอดค่าประสบการณ์ของตนเอง เขาก็พบว่ามันยังคงมีเพียง 65% เหมือนเดิม กว่าจะถึงเลเวล 70 เซียวเฟิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกยากลำบากก่อนจะตัดสินใจที่จะไปทำอย่างอื่นแทนการเก็บเลเวล และนั่นคือ การโทรหาซือเยี่ยจิ๋งที่ออนไลน์พอดี
“เธออยู่ไหน?” เซียวเฟิงถาม ก่อนหน้านี้ซือเยี่ยจิ๋งบอกเขาเอาไว้เมื่อตอนทานข้าวเช้าว่าอยากให้เซียวเฟิงช่วยเธอเพื่อให้ได้เป็นผู้เล่นระดับพระเจ้าหน่อยหากเห็นเธอออนไลน์
“ฉันอยู่ในโถงขุนนางที่เมืองแห่งความโศกเศร้า เดี๋ยวฉันฝากคิลเทอร์ทีนคอยดูแลพี่เฉียงเหว่ยแทนแปปนึง เสร็จแล้วจะไปหานายทันทีเลย”
ซือเยี่ยจิ๋งรับสายอย่างรวดเร็วพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน พักหลังมานี้คนจากเฮลจะคอยทำงานแทนซือเยี่ยจิ๋งอยู่บ่อยครั้งเวลาที่เธอไม่ว่าง เพื่อคอยดูแลหลิวเฉียงเหว่ยแทน ดังนั้นแล้ว หากซือเยี่ยจิ๋งจะไปไหน เธอเพียงยกข้ออ้างเรื่องภารกิจส่วนตัวมาใช้ก็สามารถปลีกตัวจากอีกฝ่ายได้ทันทีเลย
“เดี๋ยวฉันไปรับเธอเอง รออยู่ที่โถงขุนนางนั่นแหละ” เซียวเฟิงตรวจสอบดูตราอวกาศที่แหวนอวกาศทิ้งไว้ ซึ่งมันมีตราที่ถูกทิ้งไว้ที่โถงขุนนางซึ่งจะหมดอายุในอีกสองชั่วโมงข้างหน้าอยู่ด้วย เพราะงั้นเขาจึงคิดจะใช้มันก่อนที่มันจะหมดอายุไป
หลังจากพูดเช่นนั้น เซียวเฟิงก็ไม่ได้รอให้ซือเยี่ยจิ๋งตอบกลับ เขาวางสายพร้อม ๆ กับตอนที่ร่างกายของตนเปล่งแสงสีขาวก่อนจะหายไปเพราะการเทเลพอร์ตของแหวนอวกาศ
ร่างของเซียวเฟิงปรากฏขึ้นอีกครั้งในโถงขุนนาง เขาเห็นซือเยี่ยจิ๋งแล้ว และในที่นี่ก็ไม่มีใครอยู่ด้วย ดังนั้นจึงถือว่าทางสะดวก นักบวชหนุ่มเดินตรงไปข้างหน้าและโอบกอดเอวบางของซือเยี่ยจิ๋งอย่างอ่อนโยนจากด้านหลัง ระหว่างนั้นก็กระตุ้นแหวนอวกาศให้ทำงานอีกครั้งเพื่อพาเขาและเธอเทเลพอร์ตไปยังที่ที่ได้จัดเตรียมไว้
“แหวนอวกาศนี่สะดวกดีจังแฮะ แต่ไม่ใช่ว่านายมีชุดอาร์ติแฟกต์อยู่แล้วเหรอ? เมื่อไหร่จะยกแหวนอวกาศให้ฉันสักทีล่ะ?”
ทั้งสองมาปรากฏตัวที่เขตแดนแห่งความมืดอีกครั้ง หลังจากที่โดนปล่อยตัวจากการกอดแล้ว ใบหน้าสวยที่แดงระเรื่อของซือเยี่ยจิ๋งก็หันกลับมามองเซียวเฟิงแล้วกล่าวถามถึงเรื่องแหวนอวกาศที่เขาชอบใช้ เมื่อครั้งที่เขาทิ้งอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ให้เธอ อย่างชุดเกราะมังกร หญิงสาวได้ลองใช้ของเหล่านั้นหมดแล้ว จะมีก็แต่แหวนอวกาศเท่านั้นที่เธอไม่ได้ลองใช้มันสักที
“มันสวย” เซียวเฟิงพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย เขารู้ว่าแหวนอวกาศนั้นใช้ง่ายและมีประโยชน์ขนาดไหน เพราะงั้นเขาจึงไม่อยากจะยกมันให้เธอนัก
“ฮึ่ม! อุปกรณ์ทั่วทั้งตัวนายก็คุณสมบัติสูงเสียดฟ้ากันหมดแล้ว จะมาขี้เหนียวอะไรกับอีแค่แหวนวงเดียวฮะ! หน้าอันดับอุปกรณ์ต่าง ๆ นายก็จองหน้าแรกไปแทบทั้งหมด ถ้าหากนายยกของพวกนี้ให้ฉันทั้งตัวล่ะก็ ฉันเองก็สามารถเป็นผู้เล่นระดับพระเจ้าได้เหมือนกัน! เหลือก็แต่เลเวลที่ต้องเก็บเพิ่มเท่านั้น” ซือเยี่ยจิ๋งหายใจฟึดฟัด
“ต่อให้ฉันยกชุดที่ฉันใส่อยู่ให้ทั้งหมด เธอก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันอยู่ดี เชื่อหรือเปล่าล่ะ?” เขาพูดเชิงเย้ยหยัน